“…”
กลัวอย่างไหนอย่างนั้นมาจริงด้วย เจินจูหางตากระตุก หันศีรษะไปเห็นเ้าของร้านหลิววิ่งเหยาะๆ เข้ามาตรงหน้าพวกเขา
“แม่นางหู พวกเ้ามาดูโคมไฟกันหรือ? มาถึงในเมืองทำไมไม่มานั่งที่ฝูอันถังสักหน่อยเล่า มาๆ น้องชายหู ทุกท่านเชิญเข้ามาดื่มชาร้อนๆ สักถ้วยก่อน ตอนนี้ยังมีเวลาอีก่หนึ่งเลยกว่าจะค่ำ” หลิวผิงจูงหูฉางกุ้ยเดินเข้าไปทางฝูอันถังอย่างกระตือรือร้น
“เอ่อ… คือ เ้าของร้านหลิว พวกข้าเตรียมจะไปเดินเล่นงานวัดน่ะ” เห็นหูฉางกุ้ยถูกเ้าของร้านหลิวจูงไปด้วยใบหน้าประหม่า เจินจูอดกุมหน้าผากไม่ได้
“ไม่ต้องรีบร้อนๆ ค่ำไปแล้วงานวัดถึงจะคึกคักที่สุด” หลิวผิงไม่เปลี่ยนใจ จูงหูฉางกุ้ยไปต่ออย่างแเี “อีกอย่าง เวลาเช่นนี้ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับอาหารมื้อค่ำ ไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก พักสักครู่ก่อนพอฟ้าค่ำแล้ว ความคึกคักถึงจะเริ่มขึ้น”
มองหูฉางกุ้ยที่ถูกดึงไปไกล เจินจูก็มีสีหน้าจำใจขึ้นมา ทำได้เพียงให้ทุกคนตามไป
ภายในห้องโถงต้อนรับแขกของฝูอันถัง สกุลหูทุกคนนั่งลงตามลำดับ
สองมุมของห้องรับแขกมีกระถางไฟสองกระถางอยู่คนละมุม พอทุกคนเข้ามาภายในห้องก็รู้สึกได้ว่าความอบอุ่นจู่โจมทันที ความเหน็บหนาวค่อยๆ หายไป
ลูกจ้างยกชาร้อนและของว่างมาให้ถึงที่ หลิวผิงสั่งเสียงเบาอยู่ข้างหูสองสามประโยคแล้วถึงยกถ้วยชาขึ้น “มา ดื่มชาร้อนๆ ก่อน รีบเร่งเดินทางมาไกลเช่นนี้ ห้ามหนาวจนมือไม้แข็งเชียวนะ!”
“ไม่หรอก ไม่หรอก… พวกข้าเป็คนครอบครัวชาวไร่ชาวนา ผิวหนาเนื้อหยาบ ไม่ได้อ่อนแอเช่นนั้น” หูฉางหลินยิ้มแล้วกล่าวต่อโดยมิรอช้า
“ผู้ใหญ่ทนได้ แต่พวกเด็กน้อยจะหนาวไม่ได้ มาทานของว่างสักหน่อย” หลิวผิงยิ้มแล้วส่งของว่างให้ผิงอันที่อยู่ด้านข้าง
ผิงอันมองหลิวผิงด้วยความขลาดกลัวอยู่บ้าง หันหน้ามามองผู้เป็พี่สาวข้างกาย
เจินจูหันไปยิ้มทางเขาอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณ เ้าของร้านหลิวเ้าค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็ผิงอันน้องชายคนเล็กกระมัง? ปีนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะ?” หลิวผิงพินิจพิเคราะห์เด็กๆ ของครอบครัวสกุลหูทีละคน ยังไม่ต้องกล่าวเลยว่าล้วนมีรูปร่างหน้าตาดูดีมากกันทั้งหมด เด็กสาวผิวขาวผ่องละเอียดอ่อน เด็กชายหน้าตาเรียบร้อย
“แปดปีแล้วขอรับ” หลิวผิงสอบถามด้วยความนุ่มนวล ผิงอันเลยค่อยๆ ผ่อนคลายลงแล้วกล่าวต่อด้วยเสียงสดใส “พรุ่งนี้ข้ากับพี่ชายใหญ่จะไปโรงเรียนส่วนตัวแล้วขอรับ”
