อันเจิงพบว่าหลังจากเฉินเซ่าป๋ายฆ่าเฉินผู่ทิ้งแล้วดวงตาของเขากวาดขึ้นมามองตนเองแวบหนึ่ง
เฉินเซ่าป๋ายตัดสินใจจะไม่ฆ่าอันเจิง ใช่ว่าเขาไม่อยากฆ่าอันเจิงให้ตายๆ ไปเสีย แต่เป็เพราะคำพูดก่อนหน้าของอันเจิงที่ได้กล่าวเอาไว้ไม่รู้ว่านั่นเสแสร้งหรือว่าเขาเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้วจริง ๆ อย่างที่พูด ตอนนี้เขาตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของอันเจิงแล้วและก็เข้าใจแล้วเหมือนกันว่า ทำไมในตอนนั้นอันเจิงถึงได้ป้อนผลึกแกนอสูรให้เ้าแมวตัวนี้กินต่อหน้าต่อตาเขานั่นก็เพื่อให้เขาไม่กล้าลงมือต่อหน้าแมวตัวนี้ง่าย ๆ
“ทั้งหมดนี้เ้าคำนวณไว้แล้วอย่างนั้นหรือ?” เฉินเซ่าป๋ายเอ่ยถาม
อันเจิงส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่พระเ้า ยิ่งไม่ใช่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ในตำนานแห่งจักรวรรดิต้าซีผู้นั้นจะคิดคำนวณมากมายเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าก็เพียงตระเตรียมทุกอย่างไว้ตามความเคยชินต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่มีประโยชน์หรือไม่ถูกใช้ก็ตาม อุปนิสัยของเ้าเป็อย่างไร?มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าเ้าออกมาจากโรงจวี้ฉ่างแล้วมีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าเ้าอาจจะไปเข้าร่วมกับนิกายลึกลับอะไรนั่นดังนั้นเื่ที่เ้าอยากฆ่าข้าปิดปากจึงไม่ยากเท่าไหร่ที่จะเดา”
“ข้าหวังว่าวันหนึ่งที่พวกเราได้พบกันอีกครั้งเ้าจะลืมเื่ที่ข้าคิดฆ่าเ้าปิดปากในวันนี้ไปแล้ว” เฉินเซ่าป๋ายกล่าว
อันเจิงไม่กล่าวสิ่งใด เฉินเซ่าป๋ายจึงเอ่ยถามอีกครั้ง“เ้าไม่คิดจะไปกับข้าจริง ๆ หรือ? ถึงแม้ว่าตอนนี้เ้าจะยังฝึกฝนไม่ได้แต่หากมีโอกาสได้ชำระล้างไขกระดูกความฝันที่อยากกลายเป็ผู้บำเพ็ญตนก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไปบนโลกใบนี้ไม่มีประตูบานไหนที่จะปิดสำหรับคนผู้หนึ่งไปตลอดขอเพียงมีความพยายามและไม่ย่อท้อ สักวันหนึ่งก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้”
อันเจิงยกยิ้มพลางกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะ“อย่าได้ปากไม่ตรงกับใจนักเลย เ้าไม่ได้อยากให้ข้าติดตามเ้าไปแม้แต่น้อยเบื้องลึกเื้ัของเ้าข้าเข้าใจชัดเจนที่สุดน่ากลัวว่าหลังจากไปถึงนิกายอะไรนั่นแล้ว ข้าจะกลายเป็ภัยคุกคามสำหรับเ้ามากกว่า”
เฉินเซ่าป๋ายหัวเราะขึ้นทันทีไม่มีวี่แววของความโศกเศร้าสักนิด “อันเจิง เ้าอย่าได้รีบตายไปเสียเล่า ข้ามีลางสังหรณ์ว่าในอนาคตเ้าอาจจะกลายเป็คู่ต่อสู้ของข้าทั้งยังเป็คู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างสมน้ำสมเนื้อเสียด้วย อย่าให้ข้าทิ้งห่างเ้ามากจนเกินไปไม่อย่างนั้นเมื่อพบกันอีกครั้งข้าอาจจะรู้สึกว่าการฆ่าเ้ากลายเป็เื่ที่น่าเบื่อก็เป็ได้”
กล่าวจบเฉินเซ่าป๋ายก็หมุนตัวแล้วเดินจากไป
