ชิงผีซานแสดงสีหน้าเ็า เขายืนอยู่ตรงหน้าหนิงเทียนก่อนเอ่ยด้วยเสียงข่มขู่ “หูเหล่าลิ่ว เ้าคิดรังแกผู้น้อยหรือ?”
ชายร่างสูงผู้มีท่วงท่าแข็งแกร่งในชุดเกราะต้นไม้กล่าวว่า “ข้าแค่ถามถึงสถานการณ์เท่านั้น เ้าโร่ออกมาเช่นนี้เพราะอยากถูกทุบตีหรือ?”
หนิงเทียนลืมตาขึ้นก่อนจะทำสีหน้าสับสน “เกิดอะไรขึ้น?”
ดวงตาของหูเหล่าลิ่วเบิกกว้างก่อนจะถามอย่างเร่งรีบว่า “เ้าหนู บอกข้าหน่อยว่าเมื่อครู่คืออะไร?”
หนิงเทียนยังคงไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ? ขะ...ข้าก็ไม่รู้ เมื่อครู่ข้าแค่เหนื่อยจึงเผลอหลับไปขณะนั่ง”
“ไร้สาระ เ้าคิดว่าข้าโง่หรือ?” หูเหล่าลิ่วไม่พอใจอย่างยิ่ง เมื่อชิงผีซานเห็นดังนั้นจึงเอ่ยปรามขึ้นมา
“เ้าคิดว่าเขาดูเหมือนคนกำลังโกหกหรือ? วังแรกมักเกิดเื่ประหลาดได้เสมอ”
หูเหล่าลิ่วขู่ “หลีกไป! เ้าคิดหลอกข้าอีกคนหรือ? วังแรกของไป่หลิงนี้เรียกว่าวังผ่านภา ซึ่งเป็วังแรกจากร้อยวัง เมื่อครู่ทุกคนล้วนเห็นว่าเกิดปรากฏการณ์ประหลาดบนร่างของเขา ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็แน่!”
ชิงผีซานมองย้อนกลับไปที่หนิงเทียนแล้วลอบขยิบตาให้เขา
“ลองตรองดูให้ดี เมื่อครู่เ้ารู้สึกอะไรเป็พิเศษบ้างหรือไม่?”
หนิงเทียนขมวดคิ้วก่อนจะทำท่าราวกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก ทันใดนั้นก็อุทานขึ้นว่า “ข้านึกออกแล้ว!”
หูเหล่าลิ่วถามอย่างตื่นเต้น “นึกอะไรได้บ้าง?”
หนิงเทียนกล่าวอย่างลังเล “ยามนั้นข้าเพียงพยายามนับลวดลาย แต่มันมีมากเกินจนข้าเวียนหัว ข้าจึงเลือกออกมาประมาณพันลาย จากนั้นมันก็เปลี่ยนแปลงลำดับตลอดเวลาเหมือนการคลายปริศนา ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าใดแต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องในหัวแล้วข้าก็เผลอหลับไป ทั้งยังฝันอีกด้วยว่าร่างกายเบาบางและโปร่งสบายเหมือนมีบางอย่างเปลี่ยนไป”
“จริงหรือ?”
“แน่นอนว่าเป็ความจริง ข้าโกหกเพื่อหาเื่ใส่ตัวไปทำไม?” หนิงเทียนทำท่าทางจริงจัง และทุกคนโดยรอบต่างก็จับจ้องมาที่เขาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
“เ้าหนู เ้าพูดความจริงจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นข้าจะหักคอเ้าเสีย!” หูเหล่าลิ่วข่มขู่อย่างหนักก่อนจะแยกตัวไปไขปริศนา
เมื่อเห็นคนอื่นแยกย้ายกันไป ชิงผีซานก็รุดเข้าหาหนิงเทียนแล้วถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา “สิ่งที่เ้าพูดเป็เื่จริงหรือเปล่า?”
