ในความเป็จริงมีหลายสิ่งเกิดขึ้นทุกวันในโลกมายาแห่งนี้สำหรับผู้คนในย่านหนานชาน การที่ตระกูลเฉินถูกทำลายลงหรือกลุ่มโจรต้าโค่วถูกกำจัดอาจนับว่าเป็เื่ใหญ่แต่สำหรับโลกมายาที่กว้างใหญ่ไพศาล เื่เหล่านี้ไม่นับว่าเป็อะไรทั้งสิ้นหรือจะให้พูดก็คือ ถ้าหากเปรียบโลกมายาเป็ยุทธภพเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ก็คือที่ที่รวบรวมความชั่วช้าทั้งหมดของยุทธภพเอาไว้ด้วยกัน
อันเจิงมองเห็นคนที่นั่งอยู่หน้าประตูบ้านพร้อมทั้งแสยะยิ้มส่งมาให้แล้วและก็เห็นด้วยว่าสิ่งที่คนผู้นั้นนั่งทับอยู่คือสิ่งใด
ตู้โซ่วโซ่วถูกจับมัดมือเท้าและอุดปากจนแน่นเขากระดิกตัวไปไหนไม่ได้ นอนอยู่บนพื้นด้วยสภาพน่าเวทนา จากที่ดูคร่าว ๆน่าจะหมดสติไปได้ครู่หนึ่งแล้ว
“คิดไม่ถึงละสิ?” เฉินผู่ถาม
อันเจิงสูดลมหายใจเข้าลึกความรู้สึกเสียใจผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของความรู้สึกฉากละครแบบนี้ในโลกมายาไม่มีวันไหนที่ไม่หยุดแสดง ตอนที่เขาอยู่ในราชสำนักต้าซีก็ต้องเผชิญหน้ากับคนที่มีสันดานต่ำช้าเช่นนี้เป็ประจำทุกวันคิดไม่ถึงว่า หลังจากได้มาเกิดใหม่ในเทือกเขาชางหมานที่เต็มไปด้วยความโเี้แห่งนี้แล้วก็ยังต้องประสบกับเื่เดิมซ้ำ ๆ อีก ความรู้สึกยากจะอธิบายสายหนึ่งผุดขึ้นมา หรือบางทีเขาอาจมีชีวิตอยู่เพื่อกำจัดสิ่งชั่วช้าเหล่านี้ก็เป็ได้
“ข้ายังคิดอยู่เลยว่า เป็ขั้วอำนาจไหนกันที่ทำลายตระกูลเฉินจนราบคาบ”
อันเจิงถอนหายใจกล่าว “ที่แท้ก็เป็หนอนที่แฝงอยู่ในตระกูลนี่เอง”
เฉินผู่ยักไหล่อย่างไม่แยแส “เป็ตระกูลเฉินติดค้างข้าก่อนข้าทำงานให้พวกมันมาตั้งหลายปี? สมบัติของพวกมันรวมถึงร้านรวงกว่าครึ่งก็เป็ข้าที่สร้างมันขึ้นมาแต่ดูที่พวกมันทำกับข้าสิพวกมันปฏิบัติกับข้าไม่ต่างอะไรไปจากสุนัขตัวหนึ่งด้วยซ้ำหากข้าจะเอาของที่เป็ของข้า แย่งชิงทุกสิ่งที่ข้าสร้างมากับมือคืน มันจะผิดตรงไหนกันพวกคุณชายตระกูลเฉินเ่าั้ก็แค่ขยะ จะไปมีปัญญาทำอะไรได้ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรติดค้างกับตระกูลเฉินแล้วต่อไปก็ถึงตาเ้าที่ต้องชดใช้ให้ข้าบ้าง”
เขาชี้ไปที่แขนของตัวเอง “เ้าตัดมือบุตรชายข้าไปข้างหนึ่งรู้หรือไม่ว่ามันเจ็บเสียยิ่งกว่าการที่ข้าเสียแขนตัวเองไปอีก”
อันเจิงหัวเราะเย้ยหยัน “เพราะนั่นคือ่เวลาที่สำคัญที่สุดในแผนการของเ้าพอดีข้าตัดมือของเฉินชีทิ้งต่อหน้าต่อตาเ้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดขึ้น เ้าก็อุตส่าห์กัดฟันทนเก็บความแค้นมาจนถึงวันนี้ได้นับว่าเ้าไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ”
เฉินผู่ค่อนข้างสับสนกับท่าทีเฉยชาและการแสดงออกที่นิ่งสงบของเด็กอายุเพียงสิบขวบอย่างเขามากเป็เพราะเขาไม่รู้ว่า อันเจิงเคยมีประสบการณ์กับเื่ทำนองนี้มาก่อนมิหนำซ้ำคนที่เคยเผชิญหน้ากับเขาแต่ละคน โเี้เสียยิ่งกว่าเฉินผู่ไม่รู้กี่เท่า
“เ้าดูไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่เลยนี่?”
