ตำหนักใหญ่เงียบเชียบไร้สุ้มเสียง เหล่าขุนนางมองไปยังองค์รัชทายาทผู้ไร้ความสามารถที่เพิ่งเข้ามา เหตุใดถึงเป็องค์รัชทายาทไปได้? ไม่ใช่ว่าอวี้หวางเรียกพวกเขาให้มารับภารกิจพิเศษหรือ?
ทุกคนพลันได้สติกลับมาก่อนจะรีบทำความเคารพทันที “ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ย”
“ไม่ต้องมากพิธี” มู่หรงฉือเอามือไพล่หลังด้วยท่าทีสูงส่ง
“เตี้ยนเซี่ย อวี้หวางสั่งให้พวกกระหม่อมเข้าวังตากอากาศมา กระหม่อมรอมาได้หนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ไม่ทราบว่าอวี้หวางจะมาถึงเมื่อไหร่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ขุนนางที่เสพฝิ่นส่วนมากมีตำแหน่งไม่สูงนัก ตำแหน่งที่สูงที่สุดก็คือโจวฉินที่เป็รองเ้ากรมพลเรือน เขาสอบถามอย่างเคารพ
ถึงแม้จะมีข้าหลวงยกน้ำชากับแตงโมแช่เย็นดับร้อนมาให้ แต่ว่ารอมากว่าหนึ่งชั่วยามก็นานเกินไปแล้วจริงๆ
นางกล่าวเสียงดัง “ท่านอ๋องมีกิจธุระต้องสะสางมากมาย จึงให้เปิ่นกงมาเป็ตัวแทน”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา พูดคุยปรึกษากันเสียงเบา ก่อนที่โจวฉินจะยิ้มแล้วถาม “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เตี้ยนเซี่ยก็ออกคำสั่งแก่พวกกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีเื่อะไร ตลอดมาพวกเ้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์ ทำงานให้ราชสำนักไว้ไม่น้อย อวี้หวางกับเปิ่นกงจึงอยากมอบรางวัลให้พวกเ้ามาคลายร้อนที่นี่สักสองสามวัน” มู่หรงฉือกระพริบตาด้วยท่าทางเ็า “หลังจากผ่านไปสักสองสามวัน พวกเ้าก็ค่อยกลับเมืองหลวงเถิด”
“หา?”
เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา มีคนทั้งแปลกใจทั้งไม่เข้าใจ มีคนไม่รู้จะทำอย่างไรดี มีคนลอบไม่พอใจ และมีคนที่รู้สึกกังวลไม่ปลอดภัย
ทุกคนต่างกำลังครุ่นคิด มาคลายร้อนที่วังตากอากาศสองสามวัน แน่นอนว่าย่อมเป็เื่ดี แต่จะต้องสูบฝิ่นทุกวัน เช่นนั้นจะดีได้อย่างไร?
จึงมีคนพูดขึ้นว่า “กระหม่อมขอบพระทัยในความเห็นใจของเตี้ยนเซี่ยและอวี้หวาง แต่กระหม่อมไม่ได้นำสิ่งใดติดตัวมาเลย มิสู้ให้กระหม่อมกลับเข้าเมืองสักหน ไปนำเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างพากันร้องรับ
มู่หรงฉือพูดเสียงเย็น “ในวังตากอากาศมีเสื้อผ้าให้พวกเ้าผลัดเปลี่ยน เหล่าข้าหลวงจะคอยดูแลพวกเ้าอย่างเต็มที่”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจทันทีว่าไม่มีช่องว่างให้ต่อรอง แต่เพื่อจะสามารถดูดฝิ่นได้ทุกคืน พวกเขาก็ยังพยายามอย่างเต็มที่
“เตี้ยนเซี่ย เอาพวกกระหม่อมมาขังไว้ที่นี่จะมีประโยชน์อะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ? ทรงคิดจะทำสิ่งใดกันแน่?”
