“เมื่อก่อนข้าเคยเห็นท่านป้าใหญ่กับท่านแม่ซักผ้าเปื้อนเื ข้าก็คิดว่ามีใครได้รับาเ็ จึงไปถามท่านป้าใหญ่ แต่ท่านป้าใหญ่บอกว่าข้ายังเด็ก ไม่ต้องไปสนใจ ข้าจึงไปถามท่านแม่ ท่านแม่จึงบอกว่านั่นคือผ้าซับระดู บอกว่าผู้หญิงพอมีระดูก็สามารถแต่งงานมีลูกได้”
อวิ๋นเจียว “...”
อวิ๋นหลานเอ๋อร์ช่างกล้าหาญนัก ต่างจากหญิงสาวทั่วไปโดยสิ้นเชิง เื่แบบนี้ กลับพูดออกมาโดยไม่รู้สึกขัดเขินไม่เหมือนหญิงสาวในยุคนี้เอาเสียเลย
“หลานเอ๋อร์ เ้าพูดจาเหลวไหลอะไร เื่แบบนี้เป็เื่ที่หญิงสาวพึงพูดออกมาได้หรือ?”
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ถือกาต้มน้ำ เดินเข้ามาในครัวเพื่อเติมน้ำร้อน บังเอิญได้ยินคำพูดของอวิ๋นหลานเอ๋อร์เข้าพอดี สีหน้าของนางพลันบึ้งตึง น้องสาวคนนี้ช่างไม่รู้จักคิด เหตุใดจึงพูดเื่อุจาดเช่นนี้ให้อวิ๋นเจียวฟัง
อวิ๋นหลานเอ๋อร์ไม่ยอมแพ้ “พี่หญิง ข้าพูดความจริง ไม่ได้โกหกเสียหน่อย เหตุใดถึงเรียกว่าพูดจาเหลวไหลล่ะ?”
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็โกรธจนใบหน้าที่งดงามของนางแดงก่ำ นางเดินเข้าไปบิดหูอวิ๋นหลานเอ๋อร์ทันที “ยังจะพูดอีก ดูสิว่าข้าจะฉีกปากเ้าให้รู้แล้วรู้รอดได้หรือไม่!”
“โอ๊ยๆ! ข้าไม่พูดแล้ว พี่หญิงปล่อยข้าเถิด หากหูขาด ต่อไปข้าคงหาสามีไม่ได้แน่”
อวิ๋นเจียวหัวเราะออกมา ทำให้อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
“พี่หญิงรอง พี่หญิงสามไม่ได้ตั้งใจ ท่านปล่อยนางเถิดเ้าค่ะ”
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นจึงยอมปล่อยมือแต่ก็ยังคงถลึงตามองอวิ๋นหลานเอ๋อร์อย่างไม่พอใจ น่ากลุ้มใจนัก น้องสาวของนางช่างไม่รู้จักระวังคำพูดเช่นนี้ ต่อไปจะหาสามีบ้านไหน คงเป็เื่ยากแน่
“คราวหลังอย่าให้ข้าได้ยินเ้าพูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก มิฉะนั้นข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่!”