เฉินผู่ควงกริชในมือเล่นตรงปลายกริชมีห่วงอันหนึ่งอยู่ นิ้วมือนิ้วหนึ่งของเขาสอดเข้าไปในห่วงนั้น ควงจนปลายกริชสะบัดคล้ายกับกังหันลมอันเล็กๆ ท่ามกลางแสงจันทร์เยือกเย็นที่ตกกระทบลงมาประกายที่ฉายออกมาจากคมกริชเยียบเย็นมาก
“ที่จริงแล้วตัวข้าก็ไม่ควรถือสาหาความกับเด็กตัวเล็กๆ อย่างเ้า มีคนเคยพูดเอาไว้ว่า การจะเป็ผู้ยิ่งใหญ่ได้ต้องเผื่อแผ่และใจกว้างเข้าไว้”
เฉินผู่หัวเราะ “แต่นิสัยของข้าก็เป็แบบนี้ดีมาก็ดีไป ร้ายมาก็ร้ายตอบ ไม่อาจเห็นว่าเ้ายังเป็เด็กแล้วผ่อนปรนให้เ้าได้แบบนั้นมันขัดกับกฎในการใช้ชีวิตของข้ามากเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของข้ายิ่งเด็กก็ยิ่งไม่อาจปล่อยไปได้ เพราะอนาคตของเด็กอย่างเ้ามันไม่แน่นอนหากว่าวันหนึ่งเ้าเติบโตขึ้นแล้วแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า ย้อนกลับมาหาข้าและเอาคืนภายหลังเช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร? แน่นอนข้าก็ไม่ใช่คนใจคอคับแคบถึงขนาดที่ว่าไม่อาจผ่อนผันได้ คงต้องดูการแสดงออกของเ้าแล้วว่าถูกใจข้าหรือไม่”
กริชที่อยู่บนมือของเฉินผู่บินออกไป ปักลงที่ข้างเท้าอันเจิงพอดิบพอดี
“ตัดแขนตัวเองทิ้งข้างหนึ่งซะแล้วข้าจะพิจารณาดูว่าควรจะปล่อยหรือไม่ปล่อยเพื่อนเ้าดี”
เฉินผู่ชี้ไปที่แผ่นหลังของตู้โซ่วโซ่ว “ไอ้เด็กโง่นี่ขนาดใกล้ตายแล้วยังไม่ยอมพูดว่าอันเจิงไอ้สารเลวเลย”
อันเจิงก้มหน้ามองกริชเล่มนั้น ก่อนจะแหงนหน้าขึ้นไปมองตู้โซ่วโซ่ว“เพราะเขารู้ว่าข้าไม่ได้เลว แต่เป็เ้าต่างหาก”
“มันไม่สำคัญหรอก” เฉินผู่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“เพราะถ้าข้าไม่เลวข้าจะวางแผนหักหลังคนตระกูลเฉินได้อย่างไร? ตอนนี้ก็เหลือแค่ไอ้สวะเฉินเซ่าป๋ายคนเดียวแล้วที่ยังไม่ตายแต่ก็เอาเถอะ โรงจวี้ฉ่างคุ้มกะลาหัวมันได้แค่วันนี้เท่านั้น พรุ่งนี้เช้า...รอมันก้าวขาออกมาจากโรงจวี้ฉ่างเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็คือเวลาตายของมัน แต่ก่อนหน้านั้นข้าจะส่งเ้าไปเยือนปรโลกก่อน บอกตรงๆ ข้าไม่รู้สึกว่าการเป็คนสารเลวมันไม่ดีตรงไหน ในโลกมายาแห่งนี้ใครไม่เลวบ้าง?”
