ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเข้าใจ มุมปากของเฟิงจิ้งอี้โค้งขึ้นเป็รอยยิ้มพึงพอใจกับปฏิกิริยาของเหยียนชิง เหยียนชิงเดินเข้าไปหาอย่างใจเย็นแล้วกล่าวอย่างสุภาพว่า
“ยินดีต้อนรับคุณชายหวัง ต้องขออภัยที่ข้าไม่ได้ออกไปต้อนรับ หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”
อิ้งหลีเห็นท่าทางที่คุณชายของตนคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเป็อย่างดีก็สับสนเล็กน้อย ั้แ่เล็กจนโตเขาอยู่ข้างๆ คุณชายมาตลอด ... แล้วพวกเขาไปสนิทสนมกันตอนไหน หากในเมืองฝูซังมีคุณชายที่โดดเด่นเช่นนี้ เขาออกไปข้างนอกบ่อยๆ ก็น่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้าง...
อีกอย่างคุณชายบอกว่าไม่คุ้นเคยกับคุณชายแซ่หวังผู้นี้ไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเหมือนเพื่อนเก่ามาเจอหน้ากัน... แต่กระนั้นท่าทางของคุณชายกับสหายเก่าผู้นี้กลับนอบน้อมอยู่หลายส่วน ช่างน่าประหลาดใจจริงๆ
เนื่องจากความประหลาดใจที่มากเกินไป อิ้งหลีจึงอดไม่ได้ที่จะจ้องมองเฟิงจิ้งอี้อยู่เป็เวลานาน จนกระทั่งเซียวอวิ๋นมู่แค่นเสียงเ็าอย่างไม่พอใจ เขาจึงถอนสายตากลับ แต่ความสงสัยของเขายังคงไม่ลดลง
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้น กวาดสายตามองอิ้งหลีที่จ้องเขาอย่างอุกอาจด้วยแววตายากจะคาดเดา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันหน้าไปมองเหยียนชิง
“จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไร ข้าไม่ได้บอกล่วงหน้ายังกลัวว่าจะรบกวนเ้า”
เหยียนชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร คุณชายหวังเชิญขอรับ”
เหยียนชิงพาทั้งสองเดินเข้าไปข้างใน ตอนนี้อากาศหนาวมาก จวนตระกูลเหยียนที่เดิมทีไม่คึกคักอยู่แล้วยิ่งเงียบสงัด ส่วนการมาแบบไม่บอกกล่าวของเฟิงจิ้งอี้ที่มีราชกิจต้องทำมากมายนั้นเป็เื่ที่หาได้ยากมาก
ในวังหลวง ถ้าไม่ใช่งานของราชสำนักหรือกองทัพก็ต้องเป็งานในวังหลัง งานเบื้องหน้าของราชสำนักก็วุ่นวาย แม้วังหลังจะยังสงบสุขแต่เื่เล็กๆ น้อยๆ ก็มีมาก กลุ่มคนที่คิดว่านั่นไม่ใช่เื่ใหญ่จะทำให้เขาหัวเสียทันที
เหยียนชิงเดินนำเฟิงจิ้งอี้เข้าไปในห้องหนังสือและสั่งให้บ่าวรับใช้ออกไป และเฟิงจิ้งอี้ก็เข้าไปในห้องหนังสือ สั่งให้เซียวอวิ๋นมู่เฝ้าอยู่ด้านนอก
หลังจากปิดประตูห้องหนังสือเหยียนชิงก็คุกเข่าลงคำนับอย่างเป็ทางการ “กระหม่อมเหยียนชิง ถวายบังคมฝ่าา”
“เอาล่ะ ไม่ต้องมากพิธี ไม่ได้อยู่ในวังสักหน่อย มารยาทเหล่านี้ก็ไม่ต้องแล้ว ครั้งนี้เจิ้นแอบออกมาจากรั้ววังก็สบายใจไม่น้อย เ้าอย่าทำให้เสียเื่”
เฟิงจิ้งอี้พูดจบก็นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าโต๊ะเตี้ย ยกชาร้อนขึ้นมาจิบพลางเอ่ยชม “ชาดีนี่”
เหยียนชิงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้กวักมือเรียกเขาว่า “นั่งเถอะ เ้าเป็เ้าบ้านส่วนข้าเป็แขก แขกย่อมแล้วแต่เ้าบ้าน ท่าทีนอบน้อมเกินไปทำให้เสียบรรยากาศ”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายบอกให้เขาทำตัวตามสบาย เหยียนชิงจึงมานั่งตรงข้ามเขาอย่างมีมารยาท อันที่จริงเขามีประสบการณ์ในชีวิตที่แล้ว การนั่งในระดับเดียวกันเช่นนี้เหยียนชิงไม่รู้สึกกดดันแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย คิดไปคิดมาก็ลุกขึ้นหยิบกระดานหมากล้อมออกมา
เฟิงจิ้งอี้ยกมุมปากขึ้น “อ้อ อยากเล่นหมากล้อมอย่างนั้นหรือ?” คนผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาด เขาเองก็กำลังคิดเช่นนี้อยู่
เหยียนชิงยิ้มแย้ม
“ไม่ทราบว่าฝ่าาสนพระทัยหรือไม่? การเล่นหมากล้อมสามารถบำรุงจิตใจได้ ฝ่าาต้องจัดการกับราชกิจมากมาย นี่เป็วิธีผ่อนคลายที่ดี”
เฟิงจิ้งอี้เอื้อมมือไปหยิบหมากดำขึ้นมาพลางถอนหายใจ
“ก็ดี เจิ้นไม่ได้เล่นหมากล้อมมานานแล้ว ผู้คนต่างพูดกันมาว่าฮ่องเต้มีอายุยืนยาว แต่ของที่ถูกทอดทิ้งก็มีมากมายนับไม่ถ้วน เจิ้นถึงกับลืมไปเลยว่าความสบายใจครั้งล่าสุดคือเมื่อไหร่...”
เหยียนชิงไม่ได้กล่าวอะไร ฟังอีกฝ่ายบ่นกับตัวเองอย่างนอบน้อม แต่ไหนแต่ไรมา หากตนอยากได้อะไรก็ต้องได้ ยิ่งได้มามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น แต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีความเมตตาต่อฮ่องเต้มากนัก
เมื่อเริ่มเล่นหมากล้อมเหยียนชิงก็ส่งสัญญาณว่า “ฝ่าาเชิญก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
นิ้วเรียวยาวของเฟิงจิ้งอี้หยิบหมากชิ้นหนึ่งแล้ววางลง
“เหยียนชิง เ้าฉลาดมาก เจิ้นชอบคนฉลาด อยู่ด้วยกันได้ไม่ยาก คนที่ดื้อรั้นหรือทำตัวประจบเกินไปเจิ้นไม่ชอบ”
สตรีในวังหลังและขุนนางผู้าุโที่ดื้อรั้นเ่าั้คือทำให้เขาอารมณ์เสียทุกครั้ง
เหยียนชิงยิ้มนอบน้อม “ขอบพระทัยฝ่ายบาท”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่นานเฟิงจิ้งอี้จึงเอ่ยถาม
“ไม่แนะนำชายาของเ้าให้เจิ้นรู้จักหน่อยหรือ?”
ตอนเขาเป็รัชทายาทเขาเคยคิดไว้ว่าต่อไปเว่ยซูหานจะคอยสนับสนุนเขาเหมือนแม่ทัพเว่ยที่คอยสนับสนุนเสด็จพ่อ คิดไม่ถึงว่า... โลกนี้ยากที่จะคาดเดา
มือของเหยียนชิงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ฮูหยินของข้าไม่อยู่จวนพ่ะย่ะค่ะ” นี่ไม่ใช่เป็แค่การมาเยี่ยมเยือนเฉยๆ จริงๆ ด้วย
เฟิงจิ้งอี้ปรายตามองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “แล้วจะกลับตอนไหน เจิ้นจะอยู่รอ”
เหยียนชิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มสงบ “เขาเดินทางไกล กำหนดวันกลับไม่แน่นอน หากฝ่าาไม่รังเกียจจะพักที่นี่ก็ได้”
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวอย่างแ่เบาว่า “ฤดูหนาวนี้ ยังให้เขาเดินทางไกล เ้าไม่เป็ห่วงหรือ?”
