อวิ๋นเหนียงพอได้ยินว่าตระกูลอวิ๋นจะถือหุ้นแบบตายตัว ทั้งยังรับปีละเพียงสามหมื่นตำลึงเงิน นางจะมีเหตุผลใดที่จะไม่ตอบตกลงได้เล่า? สบู่ผลึกแก้วหากให้ร้านฝูหรงเซวียนดำเนินการ ในหนึ่งปีสามารถทำกำไรสูงถึงสามถึงสี่แสนตำลึงเงินได้อย่างแน่นอน
“เช่นนั้นพวกเรามาทำสัญญากันเถิด คุณชายใหญ่จะไปที่ศาลาว่าการกับข้า หรือ...”
ฟางซื่อเอ่ยยิ้มๆ “พวกเราก็เขียนสัญญากันเองที่นี่เลยก็ได้ ไม่ต้องไปถึงศาลาว่าการอำเภอหรอก น้องหญิงคงไม่คิดโกงพวกเราหรอกกระมัง?”
การไม่ไปทำสัญญาที่ศาลาว่าการ หมายความว่าเป็เพียงสัญญาส่วนตัว แม้ว่าจะมีผลบังคับใช้เช่นกัน แต่ไม่มีฉบับที่เป็บันทึกของทางการ หากสัญญาถูกทำลาย ก็อาจส่งผลให้เนื้อหาในสัญญาเป็โมฆะ ดังนั้นสิ่งสำคัญเช่น โฉนดที่ดิน หรือสัญญาซื้อขายบ้าน จึงต้องไปทำที่ศาลาว่าการ
อวิ๋นเหนียงไม่คาดคิดว่าฟางซื่อจะปล่อยวางและทำตัวสบายๆ เช่นนี้ แต่เพียงครู่เดียว นางก็เข้าใจและคลายความสงสัย ใช่สินะ พวกเขายังมีสูตรเครื่องประทินผิวอยู่ หาก้าเครื่องประทินผิว ก็ไม่มีทางกล้าโกงเงินส่วนแบ่งจากสบู่ผลึกแก้วของพวกเขา
นั่นหมายความว่าครอบครัวนี้ใจกว้างและง่ายต่อการเจรจาการค้า แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโง่ ตรงกันข้าม ครอบครัวนี้กลับฉลาดยิ่งกว่าพ่อค้าที่อวิ๋นเหนียงเคยพบเจอมาหลายคนเสียอีก
โลกนี้มักจะมีคำกล่าวว่า ‘พ่อค้าไม่มีทางไม่คดโกง’ แต่มีพ่อค้าสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดได้อย่างยาวนาน? การที่จะตั้งมั่นในแวดวงการค้าได้ยาวนานนั้น ต้องอาศัยคำว่า ‘ซื่อสัตย์’
“ฮ่าๆ พี่สาวช่างใจกว้างยิ่งนัก น้องหญิงยินดีเป็อย่างยิ่ง! พวกเรามาเขียนสัญญากันเถิด”
ทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเรียบร้อย พร้อมชำระเงินสามหมื่นตำลึงสำหรับปีแรก อวิ๋นเหนียงจึงได้รับสูตรสบู่ผลึกแก้วและรีบขอตัวกลับไปทันที
เฮ้อ จะโทษว่านางเห็นแก่เงินมากไปก็ไม่ได้หรอกนะ ใครใช้ให้ท่านโหวของพวกนางใช้เงินเก่งเกินไปเล่า! เดิมทีกิจการเกี่ยวกับเครื่องประทินโฉมนั้นมีการแข่งขันสูงและรายได้ไม่มาก คิดจะหาเงินจึงไม่ใช่เื่ง่าย
ใครจะไปคิดว่า์จะส่งครอบครัวอวิ๋นมาให้ร้านฝูหรงเซวียนของพวกนาง! เดิมทีนางแค่ตามท่านโหวมาอยู่ที่อำเภอจิ่วจิ้นเป็การชั่วคราวเท่านั้น กลับได้พบคนของตระกูลอวิ๋น ทั้งยังได้เครื่องประทินผิวคุณภาพดีและสบู่ผลึกแก้วมาอย่างไม่คาดฝัน
ท่านโหวก็ได้สั่งไว้ว่า หลังจากนี้นางต้องประจำการที่เมืองจิ่วจิ้นครึ่งปี และอีกครึ่งปีให้ไปตรวจตราตามที่ต่างๆ ทว่าสิ่งที่นางไม่เข้าใจก็คือ ท่านโหวของพวกนางเพิ่งได้รับตำแหน่งใหม่ ควรจะอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อสานสัมพันธ์กับเหล่าขุนนางและคนมีอำนาจมากกว่า
แต่เหตุใดท่านโหวถึงต้องมาเมืองจิ่วจิ้นด้วย? หาก้าพาท่านโหวผู้เฒ่าออกมาเปลี่ยนบรรยากาศ เช่นนั้นพักผ่อนที่จวนแถบชนบทนอกเมืองหลวงก็น่าจะเพียงพอแล้วแท้ๆ
หลังจากส่งอวิ๋นเหนียงกลับไปแล้ว อวิ๋นเจียวรู้สึกเบื่อหน่ายจึงบอกกับฟางซื่อว่า “ท่านแม่ ข้าอยากไปเดินเล่นที่ทุ่งนาเ้าค่ะ”
ฟางซื่อรู้สึกว่าให้เด็กสาวอยู่แต่ในบ้านคงน่าเบื่อเกินไป จึงให้ชุนเหมยไปเป็เพื่อนนาง