“อย่าบอกข้าว่าเป็คนธรรมดาทั่วไปเ่าั้ข้าจะบอกความจริงอะไรให้เ้ารู้อย่างหนึ่ง” เฉินผู่พูดขึ้นทีละคำ
“ที่นี่ไม่มีคนธรรมดาอะไรทั้งนั้นทุกคนที่เข้ามาปักหลักอยู่ในโลกมายาแห่งนี้ต่างก็เป็พวกสวะชั่วช้าที่ไม่มีที่ไปทั้งสิ้นส่วนเื่ที่พวกมันกลายมาเป็คนธรรมดาในโลกมายาแห่งนี้นั่นก็เพราะพวกมันอ่อนแอเอง ถ้าหากพวกมันแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ พวกมันจะถูกรังแกถูกเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าแบบนี้รึ? เ้าอย่าได้มองโลกสวยงามเกินไปนักในโลกมายา...นอกจากคนที่เกิดและเติบโตที่นี่แล้วใครบ้างมือไม่เคยเปื้อนเืมาก่อน”
เฉินผู่ชี้ไปยังกริชที่ปักอยู่บนพื้น “เลิกพยายามถ่วงเวลาสักทีเ้าคิดหรือว่าข้าไม่รู้พื้นเพของพวกเ้า ไอ้อ้วนนี่ พี่ชายมันเป็ศิษย์ของสำนักจงเหมินแต่ก็เป็แค่ขี้ข้าที่คอยจัดการเื่เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่มีค่าอะไรให้ใส่ใจส่วนเ้าก็เป็เด็กกำพร้าที่แม้แต่ญาติสักคนยังไม่มี ดังนั้นต่อให้เ้ายืดเวลาออกไปก็ไม่มีใครมาช่วยเ้าหรอก”
อันเจิงตอบกลับ “ข้ามี”
เฉินผู่ชะงักไปครู่หนึ่ง กวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นออกมา “เลิกวางท่าเสียที สวะที่ใช้การไม่ได้อย่างเ้าในโลกมายาแห่งนี้ไม่มีค่าพอที่จะได้รับการช่วยเหลือใด ๆ ทั้งนั้น”
อันเจิงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจัง“แต่ข้ามีจริง ๆ นะ”
คราวนี้เฉินผู่ลังเลขึ้นมาแล้วจริง ๆอดไม่ได้กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง นี่เป็จุดอ่อนของคนประเภทนี้เพราะเ้าเล่ห์มากแผนการเกินไป ดังนั้นจึงระแวดระวังมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว
อันเจิงหัวเราะขึ้นมาเสียงเบา “เริ่มกลัวแล้วละสิ”
เฉินผู่แสยะยิ้ม “ข้าน่ะหรือกลัว?นับจากวันนี้ไปย่านหนานชานทั้งย่านก็จะตกอยู่ในกำมือของข้าแล้วข้าจะมากลัวเด็กน้อยอย่างเ้าทำไมกัน?!แค่พละกำลังของข้าที่อยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นห้า ลงมืออย่างขอไปทีครั้งหนึ่ง ก็สามารถบดขยี้สวะอย่างเ้าให้แหลกเป็ผุยผงได้แล้วข้ากลัวเ้า? เหอะ เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่แม้แต่พลังวัตรยังไม่มีเลยอย่างเ้ามีคุณสมบัติอะไรมาทำให้ข้ากลัว? เลิกเสแสร้งเสียทีถ้าเ้ามีผู้ช่วยจริงทำไมมันไม่โผล่หัวออกมาเล่า?”