แม้ว่าอวิ๋นหลานเอ๋อร์จะเป็คนไม่รู้จักยั้งคิดเวลาพูด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางโง่งม นางยังเข้าใจหลักการที่ว่าคนฉลาดย่อมไม่ทนเสียเปรียบในตอนนี้
“พี่หญิงรองๆ ข้าไม่กล้าแล้ว มาเ้าค่ะ ข้าจะช่วยท่านเติมน้ำเอง ท่านรีบไปตัดเย็บเสื้อผ้าเถิด อีกไม่กี่วันเจียวเอ๋อร์จะออกไปข้างนอก จะได้ให้นางใส่พอดี”
อวิ๋นหลานเอ๋อร์รินน้ำร้อนใส่กาต้มน้ำจนเต็ม ยัดใส่มืออวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ แล้วผลักนางให้ออกไปจากครัว
อวิ๋นเจียวหัวเราะไม่หยุด พี่น้องคู่นี้ช่างรักใคร่กลมเกลียวกันดีเหลือเกิน ทำให้นางอิจฉาจริงๆ หากนางมีน้องสาวสักคนก็คงดี นางจะต้องตามใจน้องสาวเช่นเดียวกับที่พี่ใหญ่และพี่รองตามใจนางอย่างแน่นอน
อวิ๋นเหลียนเอ๋อร์เดินออกจากครัวไปแล้ว ส่วนชุนเหมยที่นำของขวัญไปแจกจ่ายก็กลับมา พอเห็นอวิ๋นเจียวกำลังหยิบจับพริก นางก็ใจนิญญาแทบหลุดออกจากร่าง นี่หากเข้าตาไปจะเป็อันตรายเพียงใด
“คุณหนูของบ่าว ลงมาเร็วเ้าค่ะ ให้บ่าวทำเถิด คุณหนูอยากทำสิ่งใดสั่งให้บ่าวทำก็พอเ้าค่ะ”
อวิ๋นเจียวเห็นท่าทางร้อนรนของชุนเหมยจึงไม่กล้าขัดขืน รีบลงจากม้านั่งเตี้ยหน้าเตา “ไม่เป็ไรหรอก แต่เ้ากลับมาได้ทันเวลาพอดี เช่นนั้นเ้าช่วยข้าทำอาหารเถิด ข้าจะบอกเ้าว่าต้องทำยังไง”
ไม่แปลกที่ชุนเหมยจะตื่นตระหนกเช่นนี้ เพราะอวิ๋นเจียวยังเด็กนัก และไม่เคยเข้าครัวมาก่อน ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะทำเครื่องประทินผิว หรือสบู่ผลึกแก้วอะไรพวกนั้น นางเป็เพียงคนสั่งการ ส่วนงานหนักทั้งหมดชุนเหมยจะเป็คนจัดการเอง นางเพียงแค่ลงมือทำขั้นตอนสุดท้ายก็พอแล้ว
ที่จริงแล้วอวิ๋นเจียวอยากจะเข้าครัวมานานแล้ว มีฝีมือทำอาหารแต่ไม่มีโอกาสแสดงฝีมือ ทำให้นางรู้สึกอัดอั้นไม่น้อย
ช่างเถิด เื่เข้าครัวค่อยว่ากันทีหลัง เพราะเื่ใดๆ ล้วนต้องใช้เวลา เด็กสาวที่ไม่เคยแตะงานบ้านงานเรือน จู่ๆ ก็มีฝีมือทำอาหารล้ำเลิศ นั่นมันน่าแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“ใส่น้ำมันลงไปเคี่ยวแล้วพักให้เย็น จากนั้นใส่น้ำมันหมูลงไป ใช้ไฟอ่อนๆ แล้วใส่พริกที่เตรียมไว้ลงไปผัดช้าๆ จนกว่าพริกจะเหนียวหนืด...”
อวิ๋นเจียวท่องขั้นตอนการทำน้ำปรุงหม้อไฟออกมาอย่างคล่องแคล่วราวกับท่องตำรา ไม่นานนัก กลิ่นหอมฉุนก็อบอวลไปทั่วครัว กระตุ้นต่อมน้ำลายจนใครต่อใครน้ำลายสอ
ชุนเหมยผัดเครื่องปรุงหม้อไฟ พลางเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “คุณหนู สูตรนี้เยี่ยมจริงๆ เรียกว่าอะไรหรือเ้าคะ?”
