เห็นนางมีท่าทางน่าสังเวชเยี่ยงนี้ โม่เสวี่ยถงก็ตีสีหน้าเ็า ไม่คิดเอาเื่อีกต่อไป
"ท่านยาย[1] ถงเอ๋อร์จะกลับเมืองหลวงแล้ว ทิ้งท่านอยู่ที่นี่คนเดียว ถงเอ๋อร์จะวางใจได้อย่างไร ไม่สู้เข้าเมืองหลวงไปพร้อมกันดีไหมเ้าคะ ถงเอ๋อร์จะต้องกตัญญูต่อท่านยายแน่นอนเ้าค่ะ" หลังจากจัดการเื่หลี่มามาเสร็จสิ้น โม่เสวี่ยถงก็หมุนตัวเข้ามาหาฉินซื่อ พูดออดอ้อนอย่างน่ารัก เอามือรั้งแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ยอมปล่อย ทำให้หัวใจที่หนักอึ้งอยู่ลึกๆ ของฉินซื่อปลอดโปร่งโดยพลัน มิได้รู้สึกขุ่นเคืองกับท่าทางไร้มารยาทของโม่เสวี่ยถงเมื่อครู่อีกต่อไป
"เด็กดี... รออีกสัก่หนึ่ง ยายจะเข้าเมืองหลวงแน่นอน ถึงเวลานั้นแม่หนูถงมาเยี่ยมยายบ้างก็พอแล้ว" ฉินซื่อหัวเราะพลางกล่าวอย่างอารมณ์ดี
"ท่านยายต้องไปเร็วๆ นะเ้าคะ ถงเอ๋อร์คงคิดถึงท่านยายมากแน่ๆ อยู่ที่นี่หากไม่ได้ท่านยายดูแลล่ะก็ ป่านนี้ถงเอ๋อร์คงป่วยตายไปนานแล้ว..." ความอาลัยอาวรณ์ฉายชัดผ่านใบหน้าเล็กจ้อยของโม่เสวี่ยถง ดวงตางดงามเฉิดฉันคลอด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่อาจตัดใจได้ มือเล็กขาวเนียนละเอียดเกาะแน่นที่ชายเสื้อของฉินซื่อ ไม่มีแววว่าจะปล่อยง่ายๆ
"เอาล่ะๆ ยายจะรีบเข้าเมืองหลวงโดยเร็วแน่นอน... แม่หนูถงเป็เด็กดีน่ารักถึงเพียงนี้ จะให้ยายตัดใจลงได้อย่างไรเล่า" เวลานี้ฉินซื่อถูกฉอเลาะจนใจอ่อน อีกทั้งสองวันมานี้หญิงรับใช้าุโข้างกายก็พูดถึงแต่ข้อดีของการไปเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา เมื่อสายตามองเห็นแต่กิริยาท่าทางที่เฉลียวฉลาดน่ารักสดใสของโม่เสวี่ยถง ไหนเลยจะจดจำสิ่งที่ไม่พึงใจในอดีตได้ มีเพียงความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เมตตาต่อนางเท่านั้น
จึงตัดสินใจเป็แม่นมั่นแล้วว่ารอจัดการธุระในเมืองอวิ๋นเฉิงให้เรียบร้อยเหมาะสมก่อน ตนเองจะย้ายครอบครัวไปอยู่เมืองหลวง หลานชายสองคนก็โตกันหมดแล้ว เื่การแต่งงานจำเป็ต้องกำหนดให้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานชายคนโตผู้มีความสามารถอันน่าทึ่งของตนเอง อายุอานามขนาดนี้ หากเป็ชาวบ้านคนอื่นๆ คงได้อุ้มเหลนไปนานแล้ว
...