อันเจิงตอบ “ผู้ช่วยของข้า...เ้าเห็นมันเมื่อไหร่ก็จะตายทันที”
เฉินผู่มองไปรอบ ๆ อีกครั้งอย่างอดไม่ได้ทว่าก็ยังไม่พบอะไร
อันเจิงหัวเราะเสียงเบา “ข้าััได้แต่แรกแล้วว่าเื่นี้มีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่เพราะเหตุใดตอนที่ข้ามีเื่กับอันธพาลพวกนั้นเ้าถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ได้อย่างเหมาะเจาะพอดีนัก?นั่นเป็เพราะเ้าไม่อยากให้เื่เล็ก ๆ อย่างการทะเลาะเบาะแว้งกันมาส่งผลกระทบต่อแผนการใหญ่ที่เ้าวางเอาไว้ เพราะเหตุใดคืนวันนั้นตระกูลเฉินถึงไม่อาศัยข้ออ้างที่ว่าข้าทำให้แก๊งอันธพาลที่เป็ลูกสมุนของตระกูลเฉินาเ็เข้าจู่โจมกลุ่มโจรต้าโค่ว?ไม่ใช่เพราะจังหวะหรือโอกาสไม่ดีพอแต่เป็เพราะว่าเ้ารวมหัวกับกลุ่มโจรต้าโค่ว วางแผนแทงข้างหลังเอาไว้ั้แ่แรกแล้วต่างหาก”
“คนตระกูลเฉินพวกนั้นถึงแม้จะดูถูกเ้าแต่พวกเขาก็เชื่อใจในตัวเ้ามาก เป็เพราะเ้าบอกพวกเขาไปว่าโอกาสยังไม่ดีพอดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ลงมือต่อ ตอนนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของการทำลายล้างตระกูลเฉินตามแผนการที่เ้าได้สมคบคิดกับกลุ่มโจรต้าโค่วไว้ รอจนกระทั่งคนตระกูลเฉินมีปฏิกิริยาตอบกลับมาอันที่จริงจนถึงตอนนี้แล้วพวกเขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า คู่ต่อสู้ที่แท้จริงของตนนั้นเป็ใครเพื่อรักษาสายเืสุดท้ายของตระกูลเอาไว้ พวกเขาถึงได้ส่งตัวเฉินเซ่าป๋ายเข้าไปที่โรงจวี้ฉ่าง”
“ข้ามองจุดที่น่าสงสัยออกได้ถึงเพียงนี้เ้าคิดว่าข้าจะไม่เตรียมตัวเตรียมการอะไรเผื่อไว้เลยหรือ?” อันเจิงถามไปประโยคหนึ่ง
ไม่ใช่ว่าเฉินผู่ดูถูกอันเจิงแต่อันเจิงไม่มีต้นทุนอะไรให้เขาต้องระแวงั้แ่แรกแล้วเขาเป็เพียงแค่เด็กอายุสิบขวบคนหนึ่ง พลังวัตรก็ยังไม่มี ทั้งยังไม่ใช่อัจฉริยะอะไรอีกไม่มีทั้งรากฐานในการฝึกฝน ไม่มีทั้งเื้ัยิ่งใหญ่คอยสนับสนุน กับเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างเขา เฉินผู่จะไปใส่ใจได้อย่างไร? อย่างไรก็ตามความสงบเช่นนี้ของอันเจิงไม่อาจไม่กล่าวว่าทำให้ความสงสัยในใจเฉินผู่ปะทุรุนแรงมากขึ้นนี่ทำให้เขาหวนนึกไปถึงคืนนั้น คืนที่เฉินเซ่าป๋ายบอกกับเขาว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องดึงตัวอันเจิงมาไว้ข้างกายให้ได้สำหรับเขา...เฉินเซ่าป๋ายก็นับว่าเป็หมาป่าตัวเล็กตัวหนึ่งแล้วแต่หลังจากหันกลับไปพิจารณาอันเจิงอีกทีถึงได้พบว่าบรรยากาศที่แผ่ออกมารอบตัวอันเจิงอันตรายและน่ากลัวยิ่งกว่าเฉินเซ่าป๋ายเสียอีก
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าอันเจิงแผ่กลิ่นอายแบบนี้ออกมาได้อย่างไร
อันเจิงหัวเราะและพูดขึ้น “จำไว้ให้ดีก่อนที่แผนการทุกอย่างจะประสบความสำเร็จ อย่าประมาทให้ผู้อื่นมองออกได้”
เฉินผู่ไม่เข้าใจว่าทำไมอันเจิงถึงพูดอะไรแบบนี้ออกมา
