ในโรงพยาบาลประชาชนประจำเมือง คนที่ส่งซูอินเข้าห้องฉุกเฉินคือหยางอวี้หลานที่เพิ่งจะรีบเดินทางกลับมาจากในมณฑล
หลังจากตรวจร่างกายอย่างละเอียด เธอก็สรุปว่า “ศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง”
“แต่ว่า…”
ก่อนที่เธอจะรู้สึกสงสัย “ตามปกติแล้วหากเกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงควรมีร่องรอยาแทิ้งไว้ แต่ศีรษะของซูอิน รวมถึงร่างกายกลับไม่มีาแ มันไม่น่าเป็ไปได้”
เพื่อความปลอดภัย หยางอวี้หลานได้ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ
ผลของการปรึกษาออกมาเหมือนกับการวินิจฉัยของเธอก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
ซูอินที่หมดสติถูกส่งเข้าห้อง ICU ทันที
จนเมื่อสองสามีภรรยาตระกูลซูรวมถึงหลิวจินเซียงที่รีบนั่งรถของอาซูลิ่วมาที่โรงพยาบาล สิ่งที่พวกเขาเห็นคือประตูห้อง ICU ที่ปิดสนิท
อวี๋ฉิงที่จูงมือเด็กชายตัวน้อยยืนรออยู่ด้านข้างก้าวขึ้นมาต้อนรับ ในตอนที่เธอตั้งใจจะเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เด็กชายตัวน้อยที่นิ่งเป็หุ่นกระบอกอยู่นานก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขารีบวิ่งไปกอดขาเมิ่งเถียนเฟิน ร่างเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยสั่นสะท้านพร้อมร้องไห้โฮ
เขาร้องไห้พร้อมเอ่ยอย่างไม่ปะติดปะต่อ “น่ากลัวมาก…พวกเขาตีพี่สาว…พี่สาวเจ็บมาก…หมอ…ฮึก…พี่สาว...อาจจะไม่ฟื้น”
แววตาของเมิ่งเถียนเฟินหลุดโฟกัสไปทันที เธอเอนร่างพิงกำแพงก่อนทรุดตัวลงไปกับโถงทางเดิน กอดบุตรชายโดยไม่รู้ตัว ดวงตาแดงก่ำพลันเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“นี่…”
ทั้งสามคนจากตระกูลซูจมอยู่กับความเศร้าโศก โชคดีที่มีคนอื่นเดินทางมาด้วย
หลิวจินเซียงใเช่นกัน เธอพยายามควบคุมจิตใจก่อนจะหันไปทางอวี๋ฉิง
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ฝีมือเมิ่งเมิ่งค่ะ เธอพาอันธพาลนับร้อยคนไปดักรออินอินอยู่ที่โรงงานร้างด้านหลังสถานีขนส่งและตีเธอค่ะ ตอนแรกหนูคิดจะไปส่งอินอินที่บ้าน แต่เธอบอกว่าคุยกับรถรับจ้างไว้แล้ว เธอบอกว่าเป็คนในหมู่บ้านและเป็ญาติกัน เธอถือว่าเป็การช่วยเหลือทางธุรกิจ เธอจึงปฏิเสธหนู เป็ความผิดหนูเองค่ะ พื้นที่รกร้างแบบนั้น อีกทั้งตอนเย็นไม่เห็นเงาใครสักคน หนูควรอยู่ที่นั่นเป็เพื่อนเธอเพื่อรอรถมารับ”
ประโยคสุดท้ายนั้น น้ำเสียงของอวี๋ฉิงแสดงความรู้สึกผิด
คำพูดที่เธอเอ่ยออกมา ซูลิ่วที่เพิ่งหาที่จอดรถได้และรีบตามมาได้ยินเข้าพอดี ทำให้ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรหูเบาเชื่อเมิ่งเมิ่ง ฉันน่าจะรออีกสักหน่อย”
มองผ่านกระจกใสเข้าไป ซูอินสวมหน้ากากออกซิเจนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ไม่รู้ว่าจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนั้นทุกคนต่างรู้สึกหนักใจ เมิ่งเถียนเฟินกอดบุตรชายและร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกไปด้วยกัน
เดิมทีอวี๋ฉิงตั้งใจจะปลอบพวกเขา แต่คุณหนูอวี๋เคยแต่ถูกคนอื่นโอ๋มาั้แ่เด็ก เธอจะปลอบโยนคนอื่นเป็ได้อย่างไร เธอพยายามพูดปลอบแล้วสองสามประโยคแต่ไม่เป็ผล จนจะร้องไห้ตามเสียเอง
เสียงร้องไห้ เสียงถอนหายใจ…ทำให้บรรยากาศที่โถงทางเดินปกคลุมด้วยเมฆดำ
ก่อนที่โจวกุ้ยฮวาจะเข้ามาทำลายบรรยากาศนี้
ในฐานะสะใภ้บ้านของอู๋อู๋ เธอใช้เส้นสายของพี่สาวสามีเพื่อเข้ามาทำงานที่โรงอาหารในโรงพยาบาล ก่อนหน้านี้ที่หยางอวี้หลานปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ การเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้อึกทึก แต่มันก็เข้าถึงหูเธออย่างรวดเร็ว
ซูอินถูกตีหรือ
เื่ดีๆ แบบนี้จะต้องรีบไปบอกพี่สะใภ้
โจวกุ้ยฮวาจึงหยุดทำอาหารทันที เธอรีบถอดผ้ากันเปื้อน เมื่อรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้วจะได้รีบไปบอกข่าวดีนี้กับอู๋อู๋
เมื่อเห็นครอบครัวตระกูลซูรีบเดินทางมายืนอยู่หน้าห้องคนไข้ เธอก็ะโ “ว้าว พวกเธอมากันเร็วจริงๆ”
เธอรีบเดินมาอย่างรวดเร็วชนิดไม่เข้ากับรูปร่างที่อวบอ้วน เหลือบมองซูอินที่ยังคงหมดสติก่อนจะหมุนตัวและชี้นิ้วไปที่สองแม่ลูกตระกูลซู
“น่าสงสารจัง ร้องไห้เศร้าโศกหนักมาก ได้ยินแล้วรู้สึกปวดใจ แต่ถ้าจะให้พูด คนแบบนี้ทำเื่เลวๆ ไม่ได้หรอก เพราะหากทำเื่เลวร้ายมากเกินไปก็จะถูกลงโทษ ให้นอนอยู่แบบนั้นแหละ”
ใบหน้าอ้วนของเธอเต็มไปด้วยความเ้าเนื้อ บวกกับสายตาที่ปีติยินดีกับความโชคร้ายของคนอื่น ยิ่งทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำมันเกินไป
คนที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วที่สุดคืออวี๋ฉิง เธอลุกขึ้นยืนเผยออร่าเต็มที่ “เธอเป็ใคร”
หลิวจินเซียงไขข้อสงสัยให้เธอ “เป็ญาติของตระกูลหลิง”
โจวกุ้ยฮวาเชิดหน้า “ไม่ผิด ฉันเป็น้าของเมิ่งเมิ่ง เมิ่งเมิ่งของเราเป็เด็กดี ไม่เหมือนซูอิน ได้ตระกูลหลิงเลี้ยงดูมาตั้งหลายปี แต่กลับอกตัญญู กัดเมิ่งเมิ่งไม่ปล่อย ไม่ยอมให้เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนดีๆ เป็เื่เลวร้ายมาก แต่ตอนนี้กรรมตามสนองแล้ว”
บรรยากาศตรงนั้นเงียบไปชั่วขณะ เมื่อเห็นดังนั้นโจวกุ้ยฮวาจึงยิ่งแสดงท่าทีเย่อหยิ่ง
และเบื้องหน้าของเธอ นอกจากเด็กชายตัวน้อยที่ยังคงร้องไห้งอแง สองสามีภรรยาตระกูลหลิง หลิวจินเซียง รวมไปถึงซูลิ่วต่างพากันหยุดคร่ำครวญ พวกเขากำหมัดแน่น แววตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
อวี๋ฉิงทำความเข้าใจกับประโยคที่โจวกุ้ยฮวาเอ่ย ทันใดนั้นแววตาของเธอก็แสดงท่าทีดูแคลน
“เด็กดีหรือ เธอรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วใครเป็คนทำให้อินอินกลายเป็แบบนี้”
ในใจของโจวกุ้ยฮวาวูบไหว ในหัวคาดเดาบางสิ่งที่อาจเป็ไปได้ขึ้นมา คงไม่ใช่หรอก
“คือหลิงเมิ่งที่เธอชมนักชมหนานั่นแหละ!”
ความโกรธของคุณหนูอวี๋ปะทุขึ้น “ทำคนอื่นาเ็แบบนี้ ไม่ขอโทษยังไม่เท่าไร แต่ยังเสนอหน้ามาเยาะเย้ยแบบนี้ เธอยังมีความเป็คนอยู่ไหม”
ประโยคนี้พูดแทนใจตระกูลซูทุกคน พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย
โจวกุ้ยฮวาขมวดคิ้ว น้ำเสียงในเวลานี้กลับไม่หนักแน่นเหมือนเมื่อสักครู่ “เป็ไปได้ยังไง…เมิ่งเมิ่งของพวกเราเป็เด็กดีจะตาย”
ก่อนหน้านี้ไม่นานเมิ่งเมิ่งได้มอบสิ่งของมากมายให้บุตรชายของเธอ เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ โจวกุ้ยฮวาก็ยิ่งมั่นใจ “เด็กผอมบางอย่างเมิ่งเมิ่ง แค่ไม่ถูกรังแกก็ถือว่าดีขนาดไหนแล้ว เธอจะไปทำร้ายคนอื่นแบบนั้นได้ยังไง ต้องเป็เพราะพวกเธอทนเห็นเมิ่งเมิ่งได้ดิบได้ดีไม่ได้มากกว่า น่าเสียดายที่เมิ่งเมิ่งถูกพวกเธอเลี้ยงดูมาตั้งหลายปี แล้วยังจะมาบอกว่าฉันไม่ใช่คนอีก พวกเธอต่างหากที่ไม่ใช่คน ฉันว่า…”
ยิ่งพูดน้ำเสียงของเธอยิ่งมั่นใจมากขึ้น ทำให้โจวกุ้ยฮวากล่าวด่าทอ
คำพูดที่ไม่น่าอภิรมย์กำลังท้าทายสติของทุกคนในเวลานี้
เมื่อรู้ว่าบุตรสาวได้รับาเ็หนักและอาจจะไม่ฟื้น ไม่ใช่เพียงเมิ่งเถียนเฟิน ซูเจี้ยนจวินก็กำลังจมอยู่กับความเสียใจครั้งใหญ่เช่นกัน แต่ไหนแต่ไรเขาเป็คนเก็บความรู้สึก ไม่ค่อยพูด ในเวลานี้ก็ยิ่งเก็บความรู้สึกไว้ข้างใน
เก็บไว้จนถึงขีดจำกัด คำด่าทอของอีกฝ่ายเปรียบดังฟางเส้นสุดท้าย
“เธอด่าใคร”
ราวกับลมกระโชกรุนแรง เขากำหมัดแล้วก้าวอย่างรวดเร็วไปยังเบื้องหน้าโจวกุ้ยฮวา เส้นเืสีเขียวที่นูนขึ้นบนแขน ท่าทางดุดันทำให้ยับยั้งอีกฝ่ายได้สำเร็จ
“ทำร้ายคนอื่นหรือ!”
เสียงะโนั้นทำให้ซูเจี้ยนจวินรู้สึกราวกับถูกกดปุ่มหยุด หมัดของเขานิ่งอยู่กลางอากาศด้วยท่าทีประหม่า
เขาไม่เคยทำร้ายผู้หญิง
ถึงเขาไม่ทำ แต่ก็จะมีคนอื่นทำ
หลิวจินเซียงชื่นชอบหลานสาวอย่างซูอินมาก อินอินไม่เพียงหน้าตาสะสวย มีมารยาท มีความเป็ผู้นำ แต่ยังเรียนเก่ง มีหลานสาวอย่างอินอินทำให้ป้าอย่างเธอรู้สึกได้หน้าได้ตาไปด้วย แม้จะรู้จักกันเพียงไม่นาน แต่ในใจของเธออินอินถือเป็คนในครอบครัว สถานะของซูอินสำหรับเธอเทียบเท่ากับซูเล่อผู้เป็บุตรสาวแท้ๆ
ในวันนี้ซูอินกลับนอนอยู่ในห้อง ICU โดยไม่รู้ว่าจะเป็ตายร้ายดีอย่างไร แต่ญาติฝั่งตระกูลหลิงยังกล้ามาพูดจาพล่อยๆ แบบนี้อีก
“ยังไม่โดนก็แหกปากร้องขนาดนั้นแล้วหรือ หากโดนตีจริงๆ จะโดนใส่ร้ายป้ายสีอะไรบ้างล่ะเนี่ย”
เธอก้าวเข้าไปตรงหน้าและคว้าผมของโจวกุ้ยฮวา มืออีกข้างทักทายไปบนหน้าของอีกฝ่าย หญิงชนบทที่ทำงานในท้องไร่ท้องนามีพละกำลังมากมาย ทำให้โจวกุ้ยฮวาดิ้นไม่หลุดและถูกตบตีในที่สุด
แค่นั้นยังไม่พอหรอก
การเคลื่อนไหวบริเวณนี้เรียกความสนใจของผู้คนได้ไม่น้อย ในขณะที่ทุบตีโจวกุ้ยฮวา หลิวจินเซียงก็อธิบายไปด้วย
“ทำร้ายหลานสาวของฉันจนสลบไม่ได้สติ ผู้ใหญ่ของตระกูลนี้ยังไม่คิดจะชดใช้ ไม่คิดจะขอโทษ ยังกล้าวิ่งโร่มาด่าพวกเราอีก พวกคุณคิดว่าแบบนี้ยังเป็คนอยู่ไหม น่าโมโหจริงๆ!”
เมื่อได้รับรู้ต้นสายปลายเหตุ ผู้คนรอบๆ ที่ดูอยู่ก็พากันถอนหายใจออกมาหนักๆ
ตรงนั้นคือห้อง ICU คนที่เข้าห้อง ICU ล้วนเป็ผู้ป่วยอาการหนัก าเ็มากขนาดนั้น ยังกล้ามาด่าทอพวกเขาอีกหรือ
คนผู้นี้ไม่ใช่คนจริงๆ
เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น!