“ย่อมเป็ความจริง ข้าไม่เคยโกหกคนอื่น ทางเข้าชั้นสองอยู่ที่ใด เราขึ้นไปดูกันเถอะ” หนิงเทียนตอบพลางคิดในใจว่าเขาไม่เคยโกหกคนอื่นจริงๆ แต่พวกเ้านั้นไม่ใช่คน
ชิงผีซานเหลือบมองหนิงเทียนอย่างสงสัยก่อนจะตัดสินใจพาเขาไปตรงกลางของชั้นหนึ่ง
“วังผ่านภาไม่มีบันได ทางผ่านอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ว่ากันว่าสามารถขึ้นไปถึงยอดอาคารได้โดยตรงแต่ต้องใช้พลังอันมหาศาล” ชิงผีซานชี้ไป้าและอธิบายวิธีการขึ้นไปโดยย่อ จากนั้นมันก็ลอยขึ้นเหนือพื้น
หนิงเทียนตามติดอยู่ด้านหลังอย่างใกล้ชิด เมื่อทะลุผ่านชั้นหนึ่งและเข้าสู่ชั้นสอง เขาก็รู้สึกถึงพลังกดข่มที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน โชคดีที่มันไม่แข็งแกร่งมากนัก
ว่ากันว่าวังผ่านภามีรูปร่างคล้ายหอคอยสูงนับพันชั้น ซึ่งพื้นที่บนชั้นสองนั้นดูไม่ต่างจากชั้นหนึ่งเท่าใดนัก ทั้งยังดูว่างเปล่าอย่างยิ่ง
ทว่าระหว่างชั้นสองกับชั้นหนึ่งก็ยังมีความแตกต่างที่ชัดเจนอยู่ นั่นคือชั้นหนึ่งสามารถเข้าได้จากทางเข้าเท่านั้น แต่ชั้นสองกลับมีหน้าต่างที่เห็นได้ชัดเจนมากเปิดอ้าอยู่
หนิงเทียนถามอย่างสงสัย “เช่นนั้นทำไมไม่ลอยเข้ามาจากข้างหน้าต่างโดยตรงเล่า?”
ชิงผีซานยิ้มพร้อมกล่าวว่า “นั่นไม่ได้เตรียมไว้สำหรับิญญาพฤกษาในูเาไป่หลิง หน้าต่างนั้นเชื่อมต่อกับห้วงเวลาอื่น พูดตรงๆ ก็คือหน้าต่างนี้จะนำไปสู่อีกมิติหนึ่งและต้องเป็ไปตามเงื่อนไขบางประการก่อนจึงจะสามารถข้ามผ่านหน้าต่างไปได้”
หนิงเทียนได้ยินดังนั้นก็ตะลึงไปชั่วขณะ
ห้วงเวลาอื่น? อีกมิติหนึ่ง? มันหมายถึงที่แบบใดกัน?
ผู้คนบนชั้นสองของวังผ่านภามีจำนวนน้อยกว่าชั้นหนึ่ง และทิวทัศน์บนชั้นสองก็แตกต่างจากชั้นหนึ่งอย่างมาก โดยบนพื้น เสา และผนังยังคงมีลวดลายสลักอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีเพียงลายดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์ ยังมีลายลม เมฆ ฟ้าแลบ และฟ้าผ่าอยู่ด้วย
นอกจากนี้บนชั้นสองยังมีลานประลองโบราณตั้งอยู่ และทั่วทั้งลานก็สลักลวดลายจิติญญาอันลึกลับ ซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายที่ไม่อาจอธิบายได้ ทั้งยังมีศิลาจารึกชัยชนะตั้งบนลานประลองอีกด้วย
ลานประลองนี้เปรียบเสมือนอาวุธิญญาซึ่งมีมนต์ขลังอย่างยิ่ง และขณะนี้ก็มีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรับชม
เหนือลานประลองคือหลังคาชั้นสอง ทันใดนั้นก็มีฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดาวปรากฏขึ้น และดวงดาราพร่างพรายก็ปลดปล่อยพลังงานผันผวนออกมา
หลังจากร่างของหนิงเทียนกลายเป็กายเต๋าิญญาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็มีญาณอันเฉียบแหลมต่อสรรพสิ่งในใต้หล้า เขาสามารถรู้ได้ว่าดวงดาวระยิบระยับเ่าั้ไม่ใช่ดวงดาวที่แท้จริง ทว่าคลื่นผันผวนของพวกมันกลับทำให้เขาสับสนยิ่งนัก “นี่คือ?”