ต้นกล้วยไม้ที่อยู่เบื้องหน้าสายตาเวลานี้เป็ของชั้นเลิศ ขอบใบหยัก สีเขียวมรกตเป็มันวาว ทั้งต้นออกดอกแปดช่อ แม้ว่าจะเป็กิ่งก้านจากต้นเดียวกัน แต่ลักษณะสีสันที่ปรากฏให้เห็นกลับแตกต่าง เนื่องจากมีการผสมผสานรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เข้าด้วยกัน ทำให้กลายเป็ไม้แปดแบบในต้นเดียว แม้จะมาจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน แต่กลับรวมออกมาเป็ต้นกล้วยไม้ต้นเดียวกันได้ จึงยิ่งเพิ่มความแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์
"คุณหนู พวกเราจะนำต้นกล้วยไม้ต้นนี้ไปสักการะฮูหยินหรือเ้าคะ" โม่เหอประคองต้นกล้วยไม้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง แล้วถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ นี่เป็ต้นกล้วยไม้ที่นายน้อยเซวียนจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อหามาให้คุณหนู ได้ยินมาว่าคุณชายน้อยยังส่งภาพวาดล้ำค่าอันวิจิตรประณีตมาให้อีกสองสามภาพในคราวเดียวกัน หากมาบูชาเซ่นไหว้ฮูหยินไม่นำไปด้วยก็น่าเสียดายยิ่งนัก
เมื่อโม่เสวี่ยถงได้ฟังคำกลับหยักยิ้มเล็กน้อย พรุ่งนี้ก็จะออกเดินทางแล้ว วันนี้นางจึงตั้งใจนำต้นกล้วยไม้ชั้นดีที่พี่ชายเซวียนลูกพี่ลูกน้องของนางหาให้มาเพื่อกราบไหว้มารดาเพื่อเพิ่มโอกาสชนะในการกระทำของนางครานี้อีกสองสามส่วน ได้ยินมาว่าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นนิยมชมชอบบุปผา เมื่อเห็นต้นกล้วยไม้ชั้นเลิศแบบนี้ย่อมหยุดแวะชื่นชมอย่างแน่นอน
สิ่งที่นาง้ามีไม่มาก เพียงแค่ดึงดูดให้ผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นให้เกิดความรู้สึกที่ดี ในเวลาเดียวกันก็เพื่อแก้ปัญหาความคับข้องใจระหว่างคนผู้นี้กับจวนฝู่กั๋วกงในภายภาคหน้า
เมื่อนางได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางจำเป็ต้องทำความเข้าใจเื่บุญคุณความแค้นระหว่างผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นกับตระกูลฝ่ายมารดาให้กระจ่าง และต้นกล้วยไม้ต้นนี้ก็เป็นิมิตหมายแห่งการเริ่มต้นที่ดี
"โม่เหอ เดี๋ยวเ้าวางต้นกล้วยไม้ลง แล้วเข้าไปในวิหารสอบถามให้รู้เื่ว่าจะต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลเนื่องในวันครบรอบวันตายอย่างไร และต้องใช้อะไรบ้าง ข้าอยากไหว้วานให้พี่ชายเซวียนช่วยข้าจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล" โม่เสวี่ยถงไม่ตอบคำถามของโม่เหอ นางเพียงแค่ออกคำสั่งเสียงเรียบ ตนเองจะไปจากที่นี่แล้วก็อยากทำบุญให้กับมารดาสักครั้ง เพื่อเป็การบอกดวงิญญาของมารดาว่า ไม่ว่าอย่างไร ความแค้นของทั้งชาติก่อนและชาตินี้ นางจะต้องชำระสะสางให้จงได้ จะไม่ให้มารดาที่อยู่ในปรภพต้องร้องไห้เปล่าโดยมิได้ทำสิ่งใด