“จริงหรือ เช่นนั้นก็เป็เื่ดีเลย อยู่ในหมู่บ้านหรือมาในเมืองเล่า?” สกุลหูมีความคิดที่ดีอยู่บ้าง ที่ตัดใจให้เด็กในบ้านไปศึกษาโรงเรียนส่วนตัว
ต้องรู้ว่าแม้เป็ครอบครัวในเมืองก็ไม่ใช่ว่าทุกครอบครัวล้วนตัดใจส่งบุตรไปเล่าเรียนหนังสือได้ อย่างไรเสียค่าตอบแทนอาจารย์ของทุกปีรวมกับค่าใช้จ่ายเครื่องเขียนเป็เงินจำนวนไม่น้อยเลย
ระหว่างที่พูดคุยประตูห้องที่ไม่ได้ล็อกไว้ก็ถูกผลักเปิดเบาๆ
เด็กชายขาวซีดผอมอ่อนแอและสูงศักดิ์ก็ก้าวเข้ามาอย่างเชื่องช้า
กู้ฉีแต่งกายด้วยผ้าไหมปักลวดลายตัวยาวแบบจีนสีหยกอ่อน คอเสื้อและแขนเสื้อปักลวดลายประณีตละเอียด หมวกสีขาวหยกที่สวมบนศีรษะขับคิ้วสวยให้เด่นขึ้น ั์ตาสีเข้มดูอบอุ่นอ่อนโยนและเยือกเย็นเงียบเหงาดั่งสายน้ำ ทั้งร่างราวกับเดินออกมาจากในภาพวาดหมึกจีน
ในใจเจินจูอดส่งเสียงร้องชื่นชมไม่ได้ เ้าหนุ่มนี่แม้จะเจ็บป่วยอยู่ตลอด แต่ก็ไม่ได้ทำลายบุคลิกของตระกูลผู้สูงศักดิ์ที่อยู่ทั่วทั้งกายของเขาแต่อย่างใด
นางวางถ้วยในมือลงแล้วหยัดกายขึ้นต้อนรับ
คนสกุลหูที่ชำเลืองเห็นก็ลุกขึ้นตามทันที
“พี่ชายกู้อู่ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ร่างกายท่านดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?” สีหน้าเด็กหนุ่มยังคงขาวซีดไร้สีเืฝาด แต่แก้มที่เคยตอบอยู่เล็กน้อยกลับค่อยๆ มีเนื้อขึ้น หากมองดูแล้วมีชีวิตชีวามากขึ้นเล็กน้อยตามที่เด็กหนุ่มควรจะมี
ริมฝีปากบางของกู้ฉีไม่มีสีเืฝาดเม้มเบาๆ มุมปากยกโค้งยิ้มออกมาหนึ่งเส้น สายตาอ่อนโยนพร้อมกับรอยยิ้มที่โค้งขึ้นบางๆ “ได้รับความเป็ห่วงจากน้องสาวมาเยอะ ดีขึ้นมากแล้ว”
“ท่านลุงสกุลหู ท่านอาสกุลหู” กู้ฉีทำการคำนับอย่างมีมารยาทของผู้น้อย
“…มิ มิบังอาจ” หูฉางหลินคารวะตอบอย่างประหม่าทันที คุณชายครอบครัวร่ำรวยใหญ่โตทำความเคารพให้พวกเขา เป็เื่จริงที่แบกรับไว้ไม่ได้จริงๆ
หูฉางกุ้ยยิ่งระมัดระวังจนเกิดเป็ความหวาดกลัวไม่สบายใจ โค้งกายทำความเคารพตอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้สองพี่น้องสกุลหูต่างก็เคยเจอกู้ฉี แต่แิในจิตใต้สำนึกเื่ความต่ำต้อยของตนเองยังคงส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างลึกซึ้ง
ปรากฏพิธีรีตองไปหนึ่งรอบทุกคนก็นั่งลง หลิวผิงประคองกู้ฉีนั่งลงเรียบร้อย จึงยืนอยู่เื้ัเขาแล้วเก็บมืออย่างสุภาพ
เจินจูชำเลืองมองหูฉางหลินกับหูฉางกุ้ยเพียงนั่งบนเก้าอี้ครึ่งหนึ่ง แผ่นเอวข้างหลังตรงดิ่ง ทั้งสองคนมีความระมัดระวังตัวมากเท่าไรก็ทำมากเท่านั้น ตรงข้ามกับผิงซุ่นและผิงอันที่เป็รุ่นน้อยนั่งอย่างสบายอกสบายใจอยู่บ้าง เพียงแอบมองกู้ฉีที่ร่างสูงส่งด้วยใบหน้าอยากรู้อยากเห็น