“เหตุใดถึงเอาพวกเ้ามาขังเอาไว้ที่นี่ หนึ่งในสาเหตุนั้นพวกเ้าน่าจะรู้ดีกว่าเปิ่นกง” แววตาเ็าของมู่หรงฉือกวาดมองทุกคน
“กระหม่อมไม่รู้จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เตี้ยนเซี่ยโปรดตรัสมาเถิด” โจวฉินสะกดโทสะลงแล้วพูดออกมาอย่างไม่แข็งกร้าวแต่ก็ไม่ได้ถ่อมตัวจนเกินไป
“ไม่อยู่ที่วังตากอากาศสักสองสามวัน หรืออยากจะถูกเนรเทศไปซินเจียง ให้ครอบครัวของพวกเ้าติดร่างแหไปด้วย ชั่วชีวิตต้องกลายเป็ทาส” น้ำเสียงของนางดุดัน เต็มไปด้วยการข่มขู่
เหล่าขุนนางพากันนิ่งเงียบ ก้มหน้างุดกันไปทีละคน
โจวฉินรู้สึกว่าความลับของตนไม่มีทางถูกเปิดเผยออกไปได้อย่างแน่นอน จึงพูดออกไปอย่างอาจหาญ “วาจานี้ของเตี้ยนเซี่ยหมายความว่าอย่างไร? พวกกระหม่อมทำความผิดอะไรกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”
ทุกคนต่างพากันพูดเสริมขึ้นมา “ทางที่ดีเตี้ยนเซี่ยโปรดชี้แจงออกมาให้ชัดเจน พวกกระหม่อมตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ ไม่ได้สิ่งใดผิดพ่ะย่ะค่ะ”
มู่หรงฉือเลิกคิ้วขึ้นอย่างมีมาด รอบตัวเต็มไปด้วยบรรยากาศเ็าอันตราย “ทุกคืนพวกเ้าจะต้องสูบฝิ่นก่อนถึงจะสามารถนอนได้ แม้ว่าจะไม่ใช่การกระทำอันเลวร้ายแต่ก็นับว่าผิดกฎหมาย จะปล่อยเอาไว้ไม่ได้”
เหล่าขุนนางทุกคนต่างตื่นตระหนก เหงื่อเย็นไหลท่วมตัว ที่แท้เื่นี้ก็ไม่ใช่ความลับแล้ว
“เปิ่นกงหวังดีให้พวกเ้ามาบำบัดเลิกฝิ่นที่วังตากอากาศ นอกจากพวกเ้าจะไม่รู้สึกซาบซึ้งแล้วยังสงสัยในตัวเปิ่นกงอีก ความจริงแล้วเปิ่นกงสามารถปล่อยพวกเ้าเอาไว้ไม่ทำอะไรก็ได้ แล้วรอให้อวี้หวางจับพวกเ้ามาปะาต่อหน้าประชาชน ครอบครัวของพวกเ้าก็จะติดร่างแหไปด้วย แล้วถูกเนรเทศไปที่ซินเจียง” นางกระพริบตาเ็า “จะตายหรือจะเลิก พวกเ้าก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
“เื่นี้...”
เหล่าขุนนางมองหน้ากันอย่างหมดคำพูด เพื่อปกป้องชีวิต เพื่อไม่ให้ครอบครัวต้องติดร่างแหไปด้วย จึงทำได้แค่บำบัดเลิกฝิ่นอยู่ที่วังตากอากาศเท่านั้น
มู่หรงฉือพูดต่อ “ขอเพียงพวกเ้าบำบัดได้สำเร็จ เปิ่นกงจะไม่ให้พวกเ้าตาย ทั้งยังจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกเ้า พวกเ้าสามารถพาครอบครัวออกจากเมืองหลวงไป แล้วไม่กลับมาที่เมืองหลวงอีก ลูกหลานสามรุ่นไม่อาจเป็ขุนนางได้”
พวกเขาพากันคุกเข่าลง กล่าวขอบคุณด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยในความกรุณาของเตี้ยนเซี่ย”
ราชสำนักห้ามเสพฝิ่น อีกทั้งพวกเขายังรู้ว่าสิ่งใดผิดกฎหมาย โทษย่อมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น เตี้ยนเซี่ยปล่อยพวกเขาไปโดยไม่เพิ่มโทษนับว่าเป็โชคดีที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาแล้ว
...
ต่อจากนั้นมู่หรงฉือก็อุดอู้อยู่ในตำหนักบูรพาสามวัน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่ต่างอะไรจากหมูตัวหนึ่ง
แผลที่ไหล่ข้างซ้ายเริ่มฟื้นตัวแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็จะหายดี
ทุกวันจะมีข่าวส่งมาจากวังตากอากาศ ถึงแม้การเลิกเสพฝิ่นจะทรมาน แต่ก็ไม่มีอะไรที่เกินความคาดหมาย ทุกคนขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ว่าพวกเขาจะโอดครวญร่ำร้องอย่างไร องครักษ์ก็ไม่เปิดประตู เพราะว่าหากองครักษ์เปิดประตู องค์รักษ์ก็มีโทษเช่นกัน
หัวหน้าหมอหลวงเสิ่นบอกว่าแม้ขั้นตอนจะทุกข์ทรมานเ็ป แต่ขอเพียงอดทนจนผ่านไปได้หลายวัน พวกเขาก็จะสามารถเลิกเสพฝิ่นได้แล้วกลับมาเป็คนใหม่
วันนี้ มู่หรงฉือไปเยี่ยมเสด็จพ่อที่ตำหนักชิงหยวน
มู่หรงเฉิงพักรักษาตัวอยู่ที่ตำหนักโอรส์มาโดยตลอด ไม่ต้องกังวลใจเื่การบ้านการเมือง สีหน้าจึงดีขึ้นไม่น้อย ร่างกายก็อวบอ้วนขึ้นอยู่บ้าง
เขาถามนางว่า่นี้ในราชสำนักเกิดเื่อะไรขึ้นบ้าง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจปิดบัง
เื่ราวก็ผ่านไปแล้ว หากให้เสด็จพ่อรู้ก็รังแต่จะทำให้พระองค์งุ่นง่านพระทัยเสียเปล่าๆ
“เจิ้นดูแล้วเหมือนเ้าจะนิ่งสงบขึ้นเล็กน้อย ่นี้ได้เรียนเื่การปกครองบ้านเมืองอยู่ที่ตำหนักบูรพาหรือไม่?” มู่หรงเฉิงถามเสียงอ่อนโยน
“เสด็จพ่อโปรดวางใจ ลูกไม่กล้าหย่อนยาน ่นี้ลูกได้รับความรู้ เข้าใจเื่การปกครองแคว้นขึ้นมาก” มู่หรงฉือพูดด้วยความสัตย์จริง
“ดีๆๆ เ้ามีความก้าวหน้า เจิ้นก็วางใจแล้ว” เขาหัวเราะเสียงสดใส
“เสด็จพ่อมีเื่อะไรให้ดีใจถึงเพียงนั้นหรือเพคะ?”
เสียงใสราวแม่น้ำในหน้าหนาวดังมาจากองค์หญิงจาวฮวามู่หรงฉางที่เดินเข้ามาในตำหนัก
นางแย้มยิ้มงดงามแล้วนั่งลงริมเตียง ราวกับผีเสื้อตัวน้อยบินมาเกาะข้างกายมู่หรงเฉิง เป็เสน่ห์ดังที่ว่า ‘คนไปอยู่ที่ไหน ความสุขก็ตามไปที่นั่น’ ที่นางมีมาโดยกำเนิด
เห็นบุตรสาวสุดที่รักแต่งตัวราวบุปผาดอกหนึ่ง มู่หรงเฉิงก็ฉีกยิ้มเบิกบาน “แน่นอนว่าเป็เพราะบุตรสาวจอมแก่นเช่นเ้า”
นางหัวเราะเสียงหวานน่ารัก “เสด็จพ่ออย่ามาหยอกให้ลูกดีใจนะเพคะ อ้อ ใช่แล้วเพคะเสด็จพ่อ หลายวันมานี้ในเมืองหลวงเกิดเื่ใหญ่หลายเื่ ทุกคนในเมืองหลวงต่างพูดถึง”
“อ้อ เื่อะไรหรือ?” เขาถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แค่กๆ...น้องหญิง ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร เป็เพียงเื่เล็กๆ อย่างเมล็ดงาเมล็ดถั่วเท่านั้น เ้าจะไปบอกเสด็จพ่อเพื่ออะไร?” มู่หรงฉือลอบส่งสายตาให้นาง
มู่หรงฉางเข้าใจความคิดของนางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อ “เสด็จพี่พูดได้ถูกต้องเพคะ เป็ลูกที่ทำให้ดูใหญ่โตไปเอง”
มู่หรงเฉิงชี้ไปที่พวกเขาสองคน แสร้งทำหน้าดุ “พวกเ้าสองคนพี่น้องจงใจปกปิดเจิ้นใช่หรือไม่?”