พอเขามาถึงก็ให้คนไปสอบถามจึงรู้มาว่าเว่ยซูหานเป็ภรรยาเอกของจวนตระกูลเหยียน ฐานะของภรรยาเอกไม่เหมือนกับตระกูลอื่น เป็ที่โปรดปรานของตระกูลสามีมาก มีพิธีแต่งงานอย่างสง่าผ่าเผย ฐานะสูงกว่าคุณชายสายรองเสียอีก ไม่รู้ว่ามีภรรยาชายฐานะต่ำต้อยในเมืองฝูซังกี่คนที่อิจฉา
บางคนถึงกับบอกว่ายอมเป็นายบำเรอของคุณชายรองเหยียน ดีกว่าไปเป็ภรรยาชายที่บ้านอื่น เห็นได้ว่าเหยียนชิงดีต่อเว่ยซูหานมากเพียงใด
เหยียนชิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้แล้วก็รู้สึกกระอักกระอ่วน เขาหาคำพูดที่เหมาะสมมาตอบไม่ได้ จึงหัวเราะเบาๆ ไม่กี่ครั้ง พูดมาถึงตรงนี้เขายังไม่เข้าใจว่าเฟิงจิ้งอี้กำลังทดสอบเขา แต่น้ำเสียงก็ดูเหมือนไม่ได้ตำหนิ ดังนั้นเขาไม่จำเป็ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป
เฟิงจิ้งอี้มองหมากในกระดานอย่างจนใจ ก่อนจะเลือกเดินไปอีกทางแล้วกล่าวว่า
“เมื่อไม่กี่วันก่อน เจิ้นได้รับจดหมายจากแม่ทัพชายแดนทางเหนือว่าขบวนสินค้าตระกูลเหยียนนำเสบียงไปส่งเรียบร้อยแล้ว คุณชายเว่ยแห่งตระกูลเหยียนยังช่วยรองแม่ทัพฮั่วหยางอีกด้วย นี่เป็ผลงานใหญ่”
เขาจงใจเน้นย้ำคำว่าคุณชายเว่ยแห่งตระกูลเหยียนให้หนักขึ้น หลังจากพูดจบเขาก็สังเกตปฏิกิริยาของเหยียนชิง
เหยียนชิงเม้มปากแน่นแต่ยังคงไม่ตอบ เพราะไม่กล้าพูดอะไรเหลวไหล แต่ในมือมีหมากสีขาวที่เขาวางลงไปมันสามารถขังหมากสีดำอีกฝ่ายเอาไว้ได้
เฟิงจิ้งอี้กวาดสายตามองกระดานหมากล้อมอย่างจนปัญญา ได้แต่เดินอีกทางหนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า
“สูตรยาที่เ้าให้เจิ้นมามันได้ผลดีมาก โรคเก่าของเจิ้นหายดีแล้ว เหยียนชิง เจิ้นขอบคุณเ้ามาก”
เหยียนชิงสงบสติอารมณ์ได้มากกว่าที่เขาคิด ทั้งๆ ที่ใบหน้ายังเยาว์วัย ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกเหมือนพูดคุยกับคนแก่
“ฝ่าาเกรงใจกันเกินไปแล้ว” เหยียนชิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ “เมื่อฝ่าาทรงแข็งแรงประเทศชาติก็สงบสุข กระหม่อมเพียงทำตามหน้าที่ของขุนนางเท่านั้น”
“เมื่อข้าแข็งแรงประเทศชาติก็สงบสุข หึ... เ้ามีเจตนาดี แต่เ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่หวังให้เจิ้นป่วย...”
