สายลมยามราตรีพัดมา ทำให้ซีเสียหายไปจากที่เดิม จิงโม่ยืนอยู่ที่เดิมครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะมองไปด้านหลังแล้วะโไปซ่อนตัว
ตอนที่หลินชวนมาถึงที่นี่ก็รู้ได้ทันทีว่าที่นี่มีคนมาและเพิ่งจากไป เพียงแต่ป่ารกร้างแห่งนี้เขาคนเดียวก็ยากที่จะค้นหา เขามอบรอบด้านด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น หากหาเบาะแสไม่เจอเลย คงกลับไปแบบไม่สบายใจแน่นอน
จิงโม่แอบมองหลินชวนในเงามืด และคิดในใจว่าคนที่ดูแลเหยียนชิงก็มีประโยชน์เช่นกัน หากเมื่อครู่เขาไม่ลงมือ หลินชวนจะปกป้องเว่ยซูหานได้หรือไม่ เว่ยซูหานที่าเ็สาหัสจะเหลือแรงอยู่เท่าไหร่กันเชียว
เขาอยากจะทดสอบเว่ยซูหานสักครั้ง แต่ก็ไม่กล้าเสี่ยง เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะเขา สถานที่ที่ลูกดอกนั้นตัดขาดคงไม่ใช่เทียน แต่เป็คอของเว่ยซูหานแทน เขายอมรับว่าเว่ยซูหานแข็งแกร่งมาก แต่คนที่ได้รับาเ็หนักเกรงว่าแม้แต่นักฆ่าธรรมดาก็ยังสามารถฆ่าเขาได้ นับประสาอะไรกับนักล่าค่าหัว
หากถูกพิษเห็นเืปิดคอ เทพเซียนก็คงช่วยไม่ได้
หลังจากหลินชวนสำรวจรอบด้านแต่ก็ยังกลับมามือเปล่า จิงโม่ก็พรางกายแล้วจากไปหลังจากที่เขาออกไปเช่นกัน
หลังจากเหตุการณ์การลอบสังหาร เว่ยซูหานก็ตื่นตัวตลอดทาง แต่ครึ่งเดือนผ่านไป อาการาเ็ของเขาดีขึ้นมาก แต่เหตุการณ์กลับสงบไม่มีนักฆ่าปรากฏตัวออกมาอีก เขาออกจากดินแดนทางเหนือไปอย่างราบรื่น แน่นอนว่าเว่ยซูหานไม่คิดจะบอกเหยียนชิงเื่การถูกลอบสังหารครั้งนี้เพื่อไม่ให้เขากังวล
แต่หลินชวนเองก็รู้ว่าการที่นักล่าค่าหัวยอมละทิ้งการสังหารในครั้งนี้ สัญญาล่าค่าหัวส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้ตายสถานเดียว หากยอมแพ้ตามใจชอบ ไม่เพียงแต่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการละเมิดสัญญาเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อชื่อเสียงของสำนักอีกด้วย
เดิมทีเว่ยซูหานคิดว่านักฆ่าที่ไม่อาจถูกองครักษ์จับได้น่าจะมาจากเจิ้น ไม่ตายไม่เลิกราเป็หลักการที่นักล่าของเจิ้นนำมาปฏิบัติ แต่ในตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้ว บางทีอาจจะเป็ยอดฝีมือจากสำนักอื่น หรืออาจจะมีสถานการณ์พิเศษบางอย่างทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ได้
หากจะบอกว่าคืนนั้นพลาด หลายวันมานี้ก็ควรจะมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ชาติที่แล้วไม่ได้ถูกลอบสังหาร หรือว่ามีคนเห็นเหยียนชิงปฏิบัติต่อเขาอย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลังจึงต้องกำจัดเขาก่อน?