รอจนกระทั่งเงาร่างของเขาหายไปได้พักใหญ่แล้ว อันเจิงถึงได้โน้มตัวลงไปอุ้มเ้าแมวขาวตัวนั้นขึ้นมาอีกครั้งมือข้างหนึ่งลูบไปบนแผ่นหลังของเ้าแมวเบา ๆ “เก่งจริง ๆ แม้แต่ข้าก็เกือบถูกเ้าหลอกแล้วฟังให้ดีนะ ถึงแม้ว่าเ้าจะดูดซับพลังของผลึกแกนอสูรลงไปแล้วแต่ตอนนี้เ้าก็ยังเป็เพียงลูกแมวตัวหนึ่งอยู่”
เ้าแมวสีขาวร้องครางขึ้นมาครั้งหนึ่งแลดูภูมิใจไม่น้อย
“ออกมาเถอะข้ารู้ว่าเ้าซ่อนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด คนของสำนักเชียนเหมินความสามารถอย่างอื่นไม่เท่าไหร่แต่เื่ซ่อนตัวกับสะกดรอยอย่างน้อยก็มีฝีมือน่าชื่นชม”
หลังจากที่อันเจิงพูดประโยคนั้นจบจงจิ่วเกอก็เดินออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนแกมรู้สึกผิด “เ้าก็รู้ว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาดังนั้นตอนที่เขาลงมือกับตู้โซ่วโซ่ว ข้าจึงมีทางเลือกเดียวคือต้องหลบหนีแต่ว่าข้าก็ตามติดเขามาตลอดนะทั้งยังคิดอยากช่วยตู้โซ่วโซ่วออกมาจากเงื้อมมือเขาด้วย อันเจิง...เ้าอย่าได้ผิดหวังในตัวข้าได้หรือไม่”
“ไม่หรอก” อันเจิงกล่าว
“เ้าช่วยข้าได้มากต่างหาก...คนของสำนักเชียนเหมินทักษะพื้นฐานที่ต้องเรียนรู้ก็คือศาสตร์ในการปลอมแปลงใบหน้าตอนนี้เ้ามองไปที่หน้าศพของเ้านั่นดี ๆ ปลอมตัวเป็มันคงไม่มีปัญหากระมัง?”
จงจิ่วเกอพยักหน้าหงึกหงักติดต่อกันหลายครั้ง “ไม่มีปัญหา สบายมากสำหรับคนของสำนักเชียนเหมินอย่างข้า การปลอมแปลงใบหน้าเป็เื่ง่ายนิดเดียว เ้าให้เวลากับข้าหน่อยรับรองได้เลยว่าแม้แต่เมียของมันก็ยังจำไม่ได้”
จงจิ่วเกอเดินไปหยุดอยู่ข้างศพของเฉินผู่พลิกศพกลับมา ก่อนจะจับหน้าแหงนขึ้นแล้วพิจารณาดูอย่างละเอียดรอบคอบเขาดึงถุงผ้าเล็ก ๆ ออกมาจากกระเป๋าบริเวณอกเสื้อถุงหนึ่ง เปิดมันออกแล้วเทอุปกรณ์ซึ่งมีลักษณะเป็ขวดเล็กขวดน้อยออกมา ดึงจุกที่ปิดอยู่ตรงฝาขวดแล้วละเลงสิ่งที่อยู่ข้างในไปบนใบหน้าของตนเองผ่านไปประมาณสิบนาทีจึงลุกขึ้นยืนแล้วหันหน้ากลับมาถามอันเจิง “เป็อย่างไรบ้าง?เหมือนสักกี่ส่วน?”
อันเจิงมองไปที่เขา “ดึงปลายคิ้วขึ้นอีกนิดปัญหาหลักคือแววตา แต่ว่านั่นก็ช่วยไม่ได้...โชคดีที่ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วลูกสมุนของเฉินผู่คงกำลังยุ่งอยู่ ไม่น่าจะมีใครสงสัย”
จงจิ่วเกอดึงถุงผ้าอีกถุงออกมามองไปที่ชุดบนร่างของเฉินผู่หลายครั้ง แล้วจึงพูดขึ้นมา “นี่คืออาภรณ์เส้นไหมร้อยแปรประจำสำนักเชียนเหมินแม้ไม่นับว่าเป็ของวิเศษอันใดแต่ก็ถือกำเนิดมาจากภูมิปัญญาที่สั่งสมมานานของผู้าุโรุ่นก่อน ๆ อาภรณ์ตัวนี้สามารถเลียนแบบสีสันปรับเปลี่ยนรูปร่างภายนอกได้ดั่งใจคิด เป็เครื่องมือที่สามารถใช้หากิน หลอกลวงผู้อื่นยามออกมานอกสำนักได้เป็อย่างดี”
อันเจิงเคยเห็นสิ่งนี้ผ่านตามาก่อนกับอุปกรณ์ทั้งหลายของสำนักเชียนเหมิน อันเจิงไม่รู้สึกแปลกตาแต่อย่างใด
จงจิ่วเกอผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยก็หันกลับไปถามอีกครั้ง “แล้วต้องทำอย่างไรต่อ?”