อวิ๋นเจียวกลับห้องไปเปลี่ยนเป็ชุดขี่ม้าสีแดงเพลิง ซึ่งเป็ที่นิยมในหมู่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวง พวกนางมักจะออกขี่ม้าเพื่อชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ แม้จะเรียกว่าขี่ม้า แต่จริงๆ แล้วพวกนางเลือกม้าตัวเล็กที่สวยงามและเชื่อฟังว่าง่าย จากนั้นก็ให้คนเลี้ยงม้าจูงม้าเดินวนรอบสนามเท่านั้น
ก่อนที่อวิ๋นเจียวจะทะลุมิติ เ้าของร่างเดิมก็เคยเล่นแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่คนที่จูงม้าให้ไม่ใช่คนเลี้ยงม้า กลับเป็พี่ชายทั้งสองของนางเอง จุดประสงค์หลักของเหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ออกขี่ม้าเพื่อชมดอกไม้นั้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อใส่ชุดขี่ม้าที่สวยงาม แล้วเดินวนต่อหน้าบรรดาชายหนุ่มผู้มีความสามารถ เพื่อให้ได้รับคำชื่นชมจากพวกเขาเท่านั้นเอง
ชุดขี่ม้าของอวิ๋นเจียวชุดนี้ เป็ชุดที่เ้าของร่างเดิมเคยสั่งทำไว้ ตอนที่นางสวมชุดขี่ม้าเสร็จ ก็เปลี่ยนมาใส่รองเท้าหนังลูกกวางคู่น้อย เพราะว่าจะไปเดินในทุ่งนา การใส่กระโปรงคงไม่สะดวกนัก
ชุนเหมยช่วยอวิ๋นเจียวผูกแถบผ้าไหมสีแดงสองเส้นบนมวยผมสองข้าง ปลายแถบผ้าแต่ละเส้นประดับด้วยกระดิ่งเงินสองอัน
“ฮูหยินเ้าคะ สีแดงสดเช่นนี้ ต้องผิวขาวๆ อย่างคุณหนูของเราถึงจะเอาอยู่!”
หลังจากอวิ๋นเจียวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นางก็เดินไปที่ห้องโถงเพื่อทักทายฟางซื่อ ชุนเหมยจึงเอ่ยชมต่อหน้าฟางซื่อทันที ฟางซื่อมองดูบุตรสาวที่งดงามสดใสยิ่งกว่าดอกเหมยกุยด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถหุบลงได้
“อืม สีแดงสดนี้ยิ่งทำให้ผิวของเจียวเอ๋อร์ขาวยิ่งขึ้น ราวกับหิมะเลยทีเดียว”
อวิ๋นเจียวเชิดหน้าขึ้นอย่างภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ไม่รู้หรือว่าข้าเหมือนใคร ท่านแม่ ข้าไปข้างนอกแล้วนะเ้าคะ!”
หลังจากลาฟางซื่อแล้ว อวิ๋นเจียวก็ออกไปพร้อมกับชุนเหมย
ฟางซื่อมองตามแผ่นหลังของอวิ๋นเจียว คำพูดของอวิ๋นเจียวดังก้องอยู่ในความคิดของนาง พร้อมกับภาพเงาของร่างในชุดสีแดงสดที่ลอยเข้ามาในหัว ร่างนั้นงดงามราวกับเป็เทพธิดาที่เดินลงมาจาก์...
เจียวเอ๋อร์ก็... งดงามเช่นเดียวกัน... น้ำตาพลันเอ่อท้นในดวงตาของฟางซื่อ อวิ๋นเจียวไม่รู้เลยว่าคำพูดของนางได้ทำให้ฟางซื่อเกิดความรู้สึกะเืใจขึ้นมา
“เ้ารอง ต้นกล้าพวกนี้ทำไมถึงสูงบ้างเตี้ยบ้าง? ต้นข้าวสาลีก็เป็แบบนี้!” บนทุ่งนา อวิ๋นโส่วกวงเอ่ยด้วยความกังวล น้องรองออกจากบ้านั้แ่ยังเด็ก จึงไม่รู้เื่การทำนา
มีเพียงการซื้อเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีเท่านั้น ต้นกล้ากับต้นข้าวสาลีถึงได้เจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอเช่นนี้ ต้นกล้าแบบนี้ ผลผลิตในอนาคตคงไม่ดีแน่
อวิ๋นโส่วจงได้ยินความกังวลของพี่ชาย ในใจก็รู้สึกแปลกใจ ตามหลักการแล้วไม่ควรเป็เช่นนี้เลย เมล็ดพันธุ์เหล่านี้เขาซื้อมาจากร้านขายเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ร้านนั้นมีชื่อเสียงดีมาโดยตลอด
“พี่ใหญ่ ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรดี อีกไม่นานอากาศก็จะอุ่นขึ้นแล้ว หากจะเพาะปลูกใหม่ก็คงจะไม่ทันการ”
อวิ๋นโส่วกวงก็มองต้นกล้ามากมายด้วยความกังวล ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ต้นกล้าพวกเราสามารถไปซื้อจากบ้านอื่นได้ แต่ต้นข้าวสาลี... เฮ้อ!”