ก้านดอกเหมยมีหิมะเกาะเป็สัญลักษณ์แห่งการเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็ทางการของเมืองฝูซัง ในจวนเหยียนส่วนใหญ่จะมีดอกเหมยแดงหลายต้นกำลังบานสะพรั่งท่ามกลางหิมะขาวโพลน เหยียนชิงยืนมองออกไปด้านนอกที่ขอบหน้าต่างห้องหนังสือ ด้านข้างมีเตาถ่านกำลังเผาใบไผ่สีเขียว ทั้งยังมีขนมกับน้ำชาชั้นดีวางไว้ บรรยากาศน่ารื่นรมย์สุดจะพรรณนา
ใบหญ้าสีเขียวในลานบ้านถูกปกคลุมไปด้วยหิมะบางๆ เมื่อมองออกไปแล้วมันให้ความรู้สึกสดชื่นมาก
เหยียนชิงมองภาพที่คุ้นเคยอยู่ด้านนอกด้วยอาการเหม่อลอย เป็ฤดูหนาวอีกปีหนึ่ง เขาเกิดใหม่มาครึ่งปีแล้ว และได้จัดการอะไรไปไม่น้อย
“คุณชาย ริมหน้าต่างลมพัดแรง ปิดแล้วกลับมานั่งลงเถอะเ้าค่ะ”
เฉินเซียงรินเหล้าให้เขาหนึ่งจอก หลังจากฝึกวรยุทธ์ในปีนี้ คุณชายก็แข็งแรงขึ้นมาก จากหลายปีที่ผ่านมาเขามักจะป่วยบ่อยๆ”
“ไม่เป็ไร ตอนนี้ข้าไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว...”
เหยียนชิงยิ้มและยกเหล้าขึ้นจิบ ร่างกายของเขาก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย ยังคงมองออกไปด้านนอกและถามโดยไม่หันกลับมามอง
“เฉินเซียง วันนี้วันอะไร?”
เฉินเซียงปิดหน้าต่างพลางตอบกลับไป
“วันนี้เป็วันที่ 7 เดือนสิบสองแล้วเ้าค่ะ พรุ่งนี้จะเป็วันเกิดของคุณชาย ฮูหยินบอกว่าจะรีบกลับมาในวันเกิดของท่าน”
เหยียนชิงเบ้ปากพึมพำเสียงเบา “ใช่... แต่ไม่รู้ว่าจะมาทันหรือไม่?”
หลายวันมานี้เขาไม่ได้ส่งข่าวกลับมาเลย ใครจะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ถ้าเขามาทันนั่นเป็เื่ดี
เฉินเซียงยิ้มแย้ม “ในเมื่อฮูหยินน้อยพูดแล้ว ท่านก็เชื่อเขาเถอะ ท่านกำลังนับวันอยู่ ฮูหยินน้อยก็นับเช่นกัน เขาอาจจะรีบร้อนกลับมามากกว่าที่ท่านรอเขากลับมาก็ได้”
ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ถูกหักล้าง ใบหน้าของเหยียนชิงปฏิเสธด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “ข้าไม่ได้นับสักหน่อย”
เขาหมุนตัวนั่งลงข้างเตาถ่าน เขาแค่กังวลว่าเว่ยซูหานจะเกิดอันตรายระหว่างทางเท่านั้นเอง อากาศหนาวเช่นนี้อย่าล้มป่วยก็พอ
เฉินเซียงยิ้มแย้มและไม่พูดอะไร คุณชายผู้นี้ปากแข็งยิ่งนัก ตอนที่ฮูหยินน้อยเพิ่งออกจากบ้าน เขาไม่เคยปฏิเสธว่าตนเป็ห่วงอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้พอฮูหยินน้อยใกล้กลับมา กลับหยิ่งยโสขึ้นมาเสียอย่างนั้น พูดตรงๆ ก็ไม่เห็นจะเป็ไร
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อิ้งหลีรีบเดินเข้ามาข้างใน ตบหิมะบนไหล่ออก
“คุณชาย มีคุณชายแซ่หวังมาขอพบท่านอยู่ด้านนอกประตูหลังขอรับ”
“คุณชายแซ่หวัง?” เหยียนชิงถามอย่างสงสัย “คุณชายแซ่หวังคนไหนกัน?”