“เ้าลองค้นตัวเฉินผู่ดูบนตัวมันน่าจะมีกุญแจเก็บซ่อนอยู่คนอย่างมันจะต้องเก็บของมีค่าที่สุดไว้กับตัวอย่างแน่นอน จากนั้นเ้าค่อยไปที่จวนตระกูลเฉินจะใช้วิธีใดก็ได้ แต่ต้องได้หยกแห่งิญญากลับมา กิจการของตระกูลเฉินใหญ่โตกว่าพวกกลุ่มโจรต้าโค่วถึงเพียงนั้นต้องมีของดีอยู่ไม่น้อยแน่ จำเอาไว้ หลังจากเข้าไปได้แล้วเ้าต้องตั้งสติให้ดีอย่าได้เถลไถลเตร็ดเตร่ไปเป็อันขาด หากเ้าหาห้องเก็บสมบัติของตระกูลเฉินไม่เจอก็หลอกถามเอาจากคนแถวนั้นก็ได้ ถามไปว่าใครอยากไปห้องเก็บสมบัติเอาสมบัติกับข้าบ้างจากนั้นค่อยให้คนผู้นั้นเป็ผู้เดินนำไปก็พอแล้ว”
“ข้าไม่สนว่าตัวเ้าจะกอบโกยมาได้เท่าไหร่ข้ากับตู้โซ่วโซ่ว้าเพียงแค่หยกแห่งิญญาระดับต่ำยี่สิบสี่ก้อนเท่านั้น” อันเจิงกล่าว
“ส่วนที่เหลือ ไม่ว่าเ้าเอาอะไรออกมาได้จะถือว่าเป็ของรางวัลสำหรับเ้าทั้งหมด”
จงจิ่วเกอสูดลมหายใจเข้าลึก “เคยมีคนกล่าวไว้ไม่มีผิดว่าความร่ำรวยมักมาพร้อมกับอันตรายเสมอ ท่านอัน ข้าไปล่ะ”
อันเจิงรอจนกระทั่งจงจิ่วเกอจากไปจึงค่อยลงมือขุดหลุมฝังศพเฉินผู่จากนั้นเดินไปดูอาการของตู้โซ่วโซ่วซึ่งยังคงหมดสติอยู่เห็นว่าเขาไม่ได้รับาเ็อะไรมากจึงเดินเข้าไปในบ้าน หยิบเชือกเส้นหนึ่งออกมาผูกไว้อย่างแ่าที่มือซ้ายของตู้โซ่วโซ่วแล้วอาศัยแสงจันทร์ควานหาบางสิ่งบริเวณถนนแถวนั้น ในที่สุดเขาก็หาขี้ไก่กองหนึ่งเจอตักมันมาไว้ในมือขวาของตู้โซ่วโซ่ว ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆใช้ขนไก่ที่หยิบติดมือมาด้วยปาดลงไปบนกองขี้ไก่แล้ววาดไปบนหน้าตู้โซ่วโซ่วอย่างเบามือ
ไม่นานนักตู้โซ่วโซ่วก็รู้สึกจั๊กจี้ที่หน้าอยากยกมือซ้ายขึ้นเกาแต่ขยับอย่างไรก็ขยับไม่ได้เพราะถูกมัดไว้อยู่มือขวาอีกข้างที่ว่างจึงโปะเข้าไปจัง ๆ...ขี้ไก่กองนั้นละเลงลงบนหน้าตู้โซ่วโซ่วได้อย่างน่าประทับใจ
อันเจิงที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นกลั้นขำจนกล้ามเนื้อหน้าท้องปวดระบมไปหมด
ตู้โซ่วโซ่วถูกกลิ่นเหม็นแทงเข้าจมูกจนสะดุ้งตื่น เบิกตาโพลงอย่างตกตะลึงสีหน้าตื่นตระหนกเด่นชัด “นี่เกิดอะไรขึ้น? อันเจิงเ้าไม่เป็ไรนะ?”