น้ำเสียงของเฟิงจิ้งอี้ดูไม่แยแส แต่กลับแฝงไว้ด้วยความประชดประชันอย่างชัดเจน ทุกวันมีกี่คนที่ไม่ปรารถนาดีกับเขา เขาก็รู้ดี
เหยียนชิงพยักหน้าแต่ก็ส่ายหัวกลับ หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วจึงกล่าวต่อ
“ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว ทุกคนต่างก้มหัวให้ฮ่องเต้ ทั่วแผ่นฟ้าและผืนน้ำก็ต้องยอมรับทุกสรรพชีวิต หากเกิดเื่อะไรขึ้น จิตใจของฮ่องเต้นั้นสำคัญที่สุด ดังนั้นเมื่อฮ่องเต้แข็งแรงประเทศก็จะสงบสุข”
รอบนี้ถึงคราวของเฟิงจิ้งอี้ไม่พูดไม่จา แต่สายตาจ้องเขม็งไปที่เขา
เหยียนชิงนั่งนิ่ง แม้ว่าสายตาของอีกฝ่ายจะดูกดดัน แต่การจัดวางหมากกระดานของเขานั้นกลับไม่สะทกสะท้าน หมากล้อมเปลี่ยนจากความสบายๆในตอนแรกกลายมาเป็การต่อสู้ดุเดือด
หลังจากไม่ยอมอ่อนข้อให้กันอยู่นาน เฟิงจิ้งอี้ก็เปิดปากพูดอีกครั้ง
“เ้ารู้กลอุบาย ดังนั้นเ้าจึงรู้วิธีเจรจาเงื่อนไขกับเจิ้น”
เหยียนชิงตอบอย่างคลุมเครือว่า “เหยียนชิงไม่กล้า”
จู่ๆ เฟิงจิ้งอี้ก็หัวเราะออกมา
“เ้ากล้าดีขนาดให้เว่ยซูหานไปที่ด่านชายแดนเพื่อติดต่อกับทหารเก่าของแม่ทัพเว่ย เป็เช่นนี้ยังจะมีอะไรไม่กล้าอีก? เหยียนชิงเอ๋ย เหยียนชิง คนอื่นไม่เข้าใจ แต่เจิ้นแค่มองก็เข้าใจเ้าแล้ว”
“พี่ชายของข้ายังไม่กลับมาเรือน สุขภาพของมารดาก็แบกรับภาระไม่ไหว ญาติผู้พี่ยุ่งอยู่กับงานภายใน ข้าเป็แค่บัณฑิตคนหนึ่งที่รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเหยียน คิดว่าฝ่าาเองก็พอจะได้ยินมาบ้าง การเดินทางของเว่ยซูหานลำบากจริงๆ แต่ตอนนี้เขาเป็ฮูหยินของข้า หากเขาทำอะไรผิดพลาดไป หวังว่าฝ่าาจะทรงให้อภัยสักครา หลังจากนี้ข้าจะกลับไปสั่งสอนเขาให้ดี”
เหยียนชิงตอบอย่างจนปัญญา คิ้วขมวดเข้าหากัน เื่แบบนี้ต่อให้ถูกแพร่งพรายออกไปก็ไม่ควรยอมรับต่อหน้าได้ เขาไม่ได้โง่ ก่อนจะส่งเว่ยซูหานไปชายแดน เขาก็คิดหาคำพูดที่สมเหตุสมผลไว้แล้ว
เฟิงจิ้งอี้ชื่นชมความสามารถของเขามาก พยักหน้าแล้วกล่าวว่า
“อืม เจิ้นเถียงไม่ได้เลย”
เหยียนชิงยกมุมปากขึ้น “ฝ่าาทรงพระปรีชา นับว่าเป็บุญของแคว้นเทียนซู”
เฟิงจิ้งอี้ไม่กล่าวอะไรอีก เพียงแต่เล่นหมากล้อมต่อ
“เมื่อครู่เจิ้นไม่ได้พูดไปแล้วหรือ เขาสร้างคุณงามความดี เจิ้นจะลงโทษได้อย่างไร”
เหยียนชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตอบอย่างหนักแน่น
“เขาเป็ภรรยาชายไม่กล้าทำความดีความชอบ หากฝ่าาคิดจะมอบรางวัลให้เขา กระหม่อมขอเป็ฝ่ายปฏิเสธแทนเขาเอง หวังเพียงว่าฝ่าาจะไม่ลงโทษพวกกระหม่อม”
คราวนี้เฟิงจิ้งอี้เงียบไปพักใหญ่ หมากกระดานตรงหน้าใกล้จะจบแล้วจึงเอ่ยปากขึ้น
“กฎคือสิ่งที่ตายตัว ส่วนคนยังมีชีวิตอยู่ จะดีหรือไม่ดี จะตายหรือไม่ตาย มิใช่ใช้หลักการใครสูงใครต่ำมาตัดสินหรือ?”