อันเจิงก้มตัวลงไปดึงกริชที่ปักอยู่บนพื้นขึ้นสอดนิ้วเข้าไปในห่วงแล้วควงเล่นเบา ๆ “ถ้าเ้าไม่พูดข้าคงยังไม่รู้ว่าพลังวัตรของเ้าฝึกฝนได้ถึงขอบเขตจุติ์ขั้นห้าแล้ว อาศัยพลังวัตรของเ้าในตอนนี้การจะฆ่าข้าให้ตายนั้นง่ายดายเสียจนไม่น่าพูดถึง ผิดก็แต่เ้าจองหองมากเกินไปเปิดโปงความสามารถตัวเองออกมาจนหมด เ้าควรระวังมากกว่านี้คำพูดที่เ้าพูดกับข้าเมื่อครู่ ควรพูดตอนที่ข้าเป็ศพไปแล้วถึงจะถูก”
เฉินผู่ลุกขึ้นยืนดวงตาฉายแววโเี้ดุดันทันที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำให้เ้าเป็ศพเดี๋ยวนี้เลย”
“สายไปเสียแล้ว” อันเจิงหัวเราะร่วน
“เ้ารู้หรือไม่...ทำไมตอนอยู่ที่โรงจวี้ฉ่างข้าถึงได้ทำตัวให้โดดเด่นเป็ที่สะดุดตาผู้อื่น?ก็เพื่อให้คนเกิดความสนใจในตัวข้าอย่างไรเล่าพวกเขาคงจะอยากรู้อยากเห็นมากทีเดียวว่า ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆคนหนึ่งถึงได้มีสายตาเฉียบคมมากถึงเพียงนี้ บางคนที่โลภมากหน่อยอาจถึงขั้นคิดไปแล้วว่าหากสามารถควบคุมข้าได้ก็จะสามารถเส้นทางการเงินสายหนึ่งได้ทีเดียวข้ายังอาศัยช่องโหว่นี้แย่งผลึกไข่มุกจากโรงจวี้ฉ่างมาได้อีก รู้หรือไม่ว่าไข่มุกนั่นไม่ใช่เนื้องอกของงูเขียวั์อย่างที่ข้าพูดออกไปหรอกแต่มันคือผลึกแกนอสูรของจริงเลยล่ะ เพียงแต่ข้าเอาไปป้อนให้แมวกินแล้วก็เท่านั้น”
“อ้อจริงสิ เ้าเคยเห็นแมวของข้าหรือยัง?”
เฉินผู่สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าสิ่งที่อันเจิงพูดหมายถึงอะไร
“เ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
อันเจิงเงียบไปครู่หนึ่ง “เ้าคิดว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ขั้นสามคนหนึ่งสามารถฆ่าเ้าได้หรือไม่?”
เฉินผู่ฟังแล้วยิ่งงงเข้าไปใหญ่รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจทนฟังวาจาเหลวไหลเลอะเทอะของอันเจิงต่อไปได้แล้วไอ้เด็กนี่พูดจาไม่รู้เื่ เอาเื่โน้นเื่นี้มาปะปนกันไปหมดแต่ก็เป็เพราะคำพูดที่คาดเดาไม่ได้ของเขานี่เอง ถึงทำให้เฉินผู่เกิดกลัวขึ้นมาแล้วจริงๆ เขารู้สึกได้เลยว่าจะต้องมีเื่เลวร้ายบางอย่างเกิดขึ้นตามมาแน่ ๆด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจลงมือฆ่าอันเจิงเสียเดี๋ยวนี้ ไม่ลังเลต่อไปอีกจากนั้นค่อยหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ก็ยังไม่สาย
อันเจิงวางเ้าแมวตัวเล็กลงกับพื้นก่อนจะหันไปชี้แนะแก่เขา “ในเมื่อมันกลืนผลึกแกนอสูรของข้าไปแล้วมันก็คือผู้ช่วยของข้า ทีนี้เ้าเข้าใจความหมายของคำพูดข้าหรือยัง?ที่ข้าถ่วงเวลาเ้าไว้ นั่นเป็เพราะข้ากำลังรอให้พลังของผลึกที่มันกลืนลงไปถูกดูดซับจนหมดแล้วยกระดับ!ตอนนี้เ้ากล้าเข้ามาหรือไม่? ขอเตือนไว้ก่อนว่าเ้าอาจจะรู้สึกเสียใจภายหลังเพราะว่าแม้กระทั่งแมวตัวหนึ่งเ้าก็ยังเอาชนะไม่ได้”
แมวสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเกียจคร้านหลังจากถ้อยคำของอันเจิงสิ้นสุดลง มันก็แหงนหน้าขึ้นส่งเสียงคำรามดุดัน ฟังดูแล้วเหมือนเสียงขู่คำรามของเสือโคร่งไม่มีผิด
ชั่วพริบตาหนึ่ง เฉินผู่รู้สึกราวกับเห็นภาพหลอนเื้ัของเ้าแมวสีขาวคล้ายกับมีอสุรกายน่าพรั่นพรึงตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
“ข้าจะฆ่าพวกเ้า!”
