“เช่นนั้นแล้วมันเกี่ยวข้องอันใดกับเ้าชนชั้นต่ำที่นี่เล่า? การเจรจาต่อรองเป็เื่ระหว่างทั้งสองแคว้น” องค์ชายฉวี่หลงกล่าว คนที่นี่ทำกับเขาเช่นนี้เขาไม่มีวันปล่อยพวกเขาไว้เป็แน่ ยังมีเด็กน้อยผู้นั้นอีก คอยดูเถิด
“หุบปาก จ้าวหนิงฮ่องเต้นั้นเป็กษัตริย์ชาตินักรบ ฮ่องเต้ลักษณะนี้ไม่ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบ แต่กลับเข้าใจในกฎเกณฑ์เหล่านี้ยิ่งกว่าผู้ใด เขาไม่มีวันชมชอบที่เ้าเรียกประชาชนของเขาว่าชนชั้นต่ำ กฎเกณฑ์วัฒนธรรมของแคว้นจีนแตกต่างจากแคว้นฉวี่หลงของพวกเรา อยู่ที่นี่ประชาชนสามารถผ่านการสอบเคอจวี่เพื่อเป็ขุนนางได้...เช่น เสนาบดีกรมกลาโหม ใต้เท้าฉิน บิดาของฉินกุ้ยเฟย” องค์หญิงฉวี่หลงกล่าว “แล้วอีกอย่าง เ้ารู้หรือไม่ว่าหญิงสาวที่เ้าล่วงเกินในวันนี้เป็ใคร?”
“ท่านพี่ ท่านพูดเช่นนี้แสดงว่าท่านรู้ใช่หรือไม่ว่านางเป็ใคร? ข้าอยู่แคว้นฉวี่หลงไม่เคยพบสาวงามเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็สาวงามที่งดงามยิ่ง ท่านพี่ ท่านบอกข้าว่านางเป็ใคร ข้าจะพานางกลับฉวี่หลง”
“เ้าสัตว์เดรัจฉาน” สีหน้าขององค์หญิงฉวี่หลงค่อยๆ ดำทะมึนลง “ฐานะของครอบครัวนางนั้นไม่สูงมาก แต่ครอบครัวฝั่งมารดาของนางฐานะสูงส่งยิ่ง คนเช่นนี้ไม่มีทางให้เ้าพากลับฉวี่หลงไปได้ เ้าจงเตรียมตัวเสีย พรุ่งนี้พวกเราจะไปขอขมา”
“ขอขมารึ?” องค์ชายฉวี่หลงนั้นไม่ยินยอม แต่เมื่อคิดได้ว่าจะได้พบสาวงามเขาจึงตอบตกลง “ท่านยังไม่ได้บอกกับข้าว่านางเป็ใครกัน? ครอบครัวฝั่งมารดามีความเป็มาเช่นใดหรือ?”
“คนผู้นี้มารดาผู้ให้กำเนิดของนางคือคนในจวนแม่ทัพผู้เฒ่าอวี๋ แม่ทัพผู้าุโที่สุดในแว่นแคว้น ในอดีตนั้นเก่งกาจที่สุด ท่านน้าของคนผู้นี้เป็องค์ฮองเฮาในไท่จื่อเยี่ยน ซึ่งก็คือพี่ชายแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ฐานะของฉีอ๋องในแคว้นนี้แตกต่างจากองค์ชายทั้งหลาย เขากับฮ่องเต้แม้จะมีศักดิ์เป็อากับหลาน แต่บัลลังก์นี้เป็ไท่จื่อเยี่ยนที่ทิ้งเอาไว้ ดังนั้นในราชสำนักจึงยังมีกำลังขุนนางไม่น้อยที่ยืนอยู่ข้างเขา เ้าล่วงเกินเขา อยู่ในแคว้นนี้เ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ประโยชน์อันใด” องค์หญิงฉวี่หลงตักเตือนน้องชายที่ไม่เอาถ่านของตน จุดประสงค์ของพวกเขายังไม่ทันบรรลุ เื่ราวก็เสียเื่ไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“ไอโยว ข้ารู้แล้ว ท่านพี่ ท่านโปรดวางใจเถิด”
ณ จวนสกุลเจียง