เหยียนชิงได้ยินดังนั้นก็เงยหน้ามองเขาด้วยแววตาดุดัน หลังจากจ้องมองมาสักพักก่อนจะก้มหน้าลง
“ฝ่าาทรงพระปรีชา เป็วาสนาของแคว้นเทียนซูจริงๆ”
เฟิงจิ้งอี้ยิ้มและยังคงแข่งหมากล้อมกับเขาต่อ
เมื่อหมากขาวเม็ดสุดท้ายตกลงมา เหยียนชิงก็ลุกขึ้นและโค้งคำนับ
“ฝ่าาเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดจริงๆ วิถีของฮ่องเต้ ใต้หล้าไร้เทียมทาน”
เม็ดสุดท้ายถูกวางลงและได้ข้อสรุปแล้ว เฟิงจิ้งอี้มองไปที่เหยียนชิง
“เ้าเองก็ไม่เลวเช่นกัน สถานการณ์ยากลำบากบนกระดานเ้าก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็อย่างดี นี่สมกับจะเป็ผู้ช่วยที่จะคอยวางแผนอยู่ข้างข้าหรอกหรือ?”
เหยียนชิงจ้องกระดานหมากล้อมแล้วยิ้มบางๆ ไม่กล่าวอะไร ชาติที่แล้วเขาเป็ราชครูขององค์ชาย หากไม่ใช่เพราะตระกูลเหยียนเกิดเื่ขึ้น วันหน้าก็อาจได้ช่วยฮ่องเต้วางแผนราชกิจในใต้หล้า
เฟิงจิ้งอี้เองก็จ้องกระดานหมากล้อมอยู่นาน จากนั้นก็จ้องคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างสงบนิ่ง
“เหยียนชิง พวกเ้าสองสามีภรรยา คนหนึ่งถือพู่กันสามารถเป็ที่พึ่งให้ใต้หล้าได้ ส่วนอีกคนก็ขึ้นหลังม้าตัดสินชะตาแคว้น ในฐานะฮ่องเต้ เจิ้นจะเลือกอย่างไรดี”
“ฝ่าาทรงมีการตัดสินใจเป็ของตัวเองเสมอ กระหม่อมไม่กล้าตัดสินแทนพระองค์”
คำถามที่ถามตัวเองแบบนี้เขาไม่ควรตอบตามใจชอบ ใครจะรู้ว่าในใจของตี้จวินคิดอย่างไร หากไม่ใช่เพราะตอนนี้เขารักษาอาการป่วยของตี้จวินหาย หากไม่ใช่เพราะเว่ยซูหาน 'บังเอิญ' สร้างคุณงามความดีขึ้นมา ด้วยนิสัยขี้ระแวงของตี้จวิน เกรงว่าคงตัดเขาออกตั้งนานแล้ว ไหนเลยจะมานั่งเล่นหมากล้อมพูดคุยกับเขาเช่นนี้
ทั้งหมดนี้เป็แผนการของเขา แต่ที่กล้าทำเช่นนี้ก็เพราะประสบการณ์ในชาติที่แล้วของเขา เขามีความเข้าใจในตัวของตี้จวิน ในใจของฮ่องเต้หนุ่มย่อมมีความกล้าหาญและทะเยอทะยาน จนทำให้ตนได้ขึ้นครองราชย์ ความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงต่อหน้าขุมอำนาจใหญ่ก็มีมากมาย พูดอีกอย่างก็คือสามารถสื่อสารและโน้มน้าวใจได้มากขึ้น