อวิ๋นเจียวตอบ “พ่อค้าต่างแคว้นที่สอนสูตรนี้ให้ข้าบอกว่า นี่เรียกว่า 'หม้อไฟ' เอาไว้ลวกอาหารกิน ตอนนั้นข้าไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก วันนี้หากไม่เห็นท่านแม่จัดการเครื่องในเป็ด ข้าก็คงลืมไปแล้ว”
โอ้์ ตอนนี้นางโกหกได้อย่างแเีลื่นไหล แถมดวงหน้าน้อยๆ ยังไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิด
“เจียวเอ๋อร์เมื่อไหร่จะกินได้ล่ะ?”
อวิ๋นเจียวตอบด้วยรอยยิ้ม “รอให้น้ำปรุงเดือดก็ลวกอาหารกินได้แล้วเ้าค่ะ”
กล่าวจบ นางก็หันไปบอกชุนเหมย “ชุนเหมย เติมน้ำลงไปในหม้ออีกหน่อย เสร็จแล้วก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ใกล้เที่ยงแล้ว เ้าไปเชิญท่านอาจารย์ตั่งกับครอบครัวท่านลุงใหญ่และท่านอาสามมากินข้าวที่บ้านเราเถิด”
น้ำแกงเป็ดตุ๋นเองก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ชุนเหมยเห็นว่าในครัวไม่มีอะไรให้ทำแล้ว จึงรับคำสั่ง “เ้าค่ะ คุณหนู บ่าวจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“เจียวเอ๋อร์ จะทำอะไรอีกไหม เ้าสั่งข้าได้เลย” อวิ๋นหลานเอ๋อร์ยินดีทำทุกอย่างเพื่อแลกกับอาหารอร่อย
อวิ๋นเจียวกล่าว “ตอนนี้พวกเราต้องหาหม้อทองแดงสี่ใบ แล้วก็ก่อถ่านไฟ”
หลังจากวันนี้ไป ต้องให้พี่รองช่วยทำหม้อไฟสักสองสามใบ เพื่อความสะดวกในการรับประทานหม้อไฟ ส่วนมื้อนี้ก็ต้องทนใช้เท่าที่มีไปก่อน
หม้อทองแดงหาได้ไม่ยาก ได้มาใบเล็กสองใบและใบใหญ่สองใบ เนื่องจากไม่มีตะแกรงเหล็กอวิ๋นหลานเอ๋อร์จึงทำตามคำแนะนำของอวิ๋นเจียว ไปหาหินแม่น้ำมาล้างทำความสะอาด
ส่วนถ่านไม้ก็มีอยู่แล้วในบ้าน ตอนที่เดินทางกลับมาจากเมืองหลวง เนื่องจากอากาศหนาวเย็น จึงซื้อมาเผื่อไว้จำนวนหนึ่ง ยังใช้ไม่หมด สองสาวช่วยกันก่อเตาถ่านสองเตา ไม่นานนัก ทุกคนในครอบครัวก็ทยอยกันมาถึง
“หอมจริงเชียว เจียวเอ๋อร์ทำอาหารอะไรอร่อยๆ อีกแล้วหรือ?” อวิ๋นฉี่ซานพุ่งตัวเข้ามาในครัวอย่างกับลิง พลางมองอาหารในหม้อด้วยแววตาเป็ประกาย
อวิ๋นเจียวยิ้มพลางห้ามเขา “หากท่านอยากกินของอร่อย ก็รีบไปช่วยยกโต๊ะออกมาตั้งในลานบ้าน วางไว้ใต้ต้นไม้ตรงนั้นก็ได้เ้าค่ะ เสร็จแล้วก็ช่วยกันยกเตาถ่านออกมา”
“ได้เลย!” อวิ๋นฉี่ซานตอบรับด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะหันไปเรียกฉี่ชิ่งกับฉี่เสียง “พี่ใหญ่ พี่รอง ไปยกโต๊ะกันเถิด!”