ชุ่ยจูก็นั่งด้วยอย่างเงียบสงบ แต่สองมือเล็กภายใต้แขนเสื้อขยับพันกันอยู่ตลอดเวลา แสดงความกระวนกระวายตึงเครียดภายในใจออกมา อย่างไรเสียชุ่ยจูก็อายุสิบสามปีแล้ว ย่อมเข้าใจเื่ราวมากมายทั้งหมดอยู่ อายุเช่นนี้ในยุคสมัยนี้ นับเป็หญิงสาวที่โตแล้ว
ราวกับมองออกได้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนเกร็งเกินไป กู้ฉีจึงกล่าวอย่างยิ้มแย้มอ่อนโยน “ครั้งก่อนที่ไปเยี่ยมเยือนหมู่บ้านวั้งหลิน ได้รับความกรุณาต้อนรับอย่างดี ยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเลย”
“…ไม่ๆ คุณชายกู้ฉีมาเยี่ยมชมบ้านอันซอมซ่อของพวกเรา ถือเป็เกียรติของบ้านสกุลหูมากกว่า” หูฉางหลินแสดงสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นด้วย แล้วตอบกลับอย่างระมัดระวัง
เป็เช่นนั้นจริงๆ หมู่บ้านวั้งหลินของพวกเขาอยู่บริเวณใกล้เคียงแถวนี้ เป็เพียงหมู่บ้านบนูเาเล็กๆ ที่ไม่มีอะไรสะดุดตาและทัศนียภาพก็ไม่ได้พิเศษ ชาวไร่ชาวนาไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวย หลายสิบปีมานี้แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีคนใหญ่คนโตปรากฏมาก่อน บรรพบุรุษของชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่ล้วนเป็ชาวบ้านที่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เมื่อกู้ฉีที่เป็คุณชายฐานะเช่นนี้เข้ามาในหมู่บ้าน สำหรับเหล่าชาวไร่ชาวนาแล้วนั่นเป็ดวงจันทร์ที่ไกลเกินเอื้อมบนท้องฟ้าเลยทีเดียว
ครั้งก่อนหลังจากที่กู้ฉีไปบ้านหูฉางกุ้ย ความอิจฉาริษยาของเหล่าชาวไร่ชาวนาทั้งในที่ลับและที่แจ้งไม่รู้ว่ามีเท่าไรแล้ว หูฉางกุ้ยออกจากบ้านไม่บ่อย ดังนั้นทุกคนล้วนล้อมอยู่รอบหูฉางหลิน ไถ่ถามข่าวแต่ละอย่างของกู้ฉีอย่างเลี่ยงๆ
กู้ฉียิ้มแล้วทักทายพวกเขาเื่ชีวิตประจำวันสองสามประโยค หูฉางหลินล้วนตอบอย่างระมัดระวัง
ผ่านไปได้ไม่นานสถานการณ์ก็ไม่คึกคักขึ้นเล็กน้อย
ถึงอย่างไรกู้ฉีก็เป็เพียงเด็กชายที่ค่อนข้างโตผู้หนึ่ง อีกทั้งป่วยกระเสาะกระแสะตลอดทั้งปี สำหรับการสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยคำพูดทักทายพิธีรีตองล้วนไม่ค่อยคุ้นเคย สามารถพูดคุยกับหูฉางหลินได้ไม่กี่ประโยคก็นับได้ว่าไม่เลวแล้ว
เจินจูแอบหัวเราะ มองเหตุการณ์ที่น่าอึดอัดเล็กน้อย นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยปาก “พี่ชายกู้อู่ เนื้อหมูบ้านท่านทานหมดหรือยัง?”