“ลองดูก่อนแล้วค่อยคุยกัน”
ชิงผีซานดึงหนิงเทียนเข้าสู่ลานประลองโดยไม่ตอบอะไร ก่อนจะเห็นว่าบนลานมีคนหนึ่งคนกับต้นไม้ต้นหนึ่งกำลังประลองกันอยู่
“ชนะติดต่อกันเก้าสิบแปดครั้ง? บ้าเอ๊ย! คนผู้นี้กำลังรังแกิญญาพฤกษาเช่นข้าหรือ?” ชิงผีซานไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่หนิงเทียนกลับไม่เข้าใจว่าชนะเก้าสิบแปดครั้งติดต่อกันหมายถึงอะไร
เหนือลานประลองมีศิลาจารึกชัยชนะสูงหนึ่งจั้งสองฉื่อ บนนั้นกำลังแสดงตัวเลขเก้าสิบแปด ซึ่งหมายความว่ามีคนชนะการประลองเก้าสิบแปดครั้งติดต่อกัน
เมื่อมองให้ดีๆ จะเห็นว่าคนผู้นั้นสวมหน้ากากไม้ปกปิดใบหน้า ซึ่งเห็นเพียงตา หู ปาก และจมูกเล็กน้อย ไม่สามารถรู้ได้อย่างชัดเจนว่าแต่ละส่วนมีลักษณะอย่างไร
คนผู้นั้นสวมชุดคลุมตัวยาวทับเสื้อสีเขียวและกำลังปลดปล่อยพลังโลหิตมหาศาล ทั้งยังมีดวงตาอันแหลมคมจนผู้คนไม่กล้ามองตรงๆ
“ขอบเขตผนึกดารา?” ม่านตาของหนิงเทียนหดตัวโดยพลัน คนบนลานประลองมีพลังอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งทำให้เขาััได้ถึงการกดขี่ที่อันตรายอย่างยิ่ง
ส่วนต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน มันต้องทรงพลังที่สุดในบรรดาิญญาพฤกษาทั้งหมดอย่างแน่นอน ใบไม้ทุกใบของมันเปรียบเสมือนปราณกระบี่ที่ทลายห้วงอากาศ แต่ละใบหมุนวนจนกลายเป็พายุที่รุนแรงอย่างมาก
ทักษะนี้สุดยอดยิ่งนักแต่คนสวมหน้ากากกลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เมื่อปราณกระบี่น่าครั่นคร้ามฟาดใส่เขา เสียงกระแทกราวกับปราณสายนั้นฟาดใส่เพชรแกร่งก็ดังตามมา
ต้นไม้ใหญ่ส่งเสียงคำราม ทั่วทั้งร่างลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีเขียว และพลังการต่อสู้ก็ะเิขึ้นเป็สิบเท่าทันที ซึ่งเป็การเพิ่มพลังจนถึงขีดสุด
ดวงตาของคนสวมหน้ากากหรี่ลงเล็กน้อย เืในกายเดือดพล่านและพุ่งออกมาจากหน้าผากก่อนจะกลายเป็ธารโลหิต พลังของเขาราวกับัแดงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
เมื่อก้าวไปข้างหน้า แสงสีทองในมือขวาของคนสวมหน้ากากก็ส่องสว่างราวกับดวงอาทิตย์แผดเผาซึ่งมีพลังทำลายล้างทุกสิ่ง มันโจมตีใส่ลำต้นของต้นไม้ แรงหมัดหักลำต้นใหญ่อย่างแรง และการทุบตีก็ทำให้ต้นไม้ร้องครวญครางจนยอมพ่ายแพ้
พลันแสงบนศิลาจารึกชัยชนะกะพริบถี่ และจำนวนเก้าสิบแปดก็กลายเป็เก้าสิบเก้า ทำให้เกิดเสียงน่าเสียดายนับไม่ถ้วนในหมู่ผู้ชม
“คิดไม่ถึงว่ามันจะแพ้เสียด้วยซ้ำ ดูเหมือนจะไม่มีใครหยุดเ้านั่นจากการคว้าตำแหน่งผู้ชนะเลิศได้แล้ว”
“ช่างเป็ความอัปยศอย่างยิ่ง ชาวหยวนซิวมาเยือนวังผ่านภาบนูเาไป่หลิงของเรา ทั้งยังชนะเก้าสิบเก้าครั้งติดต่อกัน นี่นับเป็ความอับอายแล้ว”
“คนผู้นี้มาจากที่ใดก็ไม่รู้ ระดับสอง ระดับสาม และระดับสี่ครอบคลุมสามระดับ ทั้งยังชนะเก้าสิบเก้าครั้งติดต่อกัน นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว”
หนิงเทียนสับสนอย่างยิ่งหลังได้ยินเื่นี้ เขาดึงชิงผีซานออกมาแล้วถามว่า “สถานการณ์เป็อย่างไร? ทำไมหยวนซิวจึงอยากท้าทายที่นี่?”