“เอาล่ะ ค่อยคุยเื่นี้กันใหม่”
เฟิงจิ้งอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกถ้วยชาขึ้น หัวข้อนี้นับว่าจบลงแล้ว
บรรยากาศเงียบสงัด เหยียนชิงก้มหน้าลง แต่ยังคงรู้สึกว่าคนตรงหน้ายังมองมาที่เขา ผ่านไปครู่ใหญ่เฟิงจิ้งอี้จึงเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเ้าจะสามารถทำให้เว่ยซูหานเชื่อฟังได้ด้วยรูปลักษณ์ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ของเ้า เจิ้นประหลาดใจมาก”
“เอ่อ แค่ก... ซูหานเขาเป็คนดีมาก”
เหยียนชิงสามารถรับมือกับเื่อื่นได้อย่างสงบ มีเพียงเื่ของเว่ยซูหานเท่านั้นที่ทำให้เขาสับสนเล็กน้อย และในใจของเขากลับรู้สึกไม่ยุติธรรม
ใครบอกว่าเขาทำให้เว่ยซูหานเชื่อฟัง ทั้งๆ ที่เว่ยซูหานเอาแต่ใจและเผด็จการทำให้เขาเชื่อฟังต่างหาก
เฟิงจิ้งอี้ไม่ใช่คนดีที่ไร้เดียงสา พอได้ยินคำพูดนี้แล้วดูปฏิกิริยาของเขาอีกครั้งตนก็เข้าใจ จึงส่งเสียง 'อ้อ' ที่ยากจะคาดเดาออกมา เสียงท้ายที่ดังขึ้นทำให้เหยียนชิงรู้สึกกระอักกระอ่วน
ได้แต่คิดหาวิธีเปลี่ยนเื่ มองกระดานหมากล้อมแล้วถามว่า “ฝ่าาอยากเล่นอีกสักตาหรือไม่?”
“ไม่แล้ว” เฟิงจิ้งอี้ส่ายหน้า “การเดินทางครั้งนี้ของเจิ้นไม่ค่อยสะดวกนัก ต้องเจียดเวลาไปเที่ยวชมเมืองฝูซังสักหน่อย”
เหยียนชิงพยักหน้า “ไม่ทราบว่าเหยียนชิงสามารถทำอะไรให้ฝ่าาได้บ้าง?”
เฟิงจิ้งอี้เผยสีหน้าที่ไม่อาจคาดเดาอารมณ์ได้ออกมา
“เดิมทีเจิ้นอยากพาเ้าไปด้วย แต่พอนึกถึงชื่อเสียงของคุณชายรองเหยียนของเ้าที่เมืองฝูซางก็โด่งดังเกินไป ช่างเถอะ ไปหาคนที่คุ้นเคยกับเมืองฝูซางมาชี้แนะเส้นทางให้เจิ้นดีกว่า”
เหยียนชิงก็ยิ้มเช่นกัน “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะให้อิ้งหลีไปนำทางฝ่าา”
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้น “อิ้งหลี? คุณชายรูปงามเมื่อครู่นี้น่ะหรือ?”