พอเจินจูเริ่มกล่าว สายตาของกู้ฉีก็ประกายสว่างขึ้น หันศีรษะมองไปทางนางยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ยังเลย หมูหนึ่งตัวใหญ่เพียงนั้นจะทานหมดง่ายๆ ได้อย่างไรกัน”
“ท่านทานคนเดียวหรือ? นั่นเนื้อเกือบสองร้อยชั่งเลยนะ ต้องทานถึงเมื่อไรจึงจะหมดกัน? เนื้อวางไว้นานเกินไปก็ไม่ดีกระมัง?” หากนับว่าหนึ่งวันเขาทานหนึ่งชั่ง ก็ต้องทานทั้งหมดครึ่งปีกว่าเลยเชียว! แม้จะมีอุโมงค์เก็บน้ำแข็ง แต่เนื้อวางไว้นานคุณค่าทางอาหารก็จะหายไป
“ล้วนวางไว้ในอุโมงค์น้ำแข็ง เนื้อหมูของบ้านเ้าถูกปากคุณชายนัก พวกข้าต้องเก็บไว้ให้ดี หมูนี่ต้องเลี้ยงหนึ่งปีเต็มๆ เลยล่ะสิถึงจะเชือดได้ พอทานหมูตัวนี้หมดต้องรอปีหน้าคุณชายถึงจะมีเนื้อหมูทาน ก็ต้องเก็บไว้อย่างระมัดระวังสิ!” หลิวผิงนับวันเวลา ครอบครัวสกุลหูเลี้ยงหมูเพียงปีละหนึ่งตัว อย่างไรก็ต้องเก็บไว้ให้คุณชายดีๆ
“…” เจินจูกลั้นความรู้สึกอยากมองบนที่ตีขึ้นมาไว้ อธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “เนื้อหมูอย่าวางไว้นานจะดีกว่าเ้าค่ะ ขณะนี้ยังเป็เดือนแรก อากาศหนาวพื้นแข็งเย็นยังสามารถเก็บไว้ได้อีกพักหนึ่ง รอถึงเดือนสามอากาศจะกลับมาอบอุ่น และตอนฤดูใบไม้ผลิฝนตกอากาศชื้น ถึงตอนนั้นก็ไม่ต้องทานอีกแล้ว กระต่ายกับไก่บ้านของครอบครัวข้าล้วนเก็บไว้ให้พวกท่าน ไม่มีทางขาดเนื้อไปได้ เนื้อหมูก็รีบทานให้หมดเร็วหน่อยจะดีกว่านะเ้าคะ”
ฤดูใบไม้ผลิอากาศเปียกชื้นก่อให้เกิดเชื้อโรคได้ง่าย ถึงวางไว้ในอุโมงค์น้ำแข็ง เนื้อก็ยังไม่ปลอดภัย
กู้ฉีมองเด็กสาวกล่าวโน้มน้าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง มีกระแสไออุ่นหนึ่งสายไหลเข้าสู่ห้องหัวใจ เขายิ้มแล้วพยักหน้าทันที “ได้ ถึงเดือนสามจะไม่ทานมันแล้ว” ลำคอมีอาการคันพักหนึ่ง เขาข่มไว้ไม่อยู่จึงไอออกมาอยู่หลายเสียง
เห็นว่าเด็กสาวจ้องมองเขาตาโตด้วยความกังวลใจ กู้ฉีกลับยิ้มอย่างสบายใจ ตอนนี้ที่เขายังไออยู่ไม่กี่เสียง นับเป็ความกรุณาปราณีของ์ที่ยิ่งใหญ่แล้ว