คำกล่าวนี้ดึงดูดความสนใจของโม่เหอโดยพลัน แม้ว่าโม่เสวี่ยถงที่เห็นในยามนี้จะมีสีหน้าราบเรียบ แต่ขอบตากลับแดงเรื่อ นางรู้ว่าเ้านายตนเศร้าโศกเพราะความคิดถึงฮูหยิน จึงไม่กล้ากล่าวสิ่งใด เพียงแค่พยักหน้าหนักแน่นรับคำ
ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ รถม้าก็มาถึงวัดชิงเหลียงซื่อ เนื่องจากเป็คุณหนูจากตระกูลสูง จึงมีหลวงจีนน้อยออกมาต้อนรับ
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว โม่เหอก็ตามไต้ซือเข้าไปในวิหาร เพื่อไปฟังวิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตาย โม่เสวี่ยถงพาหญิงรับใช้าุโไปด้วยคนหนึ่ง เดินไปยังวิหารฉางเซิงซึ่งเป็สถานที่สักการะมารดาอย่างเงียบๆ
วิหารฉางเซิงในวัดชิงเหลียงมีสามชั้น ชั้นนอกสุดเป็หอบูชาของชาวบ้านทั่วไป หลังจากเสียชีวิตแล้ว คนในครอบครัวก็จะจุดตะเกียงฉางิให้[2] ถัดเข้าไปเป็ชั้นกลาง ในตระกูลสูงของเมืองอวิ๋นเฉิงหากมีคนตายก็จะมาเซ่นไหว้ที่นี่ มารดาของโม่เสวี่ยถงก็เช่นเดียวกัน มีแต่ห้องชั้นในที่เป็ความลับสุดยอด ปรกติล้วนปิดไว้ตลอดเวลา ชาวเมืองอวิ๋นเฉิงไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าในนั้นเป็ที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษของผู้ใด
โม่เสวี่ยถงกลับมาเกิดใหม่ กลับมีโอกาสทราบเื่โดยบังเอิญว่า ในนั้นเป็ที่เซ่นไหว้มารดาขององค์หญิงิจู กล่าวกันว่าสตรีผู้นั้นเป็เพียงนางกำนัลธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีฐานะตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังไม่เป็ที่โปรดปราน หลังจากคลอดองค์หญิงิจูได้ไม่นานก็เสียชีวิต ในวังมีบุคคลแบบนี้มากมายนัก จึงไม่มีใครนึกถึง
หากไม่ใช่เพราะต่อมาองค์หญิงพระองค์นี้ได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮาในเวลานั้น หรือก็คือไทเฮาในตอนนี้ แม้แต่ตะเกียงฉางิก็คงไม่มีผู้ใดมาจุดให้ ต่อมาไม่รู้ว่าเป็ผู้สูงศักดิ์ท่านใดคิดประจบเอาใจองค์หญิง พอได้ยินมาว่ามารดาผู้นั้นของนางเป็ชาวเมืองอวิ๋นเฉิง จึงมาตั้งหอบูชาไว้ภายในวัดของเมืองอวิ๋นเฉิงแห่งนี้
และผู้สูงศักดิ์ที่โม่เสวี่ยถงคิดถึงผู้นั้น ก็คือองค์หญิงิจูนี่เอง