“ไม่พบ” เจียงอวี๋ซื่อตบโต๊ะแล้วลุกยืนขึ้น “สัตว์เดรัจฉานเช่นนี้ ล่วงเกินบุตรสาวข้าต่อหน้าธารกำนัล วันนี้ยังคิดจะมาเหยียบเรือนข้าเพื่อขอให้ข้าอภัยอีกรึ? ฝันไปเถอะ” เจียงอวี๋ซื่อเมื่อครั้งยังเป็แม่นางวัยสะพรั่งนั้นมีอุปนิสัยสุภาพอ่อนโยน แต่เวลานั้นได้ออกเรือนมาสิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์ ทำให้นิสัยที่เคยสุภาพอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็ฉุนเฉียวรุนแรง ยังดีที่์เมตตา ในที่สุดนางก็มีบุตรสาวคนหนึ่ง ไม่เช่นนั้นหากเป็เ้าบ้านฝ่ายหญิงที่ไร้ซึ่งบุตรของตนแล้ว ชีวิตในอนาคตจะเป็อยู่อย่างไรเล่า
“ท่านย่าโปรดระงับอารมณ์ด้วยเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าว “ต่อให้ท่านโมโหยิ่งกว่านี้ จะเป็การเสียสุขภาพของท่านเองนะเ้าคะ สัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเป็ทูตต่างแคว้น พวกเราทำอันใดพวกเขามิได้ ได้แต่อดทนเอาไว้” ฮูหยินใหญ่เจียงเป็ภรรยาของบุตรอนุ สามีของนางเป็บุตรชายนอกสมรสคนโตของใต้เท้าเจียง ด้วยความที่เจียงอวี๋ซื่อไม่ได้ตั้งครรภ์มาโดยตลอด ซู่จั๋งจื่อสามีฮูหยินใหญ่เจียงคนนี้จึงเติบโตมาข้างกายนาง ดังนั้นความสัมพันธ์จึงถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
“ข้าไฉนเลยจะไม่รู้เหตุผลเหล่านี้เล่า ต่อให้ไม่ให้หน้าพวกเขา ข้ายังจะไม่ให้หน้าฝ่าาได้หรือ?” เจียงอวี๋ซื่อเพียงแต่โกรธ “ไปเชิญพวกเขาเข้ามาเถิด”
องค์หญิงฉวี่หลงนำองค์ชายฉวี่หลงเข้ามา
แม้แต่รอยยิ้มเจียงอวี๋ซื่อก็ไม่มีจะให้ ให้พวกเขาเข้ามาในเรือนได้ก็ถือว่าเกรงใจมากแล้ว “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองมาเยือนด้วยเื่อันใด? ใต้เท้าไม่อยู่ในเรือน ข้าเป็สตรีไม่สะดวกที่จะต้อนรับ”
องค์หญิงฉวี่หลงยิ้มพลางพูดว่า “วันนี้น้องชายได้กระทำการล่วงเกินบนท้องถนน ฉวี่เหวินจึงพาเขามาขอขมา”
“มิกล้า” เจียงอวี๋ซื่อกล่าว “ในเมื่อทั้งสองท่านมีใจ การขอขมานี้ข้าจะรับเอาไว้ เดิมทีก็เป็ความผิดของคนท่านนี้อยู่ก่อน หากไม่มีเื่ใดแล้วเช่นนั้นข้าต้องขอส่งแขกแล้ว” คำพูดของนางนั้นช่างไร้เยื่อใย แต่องค์หญิงแห่งแคว้นฉวี่หลงทำเพียงยิ้มรับ เจียงอวี๋ซื่อเจอผู้คนมามากมายหลายประเภท เมื่อก่อนครั้งนางยังเป็คุณหนูรองสกุลอวี๋นั้น ข้างกายนางมีคนไหนบ้างที่ไม่ใช่คุณหนูพันชั่งจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ และเนื่องด้วยพี่สาวแท้ๆ ของนางเป็ถึงพระชายาเอกของไท่จื่อ ไม่ว่าจะเป็ท่านหญิง องค์หญิง หรือผู้มีฐานะสูงส่งทั้งหลายนางล้วนพบเจอมาหมดแล้ว องค์หญิงฉวี่เหวินผู้นี้ไม่ง่ายดาย แต่เจียงอวี๋ซื่อจะด้อยกว่านางสักกี่ส่วนเล่า?