“กระต่ายของที่บ้านมีหลายตัวที่โตใช้ได้แล้ว ผ่านไปสองวันจะเอามาส่งให้พวกท่านนะเ้าคะ ที่บ้านยังเลี้ยงลูกไก่เพิ่มอีกยี่สิบตัว รอให้ครอบครัวข้าสร้างบ้านใหม่ขึ้นเสร็จก่อน ยังจะเลี้ยงลูกหมูอีกสองตัวด้วย ...พี่ชายกู้อู่ ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเนื้อทาน” แม้เห็นว่าเขาไอไม่กี่เสียง และไม่ได้ไอแทบขาดใจเหมือนเมื่อก่อน คิดๆ ไปแล้วอาการป่วยคงกลับมาดีขึ้นบ้างแล้ว เจินจูจึงกล่าวออกมาอย่างจริงจัง
หลิวผิงที่ฟังอยู่ใบหน้าเลิกขึ้น คุณชายชอบทานเนื้อเสียที่ไหน แค่ทานสิ่งอื่นไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
“เช่นนั้นกู้อู่ก็ขอบใจน้องสาวมากแล้ว!” กู้ฉีหันไปคำนับกล่าวขอบคุณ ในตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ครอบครัวเ้าจะปลูกบ้านใหม่หรือ?”
“อื้ม... เตรียมขุดฐานก่อสร้างแล้ว รอให้บ้านใหม่สร้างเสร็จ พี่ชายกู้อู่ก็มานั่งเล่นบ้านข้าเถิด” บ้านใหม่สร้างเสร็จยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย ถึงเวลานั้นเขาก็เป็ดั่งบุปผาบานยามวสันตฤดู ร่างกายของกู้อู่น่าจะดีขึ้นมาก สามารถออกจากบ้านผ่อนคลายจิตใจได้แล้ว
“ได้ ถึงตอนนั้นต้องไปอย่างแน่นอน หากมีอะไรให้ช่วยเหลือ ให้มาหาข้าได้ทันที หากข้าไม่อยู่ก็ไปหาหลิวผิงได้เช่นกัน” กู้ฉีกล่าวกำชับจริงจัง
บ้านของครอบครัวหูทำขึ้นลวกๆ อย่างมาก เขาเคยเห็นด้วยตาตนเองมาแล้ว หากสร้างบ้านใหม่ขึ้นนับเป็เื่ที่ดี เขารู้ว่าฐานะทางบ้านนางยากจน คงไม่ดีนักถ้าตนเองจะช่วยเหลือด้านการเงินอย่างชัดเจน อย่ามองว่าเด็กสาวอายุไม่มากแต่จิตใจของนางผู้นั้นกลับเป็ผู้ใหญ่นัก หากตนเองอยากให้เงินนางตรงๆ ไม่รู้ว่านางจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไรเลย
โชคดีนักที่ตอนนี้บ้านนางทำอาหารหมักขึ้นและขายให้กับโรงเตี๊ยมนั้น การค้าขายยังนับว่าไม่เลว ก่อนปีใหม่ที่จะมาถึงเขาก็ให้กู้จงสั่งอาหารหมักไปร้อยกว่าชั่ง เอามาเป็ของกำนัลท้ายปีส่งกลับเมืองหลวง
แม้อาหารหมักของบ้านนางเขาจะไม่เคยชิม แต่กู้จงกับหลิวผิงไม่กี่คนทานแล้วล้วนบอกว่าอร่อย พวกเขาล้วนทานอาหารรสเลิศแต่ละพื้นที่มาหมดแล้วและต่างพากันชม เช่นนั้นรสชาติย่อมต้องไม่เลวแน่ หากการค้าขายทำได้เป็ระยะเวลานาน การใช้ชีวิตของครอบครัวนางต้องค่อยๆ ดีขึ้นได้แน่
ยามนี้ลูกจ้างหนึ่งคนเดินเข้าใกล้หลิวผิง กล่าวประโยคเบาๆ “เ้าของร้าน ห้องครัวบอกว่ากับข้าวเตรียมเรียบร้อย สามารถตั้งโต๊ะได้แล้วขอรับ”