เหยียนชิง “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้ถอนหายใจด้วยน้ำเสียงที่อธิบายไม่ได้ “คนรับใช้ของเ้าช่างหน้าตาใช้ได้”
ดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มเหมาะกับคิ้วเรียวยาวคู่นั้น ดวงตาที่เปล่งประกายนั้นช่างน่าประทับใจจริงๆ ในฐานะฮ่องเต้ ทักษะการรู้จักคนของเขาไม่ใช่เื่ที่ต้องซ่อนไว้ อิ้งหลีและสาวใช้อีกคนก่อนจะเดินเข้ามา คนที่นายท่านเหยียนให้เหยียนชิงไว้นั้นไม่ธรรมดาเลย
“ฝ่าาชมกันเกินไปแล้ว”
เหยียนชิงก้มศีรษะอย่างนอบน้อม
“อิ้งหลีกับข้าเป็สหายมากกว่าตำแหน่งบ่าวไพร่ ั้แ่เล็กก็เป็สหายร่วมสำนักของข้า พูดไปก็ละอายใจ อิ้งหลีมีความรู้ความสามารถด้านวรยุทธ์เหนือกว่าข้าเสียอีก”
อิ้งหลีแก่กว่าเขาสองปี ปีนี้อายุสิบเก้าแล้ว เขาบอกให้อิ้งหลีไปสอบขุนนาง แต่อิ้งหลีก็ปฏิเสธ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอม
ตอนเด็กๆ เขาอ่อนแอและป่วยเป็โรค อิ้งหลีก็ดูแลเขาไม่น้อย อิ้งหลีเข้าไปฟังอาจารย์สอนที่สถานศึกษาส่วนตัวแล้วกลับมาสอนเขาอีกที ถึงแม้เป็คนเก็บตัว แต่ฐานะในจวนก็ไม่ต่ำ คนนอกเห็นเขาต่างก็เรียกเขาว่าคุณชาย
ดวงตาของเฟิงจิ้งอี้เปล่งประกาย “อ้อ คนที่เ้าชื่นชมได้ถึงเพียงนี้ เจิ้นต้องเปิดใจดูให้มากแล้ว”
เหยียนชิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เมื่อพูดมาถึงจุดนี้เขาก็ต้องรีบหาทางลง อิ้งหลีมีความสามารถโดดเด่น ตอนนี้เป็่ที่ฮ่องเต้กำลังเสริมกำลังให้ฐานของตัวเอง ้าบุคคลที่มีความสามารถ หากสามารถให้ความสำคัญกับอิ้งหลีได้ ก็ดีทั้งกับพวกเขาและอิ้งหลี อย่างแรกคือทำให้อิ้งหลีได้ฝึกฝนวิชายุทธ์ของตัวเอง สองหากเหยียนชิงมีฐานะเพิ่มขึ้น ต่อไปก็จะดีกับตระกูลเหยียน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เหยียนชิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา เมื่อก่อนเขาเกลียดแผนการเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาทำได้ทุกอย่างเพื่อครอบครัวและคนรัก เพื่อความคับข้องใจในชาติก่อน และเพื่อสืบหาแผนการใหญ่ จนต้องยอมทำในสิ่งที่ตนไม่ชอบ
เหยียนชิงให้อิ้งหลีพาเฟิงจิ้งอี้ออกไปเที่ยวชมเมือง และกำชับเขาให้ปกป้องเฟิงจิ้งอี้ให้ดี แม้ว่าเขาจะรู้ว่านอกจากเสี่ยวอวิ๋นมู่แล้ว ก็ต้องมีองครักษ์ลับมาด้วยอย่างแน่นอน และวรยุทธ์ก็ไม่ได้แย่ แต่อย่างไรก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
แต่เหยียนชิงไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริงของเฟิงจิ้งอี้กับอิ้งหลี กลัวว่าเขาจะรู้สึกกดดัน มาดูกันว่าครั้งนี้อิ้งหลีจะประเมินการกระทำของฝ่าาอย่างไรค่อยว่ากัน ขุนนางด้วยกันย่อมต้องเข้าใจกันแม้ว่าไม่ได้พูดอะไร