ชิงผีซานชี้ดวงดาวระยิบระยับเหนือลานประลองแล้วพูดว่า “เ้าเห็นนั่นหรือไม่? นั่นคือเป้าหมายของหยวนซิว”
“สิ่งนั้นคืออะไร?”
“ทุกยุคสมัยมักมีปรมาจารย์หยวนซิวจำนวนมากเอาชีวิตมาทิ้งในูเาไป่หลิงและทิ้งผลึกิญญาหยวนไว้เื้ั ซึ่งจะถูกเก็บไว้ในวังผ่านภา หากสามารถคว้าผลึกิญญาหยวนเหล่านี้ได้ย่อมสามารถค้นหาสายเืเดียวกันเพื่อสืบทอดพลังที่จะช่วยเลื่อนขั้นเป็ปรมาจารย์เหนือเมฆาได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นจึงมียอดฝีมือหยวนซิวมาท้าทายวังผ่านภาเสมอ โดยตามกฎแล้วหลังจากชนะร้อยครั้งพวกเขาจะได้รับผลึกิญญาหยวนไป”
หนิงเทียนมองผลึกิญญาที่เหมือนดวงดาวเ่าั้แล้วถามว่า “เหตุใดิญญาพฤกษาในูเาไป่หลิงจึงไม่ทำลายผลึกิญญาหยวนเ่าั้เล่า? เมื่อไม่มีย่อมไม่เกิดเื่”
“ว่ากันว่านี่คือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับิญญาพฤกษา จึงมีการอนุญาตให้ยอดฝีมือหยวนซิวเข้ามาท้าทายเป็กรณีพิเศษ นั่นก็เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของจิติญญา”
“ฟังดูสมเหตุสมผล แต่ยิ่งมีปรมาจารย์หยวนซิวมากเท่าใดก็ยิ่งส่งผลเสียต่อจื๋อซิวมากขึ้นเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
ชิงผีซานกล่าวว่า “นี่ไม่ใช่ประเด็นที่เ้าควรพิจารณา”
บนลานประลอง ชายสวมหน้ากากมองเหล่าผู้ชมแล้วพูดอย่างเ็าและเย่อหยิ่งว่า “ใครกล้าขึ้นมาสู้ต่อ?”
“ชิ! เ้านั่นคิดว่าเราโง่หรือ? เ้าชนะเก้าสิบเก้าครั้งแล้ว นี่เป็เพียงรอบสุดท้าย อย่าหลงกลนะทุกคน”
ชายสวมหน้ากากจ้องเหล่าิญญาพฤกษาแล้วพูดอย่างเหยียดหยาม “ิญญาพฤกษาไม่เคยยอมรับว่าตนด้อยกว่าหยวนซิวไม่ใช่หรือ? เหตุใดตอนนี้ไม่มีใครกล้าขึ้นมาประลองกับข้าเล่า?”
“อย่าโอหังให้มากนัก เราไม่หลงกลกลยุทธ์ก้าวร้าวเช่นนี้แน่”
แม้จื๋อซิวจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่เต็มใจที่จะช่วยเขาเช่นกัน
ชิงผีซานกลอกตาไปมา ทันใดนั้นเขาก็พูดว่า “เ้าหนู เ้าสนใจขึ้นไปสู้หรือไม่?”