ในเวลานี้เมื่อชาติภพก่อน มีคดีที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันที่เมืองอวิ๋นเฉิง เวลานั้นองค์หญิงก็อยู่ที่นี่ จวนฝู่กั๋วกงกับองค์หญิงจึงมีกรณีพิพาทกันด้วยเหตุนี้ ต่อมาถึงแม้ว่าความพ่ายแพ้ของจวนฝู่กั๋วกงจะเกิดจากซือหม่าหลิงอวิ๋น แต่เื้ักลับกลับมีเงาขององค์หญิงอยู่ ที่นางมาวันนี้ทางหนึ่งก็เพื่อมาแสดงความเป็มิตร อีกทางหนึ่งก็เพื่อมาแก้เงื่อนตายระหว่างจวนฝู่กั๋วกงกับองค์หญิง
องค์หญิงิจูเสด็จมาวิหารพุทธะเมืองอวิ๋นเฉิง เพื่อมาเซ่นไหว้พระมารดา โม่เสวี่ยถงมั่นใจเต็มร้อยว่าองค์หญิงจะต้องอยู่ในวิหารแห่งนี้เป็คนสุดท้าย
ขณะที่เข้าประตูมา โม่เสวี่ยถงกวาดตามองไปยังทางเดินระหว่างประตูที่สองกับประตูที่สาม ก็พบว่ามีองครักษ์สองคนยืนปักหลักอยู่ สายตามองตรงไม่เหลือบมาด้านข้างแม้แต่น้อย แววตาดุดันฉายแววกระหายเื นั่นเป็ลักษณะของผู้มีความล้ำเลิศในเชิงยุทธ์ที่ได้รับการฝึกมาเป็อย่างดี
เมื่อเห็นชัดแจ้งแล้ว โม่เสวี่ยถงก็มีความคิดบางอย่างในใจ นางยกชายกระโปรงขึ้น หลุบตาลงมองหาตะเกียงฉางิของมารดา แล้วคุกเข่าลงนั่งภาวนาอยู่เงียบๆ
เมื่อหญิงรับใช้าุโเห็นนางคุกเข่าสวดภาวนาอย่างสงบก็ถอยออกไปเฝ้าด้านข้าง ภายในหอบูชาเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงหลวงจีนน้อยเคาะปลาไม้ พร้อมกับเสียงสวดมนต์ต่ำๆ ดังมาจากอีกมุมหนึ่ง เป็เสน่ห์ที่อยู่ภายใต้ความสงบวิเวก
กระถางกล้วยไม้ต้นนั้นวางอยู่หน้าตะเกียงฉางิ
โม่เสวี่ยถงจมลึกอยู่ในภวังค์เสียงสวดมนต์ ก้มหน้าหลุบตาลง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน ผู้ที่เดินนำอยู่หน้าสุดเป็คนหนุ่มอายุราวยี่สิบปี มวยผมครอบเกี้ยวมาลาทองคำ สวมอาภรณ์แพรสีเขียวเข้มแกมน้ำเงินปักดิ้นทอง หน้าตาหล่อเหลาคมคายยิ่งนัก ทั่วกายเผยความอ่อนโยนและสง่างามอย่างเด่นชัด รอยยิ้มราวกับสายลมแห่งฤดูวสันต์ ดูเป็สุภาพบุรุษผู้เรียบร้อยละมุนละไมราวกับหยกชั้นดี ยามที่เดินผ่านข้างกายโม่เสวี่ยถงก็อุทานเสียงเบาอย่างอดมิได้ สายตาเลื่อนมายังกระถางกล้วยไม้ซึ่งตั้งอยู่หน้าตะเกียงฉางิ
"นายท่าน..." เมื่อเห็นเขาหยุดเดิน องครักษ์ซึ่งค้อมกายอยู่ด้านหลังก็ก้าวเข้ามา
ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก แต่ก็มิได้มองโม่เสวี่ยถงที่ก้มหน้าคุกเข่าอยู่เช่นกัน เขาพาคนเดินตรงเข้าไปยังห้องชั้นในของวิหารพุทธะ แล้วภายในวิหารก็กลับสู่ความสงบเงียบอีกครั้ง
โม่เสวี่ยถงคุกเข่าเงียบๆ ไม่รู้อีกนานเท่าใด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้สูงอายุกล่าวขึ้น "คุณหนูท่านนี้ เป็เ้าของกล้วยไม้ต้นนี้หรือ"