“ท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ ไม่ต้องกังวลเื่ต้นกล้าข้าวกับต้นกล้าข้าวสาลีของเราหรอกเ้าค่ะ ไม่ต้องเปลี่ยนต้นกล้าข้าวใหม่ด้วยนะเ้าคะ”
อวิ๋นเจียวรู้สึกโล่งใจ โชคดีที่นางมาที่นี่ มิเช่นนั้นหากปล่อยให้ท่านพ่อกับท่านลุงใหญ่เปลี่ยนต้นกล้าข้าว ถอนต้นข้าวสาลีทิ้งแล้วปลูกพืชชนิดอื่น... เช่นนั้นจะให้นางไปร้องไห้ที่ไหนกัน?
“เจียวเอ๋อร์มาแล้ว!”
“เจียวเอ๋อร์ ไยเ้าถึงมาที่นี่ ระวังมือหน่อยนะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นโส่วจงและอวิ๋นโส่วกวงก็หันไปมอง ก็เห็นร่างสีแดงเพลิงเดินมาจากคันนาไกลๆ ในขณะเดียวกันก็มีชาวนาวัยกลางคนสองคนมองมาที่อวิ๋นเจียวเช่นกัน พวกเขาคือคนงานที่ตระกูลอวิ๋นจ้างมา
คนงานทั้งสองคนเคยพบกับอวิ๋นเจียวแล้ว ต่างก็บอกว่าบุตรสาวของอวิ๋นโส่วจงน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอมาเห็นวันนี้ นางยิ่งเหมือนกับนางฟ้าตัวน้อยที่เดินออกมาจากภาพวาด
ชุดสีแดงเพลิง ผิวขาวราวกับหิมะ กระดิ่งสองคู่ที่ติดอยู่บนศีรษะ ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งตามจังหวะการเดิน ทำให้นางดูน่ารักและมีความสดใสยิ่งขึ้น
อวิ๋นเจียวหัวเราะ “ท่านพ่อ! ข้าเดินโดยไม่ต้องใช้มือเสียหน่อย!”
จากนั้นก็กวาดตามองต้นกล้าและต้นข้าวสาลีที่อยู่ติดกัน ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านซื้อเมล็ดพันธุ์พวกนี้มาจากร้านชางหลง ร้านชางหลงเป็ร้านขายเมล็ดพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ด้วยชื่อเสียงของพวกเขา คงไม่มีทางขายเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีให้ท่านหรอกเ้าค่ะ”
“ที่ต้นกล้าเจริญเติบโตไม่สม่ำเสมอเช่นนี้ ข้าคิดว่าอาจเป็เพราะลูกจ้างของพวกเขาทำพลาด เอาเมล็ดพันธุ์มาปะปนกัน ข้าเคยได้ยินท่านลุงใหญ่พูดว่า ไม่ว่าจะเป็ข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิหรือข้าว ล้วนมีหลายสายพันธุ์ ข้าวสาลีก็ช่างเถิด แต่พวกเราสามารถแยกต้นกล้าข้าวปลูกตามขนาดและความแข็งแรงได้ไหมเ้าคะ? หากทิ้งไปก็คงน่าเสียดาย”
แม้ว่าอวิ๋นเจียวจะอายุเพียงหกขวบ แต่อวิ๋นโส่วจงรักและเอ็นดูนาง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือความไว้ใจ ทันทีที่นางเอ่ยปาก เขาก็ตอบตกลงโดยไม่ลังเล
“ดี ทำตามที่เจียวเอ๋อร์พูดก็แล้วกัน ข้าวสาลีฤดูใบไม้ผลิพวกเราไม่ต้องไปสนใจ แค่แยกต้นกล้าข้าวออกจากกันก็พอ เสียเวลามากหน่อยเท่านั้นเอง”
ในสายตาของอวิ๋นโส่วกวง อวิ๋นเจียวก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ค่อนข้างเสี่ยง แต่น้องชายของเขาเอ่ยปากเช่นนี้แล้ว เขาก็ตัดสินใจลองดู
“นายท่าน ไม่ได้นะขอรับ!” แต่คนงานทั้งสองคนที่กำลังทำงานอยู่กลับใ อวิ๋นโส่วจงใจกว้างกว่านายท่านคนอื่นๆ มาก พวกเขาทำงานที่ตระกูลอวิ๋น ไม่เพียงแต่ได้ค่าแรงสูงกว่าที่อื่น อาหารการกินก็ดีกว่าที่อื่นๆ มาก