อันเจิงตบไปที่บ่าของตู้โซ่วโซ่วหลายที “ไม่เป็ไรเลยเพื่อน”
“ถ้าเช่นนั้นทำไมข้าถึงได้รู้สึกเหม็นขนาดนี้?”
“นั่นเพราะบนหน้าเ้ามีขี้ไก่กองหนึ่งละเลงอยู่...”
“แม่งเอ๊ย! ปู่มันเถอะ!”
อันเจิงช่วยตู้โซ่วโซ่วคลายเชือกออกแล้วหาน้ำมาให้เขาล้างหน้าเสียงสบถด่าทอยังคงหลุดออกมาจากปากตู้โซ่วโซ่วอย่างต่อเนื่อง เขาถลึงตาใส่อันเจิงไม่หยุด
“เอาน่า ไปกันเถอะพวกเราไปรอที่หน้าจวนตระกูลเฉินกัน”
อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วเดินออกจากบ้านเดินไปด้วยคุยไปด้วย
แสงของพระจันทร์คืนนี้ แม้จะไม่สว่างมากแต่ก็พอให้มองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้หลังจากเดินออกมาได้ครู่หนึ่ง อันเจิงก็สังเกตเห็นว่าตู้โซ่วโซ่วมีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่พูดพร่ำทำเพลงเขาก็กระโจนเข้าพงหญ้าข้างทางทันที หลายนาทีต่อมาจึงได้เดินออกมาพร้อมสีหน้ากระอักกระอ่วน
“เป็อะไรไป?”
“สองสามวันมานี้ท้องไส้ข้าไม่ดีเลยท้องเสียตลอด วันหนึ่งถ่ายท้องไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดครั้งยิ่งข้าไม่ค่อยได้กินอะไรด้วยแล้ว จะเอาที่ไหนมาถ่าย มีแต่ตดเท่านั้น เมื่อครู่นี้ก็เพราะปวดรุนแรงเลยลองพนันกับตัวเองดูว่าจะมีแต่ตดเหมือนเดิมหรือไม่ ไม่คิดว่า...ข้าจะแพ้พนันแต่เพราะข้ารีบกลัวว่าจะเสียเวลาอันมีค่า ก็เลยไม่นั่งต่อรีบร้อนออกมานี่ล่ะ”
อันเจิงได้ยินดังนั้นก็ะโหนีทันทีสบถคำหยาบ “แม่งเอ๊ย! แล้วเ้าจัดการอย่างไร?”
“กางเกงใน”
“เช่นนั้นตอนนี้เ้าก็ไม่ได้ใส่กางเกงใน?”
“อืม...”
ตู้โซ่วโซ่วยกยิ้มเจิดจ้า “อันที่จริงเ้าไม่เห็นต้องติดใจขนาดนี้เลยเื่น่าอายยิ่งกว่านี้ใช่ว่าข้าจะไม่เคยทำ จำได้น่าจะราว ๆ ปีก่อนมีครั้งหนึ่งข้าก็ท้องเสียแบบนี้ล่ะ ตอนนั้นเป็่กลางดึกพอดีข้าปวดท้องจนแทบอั้นไม่ไหว ก็เลยปีนลงจากเตียงแล้วรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำทว่าหลังจากถึงห้องน้ำแล้วเพิ่งจะนั่งได้ไม่เท่าไหร่ ไม่รู้ทำไมจู่ ๆก็รู้สึกอยากอ้วก คงเป็เพราะกินอะไรผิดสำแดงมาแน่ ข้าจึงหมุนตัวกลับไปคิดจะอ้วกลงโถส้วม...แต่ข้าคงจะออกแรงอ้วกมากเกินไปหน่อยข้างหลังก็เลยราดออกมาด้วย”
อันเจิงแววตาเลื่อนลอยสีหน้าราวกับจะบอกว่าทำไมเ้าไม่ตาย ๆ ไปเสีย
ตู้โซ่วโซ่วเล่าต่ออย่างสนุกสนาน “แต่นั่นไม่นับว่าเป็อันใดหลังจากข้าอ้วกพร้อมถ่ายข้างนอกเสร็จ ขณะที่หมุนตัวกำลังจะถ่ายที่เหลือลงส้วมต่อตาก็หันไปเห็นของที่เพิ่งออกไปก่อนหน้านี้บนพื้น ข้ารู้สึกอยากอ้วกอีกก็เลยอ้วกลงตรงนั้นเลยจากนั้นท่านแม่ข้าได้ยินเสียง กลัวว่าข้าจะเกิดอะไรขึ้นก็เลยรีบวิ่งมาหาเห็นข้ากำลังนั่งยอง ๆ พร้อมอ้วกไปด้วย แต่ตรงหน้าคือขี้กองหนึ่ง เ้าไม่รู้หรอกว่าแววตาท่านแม่ข้าตอนนั้นเป็อย่างไร...”