โม่เสวี่ยถงเงยศีรษะขึ้น กลับเป็หญิงรับใช้าุโอายุราวสี่สิบปีผู้หนึ่ง เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทางอึ้งงัน หญิงผู้นั้นก็ยิ้มแล้วถามซ้ำอีก "ขอรบกวนถามหน่อยเถิด มิทราบว่าคุณหนูเป็เ้าของกล้วยไม้กระถางนี้ใช่หรือไม่"
"ดอกไม้กระถางนี้เป็ของข้าเอง ไม่ทราบว่ามามามีธุระอันใดหรือ" โม่เสวี่ยถงกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย
"ขอเรียนถามคุณหนูตามตรงว่าพอจะมอบกล้วยไม้กระถางนี้ให้กับเ้านายของข้าได้หรือไม่" หญิงรับใช้าุโเอ่ยถาม นางมีสีหน้าลำบากใจ แต่เ้านายตนชมชอบกล้วยไม้ แต่ก็ไม่อยากได้ชื่อว่ารังแกผู้อ่อนแอ จึงส่งนางเข้ามาหยั่งเชิง
"ไม่ทราบว่าเ้านายผู้สูงศักดิ์ของท่านคือ..." โม่เสวี่ยถงยิ้มเล็กน้อยและถามอย่างไม่รีบร้อน
"คุณหนูโปรดให้อภัย เ้านายของเราไม่สะดวกเผยฐานะ แต่ประสงค์จะใช้ไข่มุกกล่องนี้มาแลกกับกล้วยไม้ของคุณหนู ไม่ทราบว่าจะได้หรือไม่" หญิงรับใช้าุโยิ้มกล่าวอย่างมีมารยาท แล้วล้วงเข้าไปในสาบเสื้อหยิบกล่องอันประณีตงดงามออกมาใบหนึ่ง จากนั้นก็ย่อตัวคุกเข่าลงแล้วเปิดกล่องออก เผยให้เห็นไข่มุกตงจูงามวิจิตรเม็ดใหญ่หกเม็ดอยู่ในนั้น
ไข่มุกตงจูหาใช้สมบัติของต้าฉิน ทว่ามีเฉพาะในแคว้นเยี่ยน แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็ของหายาก ยิ่งไปกว่านั้นไข่มุกตงจูเม็ดใหญ่ขนาดนี้ แต่ละเม็ดล้วนกลมเกลี้ยง เพียงแค่เม็ดเดียวก็ว่ายากที่จะได้มาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหกเม็ดเช่นนี้ หญิงรับใช้ของโม่เสวี่ยถงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด จึงเดินเข้ามาลอบขยิบตาให้โม่เสวี่ยถง แม้ว่ากล้วยไม้ต้นนี้จะล้ำค่ายิ่ง แต่ไข่มุกตงจูก็มีสูงค่าและหามิได้ในท้องตลาด หากเทียบกันแล้วย่อมมีราคาสูงกว่ากล้วยไม้มากมายนัก
หากนำมาแลกกับกล้วยไม้กระถางเดียว ก็ถือว่าเสียเปรียบเห็นๆ
มือขาวเนียนของโม่เสวี่ยถงยื่นออกมาปิดกล่องใบนั้นลง ท่ามกลางแววตาตกตะลึงของหญิงรับใช้าุโทั้งสอง นิ้วมือเรียวลูบไล้บนอักษร ‘จู’ ตัวเล็กๆ ทว่าทรงพลังราวกับหงส์ฟ้อนัเหินที่สลักอยู่บนฝากล่อง นางย่อมทราบว่าองค์หญิงทรงมีพระนามว่าิจู จึงชมชอบสลักอักษร ‘จู’ ไว้บนกล่องแพรที่ใส่เครื่องใช้ต่างๆ ของตน
นางช้อนตาขึ้นมองหญิงรับใช้าุโผู้นั้นด้วยรอยยิ้ม "มามาโปรดนำไข่มุกตงจูกล่องนี้กลับไปเถิด"
นี่คือการปฏิเสธหรือ สีหน้าของสตรีาุโผู้นั้นกลายเป็เคร่งขรึม ก่อนคุณหนูผู้นี้จะเอ่ยวาจาออกมา ก็เห็นนางลูบไล้บนตัวอักษร แสดงท่าทางชัดเจนว่ารู้จักเ้านายของตน ในเมื่อเป็เช่นนั้น ไฉนจึงยังกล้าปฏิเสธง่ายๆ อีกเล่า
ขณะที่คิดจะพูดบางอย่าง โม่เสวี่ยถงก็พูดต่อไป