“เจียงฮูหยิน ไฉนจึงไม่เห็นคุณหนูเจียงเล่า เปิ่นหวางอยากจะขอขมาต่อคุณหนูเจียงด้วยตนเอง” องค์ชายฉวี่หลงกล่าว
ด้วยคำพูดประโยคนี้ขององค์ชายฉวี่หลง สีหน้าของเจียงอวี๋ซื่อจึงดำทะมึนลงทันที
แต่องค์ชายฉวี่หลงทำราวกับว่ามองไม่เห็น กลับพูดอีกว่า “เจียงฮูหยิน ข้านั้นรู้สึกกับคุณหนูเจียงดังรักแรกพบ หากตามธรรมเนียมของแคว้นท่าน คุณหนูเจียงถูกข้าโอบกอดต่อหน้าธารกำนัลแล้ว ชื่อเสียงได้เสียไปแล้ว อยู่ที่นี่ก็คงแต่งออกไปไม่ได้ ไม่สู้แต่งให้ข้า ข้าจะแต่งนางเป็พระชายาเอกของข้า”
“เ้า...เ้า...” องค์ชายฉวี่หลงไม่พูดยังดีกว่า คำพูดนี้ เจียงอวี๋ซื่อถูกทำให้โมโหเสียจนหน้าก็ไม่ให้แล้ว “ใครก็ได้ ขับไล่พวกเขาออกไปจากจวน ขับไล่ออกไป”
“เจียงฮูหยิน พวกเราขอลา” องค์หญิงฉวี่หลงลากองค์ชายฉวี่หลงออกไปทันที เดินออกไปเองย่อมดีกว่าถูกขับไล่ออกไป แต่เมื่อออกจากสกุลเจียงขึ้นรถม้าแล้ว สีหน้าขององค์หญิงฉวี่หลงก็ทะมึนลง “เ้าก่อเื่ได้งามหน้านัก” ช่างเป็คนที่ทำเื่ใดก็มีแต่ความล้มเหลวโดยแท้ ไม่ควรพาเข้ามาเมืองหลวงด้วยจริงๆ หากในงานฉลองพระราชสมภพของฮ่องเต้เขาทำเื่อันใดอีก ย่อมไม่เป็การดีแน่
“ท่านพี่ ที่จริงแล้วข้ามีความคิดอยู่ความคิดหนึ่ง” องค์ชายฉวี่หลงกล่าว
องค์หญิงฉวี่หลงมองหน้าเขา “สมองเช่นเ้าจะคิดวิธีดีๆ ออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”
องค์ชายฉวี่หลงหัวเราะ พูดอย่างมีลับลมคมใน “ท่านพี่ หากแคว้นฉวี่หลงและแคว้นจีนสามารถแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันได้ ไม่จำเป็ว่าต้องเป็ท่านพี่เสมอไป ท่านพี่ย่อมไม่ยินยอมที่จะออกเรือนมาต่างเมืองเป็แน่ ในเมื่อเป็เช่นนี้ ก็ให้คุณหนูเจียงแต่งงานกับข้าเป็พอ ท่านมิใช่บอกว่าคุณหนูเจียงเป็พี่สาวของฉีอ๋องหรอกหรือ? แม้ว่าจะไม่ใช่องค์หญิง แต่เพื่อเห็นแก่หน้านาง ฉีอ๋องก็ต้องดีกับพวกเราถูกต้องหรือไม่?”
องค์หญิงฉวี่หลงเลิกคิ้ว มีความทึ่งอยู่หลายส่วน
“พวกเรากระพือข่าวลือเข้าไปอีก ชื่อเสียงของหญิงสาวแคว้นจีนนั้นสำคัญนัก หากคุณหนูเจียงไม่มีชื่อเสียงแล้ว ย่อมต้องยินยอมแต่งให้ข้าใช่หรือไม่?” องค์ชายฉวี่หลงมีความมั่นใจอย่างยิ่ง
องค์หญิงฉวี่หลงครุ่นคิด “แต่เหตุการณ์เช่นวันนี้นั้นยังไม่เพียงพอที่จะให้นางที่มีฐานะสูงส่งแต่งให้เ้า เ้าอยากจะแต่งนาง พวกเรายังต้องคิดหาวิธีอื่น แต่ข้าจะขอเตือนเ้าไว้ก่อน ไม่ว่าจะทำเื่ใดให้คิดถึงผลประโยชน์ของแคว้นฉวี่หลงมาเป็อันดับแรก หากเื่ของเ้าเป็อุปสรรคต่อแคว้นฉวี่หลง ต่อให้เ้าเป็น้องชายแท้ๆ ของข้า ข้าก็จะไม่ปล่อยเ้าเอาไว้แน่”
“ได้ ได้ ั้แ่เล็กจนโตท่านก็พูดเช่นนี้” องค์ชายฉวี่หลงไม่แยแส
ั้แ่ที่องค์หญิงฉวี่หลงและองค์ชายฉวี่หลงออกจากจวนไป เจียงอวี๋ซื่อก็เคร่งเครียดเป็อย่างยิ่ง แม้หญิงสาวถูกโอบกอดกลางถนนจะไม่ถึงกับทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่เื่คู่ครองของบุตรีจะต้องจัดการให้เรียบร้อยโดยเร็ว “เื่นี้เ้ามีความเห็นเช่นใด?”