คุณชายแซ่หวังแห่งเมืองฝูซังมีไม่น้อย แต่เหมือนจะไม่ได้สนิทกับเขากระมัง เขาไม่ค่อยออกไปไหน เพื่อนก็มีไม่มากนัก สำหรับคุณชายคนอื่นๆ ส่วนใหญ่แล้วจะรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักอีกฝ่าย ชาติที่แล้วก็เป็เช่นนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็เช่นเคย ชาติที่แล้วก็เพราะก้มหน้าก้มตาอ่านตำรา ตอนนี้จึงไม่ค่อยสนใจเื่สานสัมพันธ์กับคนเท่าไหร่ คนอายุเท่าเขา หากใครมีฐานะทางบ้านก็เรียนหนังสือหรือเตรียมรับ่ต่อกิจการครอบครัว หรือไม่ก็ดื่มสุราเสเพลไปวันๆ อย่างเหยียนิฮ่วน
เฉินเซียงเองก็สงสัยเช่นกัน
“อย่างที่บอกว่าสุภาพบุรุษไม่เข้าประตูหลัง คุณชายหวังคนนี้ไม่เข้าประตูหลักแต่กลับจะให้คุณชายไปรับที่ประตูหลัง มีเหตุผลอะไรกัน?”
อิ้งหลีส่ายหน้า
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คนอยู่ในรถม้า ผู้ติดตามที่มาแจ้งข่าว แม้ว่าเขาสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูไม่เหมือนคนธรรมดา”
“ถ้าอย่างนั้น...” เหยียนชิงขมวดคิ้ว “ก็ได้ ข้าจะไปพบเขา เฉินเซียงเติมถ่านลงในเตา”
พูดจบก็ลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมแล้วเดินตามอิ้งหลีออกไป ตลอดทางเหยียนชิงพยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก เขาไม่เคยมีเพื่อนเก่าแซ่หวังมาเยี่ยมเยือนที่เรือน อีกทั้งในสภาพอากาศแบบนี้ อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย ชาติที่แล้วก็ไม่มี...
เหยียนชิงเดินตามอิ้งหลีตรงไปที่ประตูหลังของจวนตระกูลเหยียน ใต้ต้นอวี้หลัน[1]สูงตระหง่านอยู่ด้านนอก เห็นเพียงรถม้าที่เช่ามาจากโรงเตี๊ยมจอดอยู่ด้านล่าง ที่นั่งคนขับมีชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อคลุมสีเทาสวมหมวกไม้ไผ่นั่งอยู่ แม้จะแค่มองจากด้านข้างก็ดูออกว่าไม่ใช่สารถีธรรมดา คิดว่าคงเป็ชายที่มาแจ้งข่าวผู้นั้น
เมื่อคนบนรถม้าได้ยินการเคลื่อนไหว หยานชิงก็ใเมื่อเห็นใบหน้าของเขา รถม้าและเครื่องแต่งกายแม้จะดูธรรมดาไม่น่าจดจำ แต่เขากลับรู้จักอีกฝ่าย คนผู้นั้นก็คือเซียวอวิ๋นมู่ หัวหน้าทหารองครักษ์หลวงในพระราชวัง ดังนั้นคุณชายแซ่หวังคนนี้จึงไม่จำเป็ต้องคาดเดาเลยสักนิด
แซ่หวัง เป็แซ่ที่เข้ากับฐานะของอีกฝ่ายได้ดีมาก
ในชีวิตนี้เหยียนชิงยังไม่เคยเห็นเซียวอวิ๋นมู่ ดังนั้นเขาจึงนิ่งไปชั่วครู่และแสร้งทำเป็ไม่รู้ ก่อนจะเดินไปข้างหน้า
เซียวอวิ๋นมู่ลงมาจากรถพลันกล่าวกับคนในรถว่า “คุณชาย คุณชายเหยียนออกมาแล้วขอรับ”
“อืม”
คนในรถรับคําเสียงต่ำ และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็ก้าวลงจากรถม้า
เหยียนชิงสูดหายใจเข้าลึกๆ คนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ต่างจากคุณชายตระกูลร่ำรวยทั่วไป หากไม่ใช่ตี้จวินเฟิงจิ้งอี้แล้วจะเป็ใครไปได้อีก ต่อให้แต่งตัวเรียบง่าย บุคลิกและรูปร่างที่โดดเด่นก็ทำให้คนที่มองปราดเดียวรู้ได้ว่าผู้มาเยือนคนนี้ไม่ธรรมดา อีกทั้งตอนนี้อารมณ์ของมหาเทพก็ดีกว่าตอนที่เห็นครั้งก่อนมาก ดูท่าโรคเก่าคงถูกกำจัดแล้ว ยิ่งทำให้เขาหล่อเหลาและมีน้ำมีนวลมากขึ้น
[1] ต้นอวี้หลัน คือ ต้นสร้อยอินทนิล