เฉินผู่ดีดตัวขึ้นไปข้างหน้าแต่ทันใดนั้นเองแผ่นหลังก็รู้สึกเจ็บแปลบตามมาด้วยไอเย็นน่าขนลุกที่เสียดสะท้านไปจนถึงก้นบึ้งของหัวใจ เขารีบหันกลับไปทันทีภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือเรือนผมสีขาวของเฉินเซ่าป๋าย
ในมือเฉินเซ่าป๋ายถือกริชเอาไว้เล่มหนึ่งเช่นกันกริชในมือของเขาแทงเข้าที่แผ่นหลังเฉินผู่ด้วยความเืเย็น เพียงเสี้ยววินาทีก็มีแผลปรากฏขึ้นมากมายกว่าร้อยแผลตำแหน่งของแผลเ่าั้มีั้แ่หัวใจไล่ไปจนถึงไตทั้งสองข้าง ทุกตำแหน่งล้วนเป็จุดสำคัญและอันตรายของร่างกายทั้งหมด
“ตอนที่เขาถามเ้าว่าผู้ฝึกตนในขอบเขตจุติ์ขั้นสามคนหนึ่งสามารถสังหารเ้าได้หรือไม่เ้าน่าจะคิดถึงข้าได้แล้ว”
เฉินเซ่าป๋ายยังคงแทงต่อไปเรื่อย ๆอย่างไม่ปรานี ขณะที่แทงอยู่ก็พูดไปด้วย
“ความแข็งแกร่งของข้าแน่นอนย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเ้าหากไม่ได้เขาช่วยดึงความสนใจของเ้าไว้ให้ความระมัดระวังทั้งหมดไปตกอยู่ที่แมวตัวนั้น ข้าจะแทงท่านได้ง่ายดายเพียงนี้หรือ?ลุงสาม?”
เฉินเซ่าป๋ายเตะใส่เฉินผู่เต็มแรงก่อนจะใช้เท้าพลิกตัวของเฉินผู่ขึ้นแล้วกระหน่ำแทงลงไปไม่ยั้งอีกครั้ง ตำแหน่งที่กริชเสียบทะลุลงไปปักเข้าที่หน้าอกอีกฝ่ายพอดิบพอดีไม่ผิดเพี้ยนและในจังหวะสุดท้ายก็เลื่อนขึ้นมาปาดผ่านลำคอของเฉินผู่จนเืทะลัก “ข้ากับอันเจิงทะเลาะกันที่โรงจวี้ฉ่างดังนั้นไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าข้าจะหนีไปจากที่นั่นพรุ่งนี้เช้าด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครคิดถึงว่า ตอนที่อันเจิงเดินออกมาข้าก็ออกมาพร้อมกับเขาด้วย เพียงแต่เขาออกทางประตูหน้า ส่วนข้าเดินออกทางประตูหลังเขาบอกกับข้าว่าจะให้ข้าได้รู้ในคืนนี้ว่าศัตรูที่แท้จริงของข้านั้นคือใคร แล้วเขาก็ทำได้จริงๆ ฉะนั้นข้าก็ต้องทำได้เหมือนกัน”
เฉินเซ่าป๋ายก้มลงไปเลียคราบเืที่ติดอยู่บนกริชแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ลุงสาม...เดินทางดีๆ ล่ะ”
ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ออกมาอันเจิงรู้สึกว่าแววตาของเขาปรากฏความกลิ้งกลอกและลึกลับขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะหายไป