เ้าหน้าที่ตำรวจกั้นพื้นที่ในที่เกิดเหตุ อวี๋ฉิงและหลี่ิฉีเดินตามชายวัยกลางคนที่มีอำนาจรับผิดชอบเข้าไปด้านใน
“อินอิน”
อวี๋ฉิงรีบก้าวเท้าเข้าไปใกล้ มองเพื่อนสนิทของเธอที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น
บนร่างกายไม่มีาแ เมื่อลองเอามืออังจมูกพบว่ายังหายใจ เธอยังมีชีวิตอยู่ จากนั้นอวี๋ฉิงหันไปมองเด็กชายตัวน้อยที่กลายสภาพเป็ขอทานน้อยไปแล้ว
“อันอันหรือ”
ในที่สุดเธอก็มองออกว่าเป็ใคร เด็กชายตัวน้อยที่พยายามเข้มแข็งมาตลอดไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีกต่อไป เขากอดขาของอวี๋ฉิงแน่น น้ำตาที่คลออยู่ในดวงตาโตราวกับผลองุ่นที่กลั้นไว้เมื่อครู่รินหลั่งดั่งสายฝนที่โหมกระหน่ำพร้อมร้องไห้เสียงดัง
เขาร้องไห้พร้อมกล่าวฟังไม่ได้ศัพท์ “เขา…เขา...รังแก…รังแก…”
คุณหนูอวี๋แสดงท่าทีอ่อนโยนที่เห็นได้ไม่บ่อย “ไม่ต้องกลัวนะ พวกคุณลุงตำรวจมากันแล้ว อันอันดูสิ พวกคนไม่ดีถูกจับตัวไปหมดแล้ว ตอนนี้อันอันกับพี่สาวปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องกลัว พวกเราไม่ต้องกลัวแล้ว”
เมื่อได้รับการปลอบโยนจากอวี๋ฉิง เด็กชายตัวน้อยจึงค่อยๆ สงบลง
เ้าหน้าที่ปราบจลาจลพอจะมีความรู้ด้านการรักษาพยาบาลเข้ามาตรวจร่างกายของซูอินเบื้องต้น
“น่าจะเกิดจากอาการช็อก รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล แจ้งรถพยาบาลด่วน”
“เมื่อกี้เรียกไปแล้วค่ะ”
อวี๋ฉิงพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไปหาหลิงเมิ่งที่ยืนแข็งเป็หิน อวี๋ฉิงเหลือบมองก่อนจะยกมือขึ้นตบหน้าอีกฝ่าย
อาการปวดแสบปวดร้อนบนแก้มดึงสติหลิงเมิ่งกลับมา แววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อก่อนจะถาม “เธอตบฉันหรือ”
“คนที่สมควรโดนคือเธอนั่นแหละ!”
อวี๋ฉิงยกมือขึ้นตบอีกครั้ง
“ฉิงฉิง!”
ชายวัยกลางคนผู้ทำหน้าที่สั่งการในที่เกิดเหตุขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยอย่างจนใจ “แบบนั้นมันผิดกฎหมาย รถพยาบาลมาแล้ว ไปส่งเพื่อนของเธอพร้อมกับรถพยาบาลเถอะ”
“ค่ะ”
อวี๋ฉิงดึงมือกลับมา มองหลิงเมิ่งที่ยืนดูราวกับคนโง่ “ที่บ้านก็มีเงิน ไม่รู้หรือว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ บ้านฉันก็มีเงิน แต่ฉันก็ปฏิบัติตามกฎหมายเสมอ!”
จากนั้นเธอก็ไม่เสียเวลาสนทนาอีกต่อไป
เพราะบางเื่ทำให้เห็นดีกว่าพูด อินอินเป็เพื่อนสนิทของเธอ ตระกูลซูมีฐานะไม่ดี ไม่มีอำนาจ อาจจะสู้กับตระกูลหลิงไม่ได้ แต่บ้านของเธอมีฐานะ คำพูดในวันนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะออกมาจัดการแทนซูอิน
นี่คือสิ่งที่เธอตัดสินใจแล้วระหว่างทางที่มาที่นี่
เธอถูฝ่ามือก่อนจะหันกลับไปด้วยท่าทีสง่างาม เดินไปที่รถพยาบาลและอุ้มเด็กชายตัวน้อยไปด้วย ขณะกำลังจะก้าวขึ้นรถก็มีเสียงดังจากด้านหลัง
“คือว่า…”
“อะไรหรือ”
อวี๋ฉิงหันไปมองก็เจอนักข่าวคนนั้นที่กำลังมองหน้าอกของเธอ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
หลี่ิฉีรู้สึกได้ว่าสายตาของตนเองที่มองไปไม่ค่อยเหมาะสม เขาจึงกระแอมด้วยท่าทีประหม่าและรีบถาม “คุณหนู เมื่อครู่ถ่ายวิดีโอไว้ใช่ไหมครับ”
อวี๋ฉิงพยักหน้าก่อนจะหันไปถามชายวัยกลางคนที่อยู่ไม่ห่างจากเธอนัก “เอาให้เขาได้ไหมคะ”
ชายวัยกลางคนชะงักเล็กน้อย เขามองไปทางเ้าหน้าที่ตำรวจที่กำลังเก็บหลักฐานอยู่ไม่ไกล ก่อนจะครุ่นคิดและตอบว่า “ตามกฎแล้ว หลักฐานของเ้าหน้าที่ตำรวจไม่ควรรั่วไหลออกไป”
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากไม่ใช่หลักฐานของเ้าหน้าที่ตำรวจ พวกเขาไม่มีอำนาจเข้าไปยุ่ง
อวี๋ฉิงเข้าใจในทันที เธอปลดกล้องออกก่อนจะส่งมันให้หลี่ิฉี “เอ้า เอาไปใช้ดีๆ ล่ะ”
หลี่ิฉียื่นมือสองข้างมารับกล้องไปพร้อมพยักหน้าอย่างหนักแน่น มองกล้องดิจิทัลในมือด้วยแววตาร้อนแรงราวกับมองแฟนสาวที่เป็รักแรกอย่างไรอย่างนั้น
กล้องดีขนาดนี้…
ข่าวใหญ่ขนาดนี้…
ภาพตรงหน้าทำให้อวี๋ฉิงอดยิ้มไม่ได้ เมื่อครู่ก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่ที่ทางเ้าหน้าที่ตำรวจกั้นไว้ เธอได้ถามอีกฝ่ายแล้วว่าเหตุใดจึงโผล่มาที่นี่ได้ในเวลานี้
ดูเหมือนว่าต่อให้ไม่ต้องพึ่งพาเธอ อินอินก็เตรียมการไว้อย่างดีแล้ว และสามารถจัดการเื่นี้ได้ด้วยตัวเอง
สุดท้ายเธอปรายตามองไปทางหลิงเมิ่งที่ยืนมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะขึ้นรถพยาบาลไป
รถพยาบาลเปิดเสียงไซเรนและรีบมุ่งไปยังโรงพยาบาล
ในเวลาเดียวกัน เมิ่งเถียนเฟินที่อยู่หมู่บ้านตงผิงก็ทำอาหารเย็นเสร็จพอดี
วันนี้อินอินไปรับหนังสือตอบรับเข้าศึกษาต่อ โรงเรียนมัธยมปลายที่ดีที่สุดในเมืองผิงรับเธอเข้าเรียน อีกทั้งยังได้อยู่ห้องที่ดีที่สุด ดูออกเลยว่าอินอินมีความสุขมาก ตัวเธอที่เป็มารดาก็มีความสุขเช่นกัน
เมื่อเช้าเธอรีบไปตลาดซื้อซี่โครงและปลาจี้[1] นอกนั้นก็มีผักสดอีกหลายอย่าง เธอเคี่ยวไฟอ่อนนานหลายชั่วโมงจนน้ำซุปปลาเป็สีขาวขุ่น ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวานถูกยกขึ้นจากเตา ผักถูกนำมาผัดเป็อาหารหลายอย่าง อาหารแปดอย่างวางอยู่เต็มโต๊ะ และใช้ฝาพลาสติกกันแมลงครอบไว้
ทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย เหลือแค่รอสองพี่น้องกลับมากินอาหารร่วมกัน
แต่เหลียวซ้ายแลขวาจนท้องฟ้ามืดสนิท อาหารบางอย่างเริ่มเย็น ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเด็กทั้งสอง
“ทำไมยังไม่กลับมากันอีกนะ”
“มืดขนาดนี้แล้ว ไม่ได้ ฉันจะต้องไปถาม”
ล้างหน้าล้างตาและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เมิ่งเถียนเฟินก็ไปที่บ้านของซูลิ่ว เมื่อเดินเข้าไปในลานบ้านก็เห็นรถตู้จอดอยู่