มู่หรงฉางออดอ้อน “ลูกจะกล้าได้อย่างไรเพคะ? ลูกแค่กังวลใจว่าหากพูดให้เสด็จพ่อฟังแล้วเสด็จพ่อจะรังเกียจที่ลูกหยาบคายต่างหากเพคะ”
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี มู่หรงฉือมองน้องสาวกับเสด็จพ่อพูดไปยิ้มไป มีความสุขกันอย่างยิ่ง นางได้แต่คิดว่าหากตนไม่ใช่องค์รัชทายาทก็คงจะเป็เช่นน้องสาวที่ได้รับความรักความเอาใจใส่จากเสด็จพ่อ
‘สองพี่น้อง’ อยู่กับมู่หรงเฉิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวลาแล้วออกมาพร้อมกัน
“เสด็จพี่”
มู่หรงฉือกำลังจะเดินออกไป ก็ได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลังจึงหยุดฝีเท้าลง
มู่หรงฉางเดินเข้ามาหา ทำท่าทางเหมือนจะพูดแต่ก็ไม่พูด “เสด็จพี่ น้องมีเื่อยากจะถามท่านเพคะ”
“ว่ามาเถิด” มู่หรงฉือเห็นใบหน้าของนางมีความเขินอายอยู่ จึงพอจะคาดเดาเื่ราวได้
“ได้ยินมาว่าหลายวันนี้ราชสำนักงดประชุม ร่างกายของอวี้หวางดีขึ้นบ้างหรือไม่เพคะ?” มู่หรงฉางถามออกมาตรงๆ
“เ้ารู้ได้อย่างไร?” มู่หรงฉือใ เื่ที่มู่หรงอวี้ได้รับาเ็ไม่ได้แพร่งพรายออกไป เช่นนั้นนางรู้ได้อย่างไร?”
“น้องก็มีวิธีของน้องเพคะ เสด็จพี่บอกน้องมาเถิดว่าอวี้หวางนอนป่วยอยู่บนเตียงหรือไม่?”
“เ้าคิดจะทำอะไร?”
“อวี้หวางนอนป่วยอยู่บนเตียง แน่นอนว่าน้องจะต้องไปเยี่ยมเขา”
มู่หรงฉางรู้ว่าหลายวันนี้ราชสำนักงดประชุม จึงส่งหยวนซิ่วนางกำนัลข้างกายไปสืบดูที่จวนอวี้หวาง จึงได้รู้ว่าอวี้หวางเหมือนจะนอนป่วยอยู่บนเตียง
มู่หรงฉือเอ่ยเตือนอย่างจริงจัง “น้องสาว เ้าเป็องค์หญิงที่รักของเสด็จพ่อ เ้าไปจวนอวี้หวางจะถือว่าเป็เื่เช่นไร? อีกอย่างเื่การแต่งงานของเ้ากับกงจวิ้นหาวก็ถูกประกาศออกไปแล้ว งานแต่งงานได้ตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อย เ้าจะไปจวนอวี้หวางไม่ได้เด็ดขาด”
มู่หรงฉางขบริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวลใจและหงุดหงิดเล็กน้อย “น้องย่อมรู้เื่เหล่านี้ดี เพียงแต่น้องเป็ห่วงอวี้หวาง...เสด็จพี่ ท่านเคยรักใครบ้างหรือไม่? ความรู้สึกรักแต่ไม่อาจได้นั้นท่านไม่มีทางเข้าใจ”
รักแต่ไม่อาจ...
มู่หรงฉือไม่เข้าใจจริงๆ เพราะว่านางไม่ใช่รักแต่ไม่อาจ แต่เป็การถูกตอแย
ทว่าความรู้สึกระหว่างบุรุษสตรี ความตื่นเต้น ร้อนรุ่ม เกี่ยวพัน กลัดกลุ้มใจ คิดไม่ตก นางเองก็นับว่าได้เคยลิ้มลองเช่นกัน เป็สิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้ดั่งใจ
นางพูดแนะนำอย่างแฝงความนัย “น้องสาว เปิ่นกงเข้าใจความรู้สึกของเ้า เพียงแต่ความรักระหว่างชายหญิงจะต้องมีให้กันทั้งสองฝ่าย ของเ้าเป็รักเพียงข้างเดียว...”