ฮูหยินใหญ่เจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สะใภ้เกรงว่าองค์ชายฉวี่หลงจะไม่ยอมเลิกราจากน้องสาวง่ายๆ และเหตุการณ์เมื่อวาน...เื่เมื่อวานสะใภ้ได้ไปสอบถามดูแล้ว นอกจากองค์ชายฉวี่หลงแล้วยังมีองครักษ์หลี่อีกคนหนึ่งที่กอดน้องสาวเ้าค่ะ”
“องครักษ์หลี่รึ? ผู้ที่เมื่อวานเป็คนส่งซูเอ๋อร์กลับมาผู้นั้นใช่หรือไม่?” เจียงอวี๋ซื่อครุ่นคิด
“ใช่แล้วเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าวอีกว่า “ถ้าหากพูดว่าน้องสาวถูกองค์ชายฉวี่หลงโอบกอดไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง เช่นนั้นหลังจากที่องครักษ์หลี่ช่วยนาง นางกอดองครักษ์หลี่เอาไว้ไม่ยอมปล่อยมือเลยเ้าค่ะ”
“พูดจาเหลวไหล”
“ความหมายของสะใภ้คือน้องสาวกำลังหวาดกลัว ดังนั้นจึงไม่ยอมปล่อยมือเ้าค่ะ แต่ชื่อเสียงของน้องสาวย่อมต้องเกี่ยวพันกับเขาเป็แน่” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าวเสริมอีก “เมื่อวานเขาส่งน้องสาวกลับมา ข้าเห็นว่าน้องสาวมีใจให้เขาหลายส่วนเ้าค่ะ”
เจียงอวี๋ซื่อไม่ใช่คนเห็นแก่ลาภยศเงินทอง ไม่เช่นนั้นนางจะแต่งมาให้กับคนฐานะยากจนได้อย่างไร “องครักษ์หลี่ผู้นั้นครอบครัวเป็เช่นไร?”
“เป็องครักษ์ข้างกายจงหย่งโหวเ้าค่ะ บิดาของเขาคือหลี่จงิ ท่านย่าน่าจะรู้จัก” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าว
เป็เขาหรอกหรือ เจียงอวี๋ซื่อย่อมรู้จัก เมื่อครั้งนางยังสาวเคยพบเขามาก่อนแต่จำไม่ค่อยได้ “ข้าจำได้ว่าเขาเป็รองแม่ทัพของหลี่ซวี่เหล่าจงหย่งโหว หลังจากหลี่ซวี่ตายเขาเป็เช่นใดบ้าง? เหมือนกับว่าจะไม่ได้ยินเื่ราวของเขา”
“ได้ยินมาว่าได้รับคำสั่งจากฝ่าาให้คุ้มครองเสี่ยวจงหย่งโหวหลี่ลั่วเ้าค่ะ รั้งตำแหน่งองครักษ์ขั้นห้า หลี่ฉางเฉิงเป็บุตรชายคนโตของเขา ทำงานอยู่ข้างกายเสี่ยวจงหย่งโหวเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าว “ในบ้านยังมีลูกชายคนเล็กอายุสิบสามปีอีกหนึ่งคน ภรรยาเป็คนธรรมดาสามัญทั่วไป ในเรือนหลี่จงิไม่มีอนุเ้าค่ะ”
ที่จริงฐานะครอบครัวไม่มีอันใดโดดเด่น แม้จะขาวสะอาด แต่คนเช่นนี้บนท้องถนนมีอยู่ดาษดื่น
ฮูหยินใหญ่เจียงกล่าวอีกว่า “หลี่จงินั้นออกมาจากค่ายทหารซีเป่ย วรยุทธ์ของหลี่ฉางเฉิงได้รับถ่ายทอดจากสกุลอวี๋ ให้เขาไปฝึกฝนที่ค่ายทหารซีเป่ยสักสองปี ถึงเวลานั้นน้องสาวก็อายุเพียงสิบหกปี”