“อาลิ่ว อินอินกับอันอันไม่กลับมาด้วยหรือ”
ซูลิ่วที่กำลังกินอาหารเย็น เขาถือชามข้าวและะโตอบออกไป “ไม่ใช่ว่ากลับมาตั้งนานแล้วหรือ เด็กคนนี้นี่ ถ้าอยากนั่งรถของเพื่อนกลับก็น่าจะรีบบอก ปล่อยให้ฉันไปรอที่สถานี โชคดีที่เมิ่งเมิ่งตั้งใจมาบอก ไม่อย่างนั้นฉันคงรอเก้อ”
หัวใจของเมิ่งเถียนเฟินเต้นไม่เป็จังหวะ
“คุณบอกว่า…เมิ่งเมิ่งหรือ”
“ใช่แล้ว ซูเมิ่ง เด็กที่เคยเป็ลูกสาวบ้านเธอนั่นแหละ”
“ซูเมิ่งหรือ”
ครั้งนี้คนที่พูดคือมารดาของซูลิ่ว หน้าผากของหญิงชราเกิดรอยย่นขึ้นทันที “ไม่ใช่แล้ว วันก่อนเด็กคนนั้นยังพาคนมาหาเื่ที่บ้านของเถียนเฟินอยู่เลย สุดท้ายถูกคนในหมู่บ้านขับไล่ออกไป ทะเลาะกับอินอินขนาดนั้น จะมาช่วยส่งข่าวแทนเธอได้ยังไง”
“แม่ มีเื่แบบนี้ด้วยหรือ”
ซูลิ่วมัวแต่ยุ่งอยู่กับการขับรถรับจ้าง ผู้ชายไม่สนใจเื่ซุบซิบนินทาจริงๆ สินะ
หญิงชราชอบเื่ซุบซิบนินทา เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนเธอยังคงจำได้แม่นยำ จึงเล่าให้บุตรชายฟังอีกครั้ง
ในเวลานี้ซูลิ่วถึงกับชะงัก ความคับข้องใจหายไปทันที เขาวางชามข้าวก่อนจะถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“เถียนเฟิน สองพี่น้องยังไม่กลับมาอีกหรือ”
เมิ่งเถียนเฟินส่ายหน้า ใบหน้าของเธอตอนนี้แสดงความร้อนใจ ก่อนจะพยายามหาเหตุผลอย่างมีสติ “พอพวกเขาไม่เจอรถ ก็อาจจะอยู่ค้างในเมือง”
ในเวลาต่อมา เธอก็ปฏิเสธการวิเคราะห์นี้ “หากนอนค้างในเมือง อินอินจะต้องโทรมาบอกแน่นอน แต่เมื่อตอนบ่ายสามโมงเธอยังโทรมาบอกว่าจะกลับบ้านมากินข้าวเย็นด้วยกัน”
“และเธอก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับเมิ่งเมิ่ง หากไหว้วานใครก็ไม่น่าจะเป็เมิ่งเมิ่ง”
ยิ่งคิดเมิ่งเถียนเฟินยิ่งร้อนใจจนหญิงชราข้างๆ ต้องคอยปลอบ “เถียนเฟิน เธออย่าเพิ่งร้อนใจไป ลองดูก่อนว่าติดต่อสองพี่น้องได้ไหม”
“ใช่”
เมิ่งเถียนเฟินมีเบอร์โทรศัพท์มือถือของซูอิน ในตอนที่เธอตั้งใจจะขอใช้โทรศัพท์ที่บ้านของซูลิ่ว ก็เห็นหลิวจินเซียงวิ่งมาอย่างรีบร้อน
“เถียนเฟิน เกิดเื่แล้ว เมื่อครู่มีคนในเมืองโทรศัพท์มาบอกว่าอินอินถูกเมิ่งเมิ่งพาพวกอันธพาลไปทำร้าย ถูกตีจนช็อกหมดสติไป ตอนนี้กำลังถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาล”
ในหัวของเมิ่งเถียนเฟินว่างเปล่า ก่อนที่ร่างกายของเธอจะสั่นอย่างรุนแรง
ไม่ใช่แค่เธอ คนในครอบครัวของซูลิ่วที่กำลังรับประทานอาหารก็ถึงกับหยุดนิ่ง โดยเฉพาะแม่เฒ่าซูที่หันไปบ่นบุตรชายของตนเองอย่างอดไม่ได้
“อินอินเป็เด็กรอบคอบ ต่อให้มีเื่ที่ทำให้ไม่ได้นั่งรถแก อย่างไรก็ต้องมาบอกด้วยตัวเอง ทำไมถึงได้เชื่อซูเมิ่งที่เห็นแก่เงินจนลืมกำพืดตัวเอง เด็กที่ทอดทิ้งพ่อแม่ที่เลี้ยงดู เด็กแบบนั้นน่าเชื่อคำพูดหรือ”
“แกร้อนใจอะไรนักหนาถึงรออีกสักหน่อยไม่ได้ ไอ้หยา แกนี่มัน!”
หลังจากเหตุการณ์บ้านแตกในครั้งนี้ พวกเขาก็ตัดสินใจเดินทางเข้าเมือง เมื่อเกิดเื่แบบนี้ ซูลิ่วรู้สึกผิดมาก ไม่สนใจรับประทานอาหาร รีบขับรถตู้พาทุกคนเข้าเมือง
----------------------------------------------------------------------------
[1] ปลาจี้ เป็ปลาในตระกูลเดียวกันกับปลาตะเพียน ปลาไน ตัวขนาดกลาง คำว่า จี้ พ้องเสียงกับคำว่า จี๋(吉)มีความหมายว่าโชคดี ซึ่งคาดหวังว่าจะได้พบเจอสิ่งดีๆ นั่นเอง