หากเรียงตามลำดับอายุของทุกคน ฉี่ชิ่ง บุตรชายคนโตของอวิ๋นโส่วกวงถือเป็พี่ใหญ่ ส่วนฉี่เสียงถือเป็พี่รอง ฉี่เยว่ บุตรชายคนโตของอวิ๋นโส่วจงถือเป็พี่สาม ฉี่ซานถือเป็น้องสี่ ฉี่รุ่ย บุตรชายของอวิ๋นโส่วจู่ถือเป็น้องห้า
ดังนั้น หลังจากที่ฉี่เยว่กับฉี่ซานสนิทสนมกับฉี่ชิ่งและฉี่เสียงแล้ว พวกเขาทั้งสองคนก็เรียกฉี่ชิ่งและฉี่เสียงว่าพี่ใหญ่ พี่รองตามลำดับ เพื่อแสดงถึงการยอมรับและเคารพในตัวลุงใหญ่และครอบครัว
พวกเขายกโต๊ะสองตัวมาวางต่อกันในลานบ้านตามความ้าของอวิ๋นเจียว จากนั้นพวกฉี่ซานก็ช่วยกันยกเตาถ่านสองเตาวางบนโต๊ะ แล้วนำหินแม่น้ำที่ล้างสะอาดแล้วมาวางล้อมรอบเตา
อาจารย์ตั่งเห็นเช่นนั้นก็ลูบเคราพลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ดูสิวันนี้ถึงกับต้องใช้ถ่านเชียวหรือ ตกลงเที่ยงนี้เจียวเอ๋อร์จะให้พวกเรากินอะไรกันแน่นะ?”
อวิ๋นเจียวกะพริบตาปริบๆ พูดอุบอิบไว้ “ท่านอาจารย์รอนั่งกินอย่างเดียวก็พอเ้าค่ะ อีกสักพักก็รู้เอง”
คำพูดของอวิ๋นเจียวทำให้ทุกคนต่างก็พากันหัวเราะและทำตามที่นางพูด นั่งรออย่างใจจดใจจ่อ
ชุนเหมยกับอวิ๋นหลานเอ๋อร์ช่วยกันยกหม้อใบโตที่บรรจุน้ำปรุงหม้อไฟ และน้ำแกงเป็ดตุ๋นมาวางบนเตาไฟ กลิ่นหอมลอยโชยมาเตะจมูก ทำให้ทุกคนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก
จากนั้นจานที่บรรจุไส้เป็ดที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ก็ถูกยกมาวางเรียงราย ไส้เป็ดถูกแขวนไว้บนตะเกียบที่ทำเป็ราว แต่ละเส้นยาวเรียงเป็แถวดูราวกับบะหมี่เส้นใหญ่
ต่อมาก็เป็กระเพาะเป็ดสองจานที่หั่นตามที่นาง้า ตีนเป็ด ปีกเป็ด คอเป็ด และเนื้ออกเป็ดที่สับและปั้นเป็ก้อนกลมๆ เืเป็ดที่แข็งตัวเป็ก้อนอยู่ในชาม รวมถึงผักสดกรอบอีกสองตะกร้า วางเรียงรายเต็มโต๊ะ
จากนั้นก็เป็น้ำจิ้มถ้วยเล็กๆ ที่ใส่น้ำมันงา ผักชีสับ ต้นหอมซอย กระเทียมสับวางอยู่ตรงหน้าทุกคน กลิ่นหอมช่างยั่วยวนใจ แต่ว่า ทุกอย่างเป็ของดิบทั้งหมด!
อวิ๋นโส่วกวงทำหน้าลำบากใจ จะให้กินก็กินไม่ลง เพราะทุกอย่างเป็ของดิบ แต่จะไม่กินก็ไม่ได้ เพราะเป็อาหารที่เจียวเอ๋อร์ตั้งใจทำให้
ช่างเถิด ถามสักหน่อยก็แล้วกัน “เจียวเอ๋อร์ ของพวกนี้มีแต่ของดิบ จะกินอย่างไรหรือ?”