“วรยุทธ์ของหลี่ฉางเฉิงยังร่ำเรียนมาจากสกุลอวี๋ของพวกเราด้วยเช่นนั้นรึ? ...หรือว่าซูเอ๋อร์รู้จักกับเขาที่สกุลอวี๋กัน?” เจียงอวี๋ซื่อนึกออกทันที “วันนี้เ้ามาพูดแทนหลี่ฉางเฉิงเสียมากมาย เป็ซูเอ๋อร์ให้เ้ามาพูดใช่หรือไม่?” บุตรสาวของตน ตนย่อมกระจ่างแจ้งกว่าผู้ใด นางเป็คนมีความคิดเป็ของตนเอง ไม่เช่นนั้นแล้วสะใภ้ใหญ่ผู้นี้ไม่มีทางที่จะมาพูดเื่ของหลี่ฉางเฉิงต่อหน้านาง อีกทั้งฐานะยังยากจนถึงเพียงนี้
“ถูกท่านย่าดูออกเสียแล้วเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงยิ้มเจื่อนๆ ออกมา “เสี่ยวจงหย่งโหวและฉีอ๋องนั้นได้หมั้นหมายกันไว้แล้ว การจะยกหลี่ฉางเฉิงขึ้นมานั้นก็เป็การสมควรเ้าค่ะ”
“หลี่จงิรั้งตำแหน่งขุนนางขั้นห้า มีตำแหน่งหน้าที่อยู่ในราชสำนัก ตำแหน่งขุนนางยังสามารถก้าวหน้าได้อีก ท่านปู่ของเ้ารั้งตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ ข้าไม่รังเกียจเื่เหล่านี้ ขอเพียงครอบครัวดี ซูเอ๋อร์มีชีวิตที่มีความสุข ข้าก็วางใจลงได้แล้ว แต่ข้ายังอยากพบหลี่ฮูหยินสักหน่อย และเื่นี้ก็สมควรที่จะพูดกับอีกฝ่ายด้วย” เจียงอวี๋ซื่อกล่าว
“วิธีนี้ก็เป็การดีเ้าค่ะ” ฮูหยินใหญ่เจียงเดินไปพูดเสียงเบาข้างหูเจียงอวี๋ซื่อ “หลี่ฉางเฉิงได้ช่วยเหลือน้องสาวเอาไว้ ข้าจะไปจวนสกุลหลี่สักครั้ง จากนั้นฟังความคิดเห็นของหลี่ฮูหยิน จะได้สังเกตดูคนของสกุลหลี่ด้วยเ้าค่ะ”
ณ จวนจงหย่งโหว
หลายวันมานี้หลี่ลั่วมีความสุขมาก ร้านค้าของบ้านการกุศลตกแต่งเสร็จแล้ว รอให้ผ่านพ้นงานฉลองวันพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้ก็จะเปิดกิจการ ในเดือนเก้าหลี่ลั่วได้กว้านซื้อองุ่นมาจำนวนหนึ่ง และส่งไปที่หมู่บ้านในชานเมืองทางเหนือให้ซินเผิงรับผิดชอบหมักองุ่น หากซินเผิงคิดจะปลดจากสัญญาทาส ย่อมต้องจงรักภักดีต่อเขา แว่นแคว้นที่มีอำนาจเช่นนี้ หลี่ลั่วไม่กลัวว่าเขาจะไม่ภักดี
ข้าวในฤดูใบไม้ร่วงได้เก็บเกี่ยวแล้ว ที่นาหนึ่งหมู่เก็บเกี่ยวข้าวสารได้ราวๆ สี่ร้อยห้าสิบชั่ง หากเป็ไปตามที่ท่านลุงคาดการณ์ เมื่อที่นามีผู้ดูแล ที่นาหนึ่งหมู่จะเก็บเกี่ยวข้าวได้ถึงหกร้อยชั่ง นี่คือการสิ้นเปลือง ยามนี้โกดังที่หมู่บ้านในชานเมืองทางเหนือมีข้าวสารอยู่สี่แสนห้าหมื่นชั่ง
ส่วนที่นาพระราชทานที่ว่างลงในตอนนี้ หลี่ลั่วยังไม่มีความคิดจะทำอันใดเป็การชั่วคราว