“น้องรู้ น้องไม่มีทางทำให้เสด็จพ่อต้องอับอาย เสด็จพี่วางใจเถิดเพคะ”
มู่หรงฉางสาวเท้าออกไปไวๆ แผ่นหลังเพรียวบางเต็มไปด้วยการตัดสินใจอย่างแน่วแน่
มู่หรงฉือถอนหายใจ หากน้องสาวรู้ถึงความคิดของมู่หรงอวี้ น้องจะเกลียดนางที่เป็พี่ชายหรือไม่?
...
มู่หรงฉางสวมอาภรณ์เช่นเดียวกับที่สวมใส่ในวันปกติแล้วพาหยวนซิ่วมุ่งหน้าไปที่จวนอวี้หวาง
ทว่าคนเฝ้าประตูไม่ยอมให้พวกนางเข้าไป
หยวนซิ่วโมโห เอ่ยตำหนิ “เบิกตาของเ้าดูเสีย คนผู้นี้คือองค์หญิงจาวฮวา!”
“ข้าน้อยทราบว่าเป็องค์หญิง แต่ว่าท่านอ๋องรับสั่งเอาไว้แล้วว่าไม่รับแขกขอรับ” คนเฝ้าประตูตอบด้วยท่าทางน่าสงสาร “ข้าน้อยไม่อาจปล่อยให้องค์หญิงเข้าไปได้ ไม่เช่นนั้นงานของข้าน้อยก็คงจะจบสิ้นแล้ว ขอองค์หญิงโปรดเข้าใจด้วย”
“วันนี้องค์หญิงจะต้องได้เข้าไป เ้าถอยไป!” หยวนซิ่วชักกระบี่ยาวออกมาจากแขนเสื้อ ปลายกระบี่จ่ออยู่ที่คอของคนเฝ้าประตู “ไม่เช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเ้าเสีย”
“แม่นางโปรดไว้ชีวิต ข้าน้อยไม่สามารถให้องค์หญิงเข้ามาได้จริงๆ ขอรับ...” คนเฝ้าประตูถูกบีบคั้นจนแทบจะร้องไห้
องค์หญิงตวนโหรวที่กำลังจะออกจากจวนเห็นภาพด้านนอกพอดี ในหัวก็เกิดความคิดแล่นปราด
องค์หญิงจาวฮวาเป็น้องสาวขององค์รัชทายาท หากนางทำให้องค์หญิงจาวฮวาพอใจ เช่นนั้นองค์หญิงก็คงจะช่วยพูดเื่ดีๆ ของนางต่อหน้าองค์รัชทายาทได้บ้าง
นางคิดในใจ ก่อนจะเดินไปตวาดเสียงแหลม “หลีกไป! องค์หญิงเสด็จมาถึงที่นี่พวกเ้ายังกล้าขัดขวางหรือ? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไร?”
คนเฝ้าประตูถูกบีบคั้นจนน้ำตาไหลนองหน้า มีองค์หญิงตวนโหรวที่หาเื่ได้ยากมาอีกคนแล้ว
ถึงมู่หรงฉางจะไม่รู้จักมู่หรงสือ แต่ก็รู้ว่ามีคนผู้นี้อยู่
มู่หรงฉางส่งสายตาไปให้นาง มู่หรงสือพยักหน้า
“องค์หญิงมาหาข้า” มู่หรงสือคล้องแขนขององค์หญิงจาวฮวา แล้วพาเดินเข้าไป “เชิญองค์หญิงเสด็จเข้ามาเถิดเพคะ”
“หึ!” มู่หรงฉางแค่นเสียงเย็น
คนเฝ้าประตูถึงกับยืนเหม่อไป ใครจะไปกล้าขวางได้อีกเล่า?
หากพวกเขาล่วงเกินมู่หรงสือ จากนิสัยของนางแล้ว งานที่ทำอยู่ก็คงจะรักษาเอาไว้ไม่ได้แน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้