หลิวผิงโน้มตัวลงกระซิบสองสามประโยคกับกู้ฉี กู้ฉีพยักหน้า
“แม่นางหู สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดค่ำลงแล้ว คุณชายสั่งให้ห้องครัวเตรียมกับข้าวไว้ ทานอาหารมื้อค่ำแล้วไปดูโคมไฟได้พอดีเลย” หลิวผิงนับว่ามองออก ครอบครัวสกุลหูกลุ่มใหญ่นี้ หูเจินจูเป็ผู้ที่สามารถคุยได้ง่าย จึงยิ้มแล้วกล่าวกับนาง
เจินจูกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเข้ามาฝูอันถังนางก็เดาได้แล้ว และไม่ได้ขัดแย้งอะไร จึงหันไปทางหูฉางหลินและหูฉางกุ้ยสอบถามสองสามประโยค สองคนให้นางตัดสินใจเองได้เลย
เจินจูยิ้มหลังกล่าวเสียงขอบคุณ ก็ร้องทักทุกคนอย่างไม่เกรงใจแล้วเดินตามหลิวผิงไปห้องทานข้าว
กู้ฉีร่างกายไม่แข็งแรงจึงให้หลิวผิงออกหน้าดูแลแขก
ใช้เวลาไม่นานจึงเดินออกจากห้องไป เขาร่างกายเมื่อยล้าหมดแรงแล้ว สีหน้าซีดขาวพยายามหยัดกายขึ้นแล้วกล่าวลาทุกคนด้วยรอยยิ้ม แล้วกู้ฉีจึงก้าวช้าๆ กลับห้องไปพักผ่อน
ระยะนี้กู้ฉีค่อยๆ ทานอาหารลงได้บ้าง ร่างกายฟื้นฟูกลับมาดีจริงๆ แต่ร่างกายที่ทรุดโทรมมาเป็เวลายาวนาน ไม่ใช่ว่าเวลาชั่วครู่ชั่วยามจะสามารถบำรุงรักษาให้หายดีได้เลย
มื้อกลางวันเจินจูทานเยอะเลยค่อนข้างอิ่มมาก แต่มองอาหารที่ร้อนกรุ่นอยู่เต็มโต๊ะก็รู้สึกหิวขึ้นมา นางกวาดสายตามองคร่าวๆ หนึ่งที รูปแบบอาหารหลายอย่างจัดวางบนจานอย่างประณีตงดงาม คิดไปแล้วรสชาติน่าจะไม่เลว ที่น่าให้ความสนใจที่สุดคงจะเป็อาหารผักสีเขียวสองจาน ฤดูหนาวยาวนานเช่นนี้มีหัวไชเท้าและผักกาดขาวทานตลอดฤดู และผักใบเขียวสดที่เป็อาหารล้ำค่าและหายาก
อาหารมื้อค่ำหนึ่งมื้อผ่านพ้นไป เด็กและผู้ใหญ่ครอบครัวสกุลหูหกคนก็นับได้ว่าทานกันจนเต็มอิ่ม หลิวผิงกระตือรือร้นดูแลพวกเขาอย่างสุดความสามารถในหน้าที่ของตนเอง กล่าวขึ้นเป็พักๆ เกี่ยวกับสถานที่ที่น่าสนใจของงานวัดฝั่งตะวันตกของเมือง หรือสถานที่ที่ดีที่สุดในการดูโคมไฟ ขณะพูดคุยเฮฮากันเวลาก็ผ่านไปไวมาก
ออกมาจากร้านฝูอันถังท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว แสงไฟทั่วท้องถนนส่องสว่างในยามค่ำคืนอันมืดมิด
หลังบอกลาหลิวผิง ทั้งหกคนก็เดินไปทางประตูทิศตะวันตกพร้อมกับฝูงชน