"กระบี่ล้ำค่าควรมอบแก่ผู้เยี่ยมยุทธ์ แป้งชาดผัดหน้าควรกำนัลแก่หญิงงาม หากเ้านายผู้สูงศักดิ์ของท่านชมชอบกล้วยไม้กระถางนี้ด้วยใจจริง ข้ายกให้เปล่าๆ ก็ไม่เห็นจะเป็อันใด ไม่ต้องนำไข่มุกตงจูมาแลกก็ได้ อย่างไรเสียข้าก็จะไปจากที่นี่อยู่แล้ว คงไม่มีเวลามาใส่ใจดูแลดอกไม้กระถางนี้อีก" ดวงหน้าเล็กงดงามเฉิดฉันเผยแววระทมบางเบา ก่อนลุกขึ้นอุ้มกระถางกล้วยไม้อย่างทะนุถนอม พิศมองด้วยแววตาอ่อนโยน แล้วส่งมอบกระถางกล้วยไม้รวมถึงชุดแพรต่วนที่คลุมอยู่ด้านนอกให้แก่หญิงรับใช้าุโผู้นั้นทั้งหมดด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์
แล้วกล่าวเป็เชิงชี้นำ "รบกวนมามามอบของสิ่งนี้ให้แก่เ้านาย หวังว่าท่านผู้สูงศักดิ์จะตรวจสอบให้กระจ่างชัด"
ของชิ้นหนึ่งที่อยู่ในห่อผ้าแพรที่หุ้มอยู่ด้านนอก คือสิ่งที่นาง้าให้องค์หญิงตรวจสอบให้กระจ่างแจ้ง เพื่อตัดขาดเคราะห์กรรมที่จะเกิดขึ้นกับจวนฝู่กั๋วกงในวันข้างหน้า
แต่โม่เสวี่ยถงหารู้ไม่ว่าเหตุต้นผลกรรมระหว่างนางกับองค์หญิง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางตัดขาดได้...
คลื่นลมที่กำลังก่อตัวในกาลข้างหน้า กลับยิ่งผูกมัดนางกับองค์หญิงไว้ด้วยกันอย่างแ่า
บัดนี้โม่เสวี่ยถงได้สมดั่งใจหมายแล้ว จึงหันมากราบคารวะหน้าตะเกียงฉางิของมารดา แล้วหมุนตัวจากไปพร้อมกับหญิงรับใช้โดยไม่แยแสสิ่งใด หญิงรับใช้าุโผู้มีประสบการณ์ผ่านโลกมามากยังตะลึงงัน มองต้นกล้วยไม้ในมือพลางทอดสายตาไปยังเงาร่างที่ค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป ไม่มีการร่ำไรแม้แต่น้อย น่าประหลาดใจนัก สตรีที่ดูบอบบางกลับมีความเด็ดเดี่ยวและใจกว้างเยี่ยงนี้
"เอาไปมอบให้อาหญิง" น้ำเสียงนุ่มนวลแฝงไปด้วยพลังอำนาจดังทอดมาจากด้านหลัง
"เ้าค่ะ" หญิงรับใช้าุโไม่กล้ากล่าวสิ่งใดให้มากความ ขณะที่เดินผ่านชายหนุ่มยังยอบกายคำนับด้วยความเคารพ รองเท้าหุ้มแข้งสีดำปักดิ้นทองหยุดนิ่งอยู่หน้าตะเกียงฉางิที่หญิงสาวเพิ่งคุกเข่าอยู่เมื่อครู่ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเป็เวลานาน
..............................................................................................................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ฮูหยินผู้เฒ่าฉินเป็พี่น้องกับฝู่เหล่าไท่จวินผู้เป็ยายแท้ๆ ของโม่เสวี่ยถง ดังนั้นโม่เสวี่ยถงจึงเรียกนางว่าท่านยาย
[2] ตะเกียงฉางิ คือตะเกียงที่สามารถจุดได้ยาวนานตลอดคืนจนถึงเช้า โดยมากใช้จุดในเทศกาลสำคัญเช่นคืนวันปีใหม่หรือตั้งไหว้บรรพชนผู้ล่วงลับ