“กว่าเ้าจะโตมาได้จนถึงตอนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ท่านแม่เ้าไม่จับเ้าเชือดไปเสียก่อน นับว่าเป็บุญคุณใหญ่หลวงแล้ว”
สองคนเดินไปด้วยคุยไปด้วยในที่สุดก็มาถึงตรอกแห่งหนึ่งหน้าจวนตระกูลเฉิน ทั้งคู่ยอบตัวลงนั่งรออยู่แถวนั้นตู้โซ่วโซ่วค่อนข้างเป็กังวล กลัวนักว่าจงจิ่วเกอจะรับมือไม่ไหวตรงกันข้ามกับอันเจิงที่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร นั่งอยู่เงียบ ๆไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“อันเจิง หลังจากที่พวกเราได้หยกแห่งิญญามาแล้วจะล้างไขกระดูกอย่างไร?ถ้าพวกเราไม่มีผู้ฝึกตนในขอบเขตสุมารุขึ้นไปค่อยช่วยเหลือ ต่อให้มีหยกแห่งิญญาก็ไม่มีประโยชน์ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
ตู้โซ่วโซ่วถามต่อ “พวกเรายังต้องหาคนที่สามารถเชื่อใจได้ด้วยไม่อย่างนั้นเด็กตัวเล็ก ๆ สองคนอย่างพวกเรา หอบหยกแห่งิญญาระดับต่ำยี่สิบสี่ก้อนไปด้วยคงไม่ต่างอะไรไปจากเด็กสามขวบที่หิ้วทองคำเดินโทง ๆ ออกไปกลางถนนคงไม่มีปัญญารักษาเอาไว้ได้”
“ข้ารู้ว่าพวกเราต้องมองหาใครแต่ไม่รู้ว่านางจะยอมช่วยหรือไม่”
“ใครหรือ?”
“แม่นางเยว่”
“หา? แม่นางเยว่?นี่แม่นางเยว่เป็ผู้บำเพ็ญตนหรือ?” ตู้โซ่วโซ่วไม่อยากจะเชื่อ
“ใช่แล้ว และยังแข็งแกร่งมากด้วยแต่ในเมื่อนางไม่อยากเปิดเผยตัวเอง หากพวกเราโผล่หน้าไปขอให้ช่วยเหลืออย่างกะทันหันคงไม่ง่ายนักข้าก็เลยคิดว่าจะหาของบางอย่างไปทำการแลกเปลี่ยนกับนาง บางทีนางอาจจะตอบตกลงก็ได้”
“ของอะไรกัน?”
“ก็เ้าอย่างไรเล่า...ให้เ้าไปทำงานเป็เสี่ยวเอ้อในร้านเหล้าของนางส่วนระยะเวลาก็...ตลอดชีวิตเลยก็แล้วกัน ถือว่าตอบแทนบุญคุณนาง”
“ข้าเห็นด้วย...”