หนิงเทียนสะดุ้งโหยงแล้วพูดว่า “อย่าผลักข้าเข้ากองไฟเลย เขาอยู่ขอบเขตผนึกดารา แต่ข้าอยู่เพียงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเจ็ดเท่านั้น”
ชิงผีซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว ลานประลองแห่งนี้ช่างมหัศจรรย์ มันสามารถปราบปรามขอบเขตได้ หลังจากเ้าขึ้นไปแล้วและลานประลองตรวจพบว่าเ้าอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึก มันจะปราบปรามขอบเขตของเขาเป็ขอบเขตจิตหยั่งลึกทัที นั่นจึงเป็การต่อสู้ที่ยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่าย”
“ข้าไม่ไป ข้าไม่้าผลึกิญญาหยวน คนผู้นี้ชนะติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้งแล้ว เขาเป็ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาหยวนซิวอย่างแน่นอน ในูเาไป่หลิงมีิญญาพฤกษาระดับสอง ระดับสาม มีแม้กระทั้งระดับสี่ ทว่ากลับไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ข้าย่อมไม่หลงกลเ้า”
ชิงผีซานขมวดคิ้วแน่น มันเดินวนรอบร่างหนิงเทียนสามรอบแล้วถามว่า “เ้า้าอะไร?”
หนิงเทียนหัวใจเต้นแรงก่อนจะถามว่า “เ้าจะให้ประโยชน์อะไรแก่ข้าได้บ้าง?”
ชิงผีซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเกี่ยวกับสถานการณ์การบำเพ็ญของหนิงเทียน จากนั้นหนิงเทียนก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบสั้นๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ของตน
“ดอกไม้ ต้นหญ้า ต้นไม้ เถาวัลย์ ดิน น้ำ ไฟ และลม ตอนนี้เ้ายังขาดลม ข้ารู้ว่าเ้าจะหามันได้จากที่ใด อีกทั้งยังมีพื้นที่สำหรับพัฒนาทักษะดวงเนตรของเ้าอยู่ด้วย”
ดวงตาของหนิงเทียนเป็ประกายและถามขึ้นทันที “ลมอยู่ที่ใด?”
ชิงผีซานหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “มาพูดถึงทักษะดวงเนตรกันก่อน เ้ารู้หรือไม่ว่ามีสมบัติล้ำค่าบางอย่างในแผ่นดินนี้ที่สามารถทำให้จิตใจแจ่มใสและปรับปรุงการมองเห็นอยู่ด้วย?”
“ข้าไม่ค่อยแน่ใจนัก”
“หากเ้าสามารถเอาชนะชายสวมหน้ากากได้ ข้าจะช่วยให้เ้าได้รับน้ำตาิญญา์สองหยดเพื่อเปลี่ยนดวงตาของเ้าให้เป็ดวงตาจิติญญา เมื่อรวมกับทักษะดวงเนตรที่เ้าฝึกฝนแล้วพลังจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าเชียว”
หนิงเทียนถามอย่างสงสัย “จริงหรือเท็จ?”
“แน่นอนว่ามันเป็เื่จริง ผลของการฝึกทักษะเดียวกันในร่างกายที่ต่างออกไปย่อมเกิดความแตกต่างกันอย่างแน่นอน”
หนิงเทียนพูดอย่างลังเลว่า “ถ้าแพ้เล่า?”
“ถ้าแพ้ ให้ถือเป็บททดสอบ เ้าจะกลัวไปไย?” ชิงผีซานตอบด้วยยิ้มทรงเสน่ห์ แต่หนิงเทียนกลับรู้สึกเหมือนกำลังถูกวางแผนใส่อยู่เสมอ
ชายสวมหน้ากากบนลานประลองยังคงเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง ทั้งยังพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อเยาะเย้ยสร้างความอับอาย ซึ่งเป็เหตุให้จื๋อซิวจำนวนมากโกรธจัดจนะโสาปแช่งและกัดฟันด้วยความเคียดแค้น
หนิงเทียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ หากสู้กับขอบเขตเดียวกันเขาก็อยากชนะจริงๆ ทว่าครานี้ขอบเขตของตนต่างจากคู่ต่อสู้มากเกินไป “การต่อสู้จะอยู่ในระดับเดียวกันจริงหรือ?”
“จริงสิ ข้าจะโกหกเ้าไปทำไม?”
“ถ้าข้าชนะ...”
“ข้าสัญญาว่าจะทำตามสัญญาอย่างแน่นอน!”
“ก็ได้ ข้าจะเอาชนะเขาให้ได้!”
ทันใดนั้นทัศนคติของหนิงเทียนเปลี่ยนไป และจิติญญาแห่งการต่อสู้ของเขาก็พุ่งสูงขึ้น