ตู้โซ่วโซ่วจู่ ๆ ก็เอ่ยถามขึ้น “อันเจิงข้ารู้สึกว่าเ้าเมื่อก่อนกับตอนนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทำไมเ้าถึงได้รู้อะไรๆ มากถึงขนาดนี้ และยังสงบเยือกเย็นมากด้วย”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตู้โซ่วโซ่วถามคำถามนี้ออกมาอันเจิงเองก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเหมือนกัน
“ออกมาแล้ว”
อันเจิงหันไปเห็นจงจิ่วเกอเดินออกมาจากประตูจวนตระกูลเฉินพอดีเขาหันไปลากคอตู้โซ่วโซ่วให้เดินกลับไปด้วยกัน จงจิ่วเกอหยุดอยู่หน้าจวนสักพักจงใจยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ก่อนจะค่อย ๆ เลาะไปตามตรอกที่อันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วเพิ่งจะเดินผ่านไปเมื่อครู่หลังจากเดินมาได้ครึ่งทางในที่สุดเขาก็เห็นอันเจิงกับตู้โซ่วโซ่วยืนรออยู่ในตรอกเล็ก ๆ สายหนึ่งเขารีบแทรกตัวเข้าไปในตรอกทันที ร่างทั้งร่างยังสั่นสะท้านไม่หาย
“ใจข้าสั่นไปหมดเลย ครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้”
จงจิ่วเกอยื่นห่อผ้าในมือส่งให้กับอันเจิง “นี่คือหยกแห่งิญญาระดับต่ำทั้งหมดของตระกูลเฉินน่าจะสักเจ็ดสิบถึงแปดสิบก้อน มีก้อนหนึ่งเป็หยกแห่งิญญาระดับกลางน่าจะพอให้พวกเ้าชำระล้างไขกระดูกแล้ว นอกจากหยกแห่งิญญา ข้าเองก็ขโมยตั๋วเงินติดตัวมาด้วยหลายแสนตำลึงเหมือนกันพอให้ข้าได้ออกเดินทางไปจากที่นี่แล้วล่ะ อันเจิง พูดจริง ๆ เลยนะ ข้าดีใจมากที่ได้รู้จักกับเ้าดังนั้นตอนนี้เลยรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่จะต้องจากกัน แต่ข้าก็รู้ตัวดีว่า ข้ากับพวกเ้าเดินอยู่บนถนนคนละเส้นข้าจะไปยังอาณาจักรราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ ไปที่จักรวรรดิต้าซี”
ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า “ข้าอยากจะลองไปที่กรมตุลาการแห่งราชสำนักต้าซีดูต่อให้ได้เห็นแค่ประตูก็เถอะ แต่นั่นคือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในฝันของข้าเป็สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความยุติธรรมและเที่ยงตรง”
อันเจิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ด้วยความแข็งแกร่งของเ้าในตอนนี้ อย่าเพิ่งไปที่จักรวรรดิต้าซีเลย กรมตุลาการนั่นไม่ได้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์เหมือนที่เ้าวาดฝันไว้เื่บางเื่ ปล่อยให้เป็ความฝันต่อไปน่าจะดีกว่า ข้ากับโซ่วโซ่วเองก็มีความคิดจะไปเยือนเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางโลกมายาแห่งนี้เหมือนกันที่นั่นมีหอสมุดมายาที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยท่านเ้าเมืองมู่ฉางเยียนเป็สถานที่ที่ดีที่สุดที่จะได้รับคำชี้แนะเกี่ยวกับการฝึกฝนเ้าก็เดินทางไปกับพวกเราเถอะ”
จงจิ่วเกอยกยิ้มขมขื่น “ข้ารู้ตัวดีว่าคุณสมบัติร่างกายของข้าเป็แบบไหนอายุข้าตอนนี้ก็ปาไปยี่สิบปีแล้ว ทำได้มากสุดก็แค่รับรู้ถึงพลังวัตรเท่านั้นคิดอยากจะไต่ไปให้ถึงขอบเขตจุติ์ เป็เื่ที่ทั้งชาติก็ไม่อาจเป็ไปได้ แต่ว่าข้ายินดีจะเดินทางไปกับพวกเ้าต่อพวกเ้าสองคนก็เหมือนกับพี่น้องของข้า แม้จะอายุน้อยกว่าข้ามาก แต่ข้ามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าเ้าต้องเป็พี่ใหญ่ที่ดีได้แน่นอน!”
อันเจิงตอบกลับเขาไป “สักวันหนึ่งพวกเราต้องได้ไปเยือนจักรวรรดิต้าซีแน่ถึงตอนนั้นข้าจะพาเ้าไปเดินเล่นที่กรมตุลาการเอง”
จงจิ่วเกอเบ้ปากพูดต่อด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “พี่ใหญ่...ท่านจริงจังหน่อยอย่าได้คุยโม้มากเกินไปนัก...”