วันต่อมาโม่เสวี่ยถงออกเดินทางแต่เช้า รถม้ามารออยู่ด้านนอก เหล่าไท่จวินแห่งจวนฝู่กั๋วกงเกรงว่าโม่เสวี่ยถงจะนั่งไม่สบายจึงส่งรถม้าหรูหราคันใหญ่มารับ ภายในมีตั่งปูด้วยฟูกหนาตั้งอยู่ ด้านข้างวางโต๊ะเตี้ยกับเบาะรองนั่งอีกสองสามชิ้น ในตู้หนังสือที่ตั้งชิดริมหน้าต่างมีหนังสืออ่านฆ่าเวลาวางอยู่หลายเล่ม
เมืองอวิ๋นเฉิงถือว่าอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แต่ก็อาจนับว่าใกล้ได้ คณะเดินทางของโม่เสวี่ยถงใช้เวลานานครึ่งเดือนจึงมาถึงเมืองหลวง เนื่องจากหลี่มามาถูกโม่เสวี่ยถงกำราบจนอยู่หมัดั้แ่อยู่เมืองอวิ๋นเฉิง จึงรู้จักสงบเสงี่ยมยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ไม่กำแหงก่อเื่หรือคิดต่อต้านอีก ทั้งยังแสดงสีหน้าต่อโม่เสวี่ยถงด้วยความเคารพนบนอบยิ่ง ราวกับเลื่อมใสศรัทธาด้วยใจจริง ดังนั้นตลอดการเดินทางจึงราบรื่นไร้อุปสรรค
จนกระทั่งวันนั้น ขณะที่มองเห็นเมืองหลวงอยู่ไกลๆ หลี่มามาก็บอกให้หยุดรถ แล้วเดินลงมาหาโม่เสวี่ยถงที่หน้ารถอย่างหน้าชื่นตาบาน ก่อนกล่าวพลางหัวเราะคิกคัก "คุณหนูเ้าคะ สุขภาพยังดีอยู่หรือไม่ ้าพักผ่อนสักครู่หรือเปล่า ตอนนี้ฟ้ายังสว่างอยู่ พวกเราพักแต่งหน้าแต่งตาให้งดงามก่อนเถิด อย่ากลับจวนไปในสภาพมอมแมมเช่นนี้เลย มิเช่นกันอาจเสียถึงภาพลักษณ์ของคุณหนูได้"
"เรียนคุณหนู เมื่อเช้านี้สาวใช้คนหนึ่งของหลี่มามารีบเดินทางล่วงหน้ากลับไปแต่ฟ้าสาง บอกว่าจะกลับไปเยี่ยมมารดาที่บ้านของตนเองก่อนกลับจวนเ้าค่ะ" โม่เสวี่ยถงยังไม่ทันเอ่ยวาจา โม่หลันก็เข้ามากระซิบเตือนข้างหู
โม่เสวี่ยถงมีแผนการบางอย่างในใจแล้ว จึงพยักหน้าทั้งที่หลับตาแล้วกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวลผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอก "รบกวนมามาช่วยแจ้งให้ทุกคนพักผ่อนสักครู่เถิด"
"คุณหนู... หลี่มามาจะต้องส่งสาวใช้ผู้นั้นไปทำอะไรบางอย่างเป็แน่ คุณหนูอย่าฟังคำพูดนางที่ให้หยุดพักเชียวนะเ้าคะ หากนางกลับไปรายงานฟางอี๋เหนียงให้เตรียมหาวิธีจัดการกับคุณหนูแล้วจะทำอย่างไร พวกเราควรรีบกลับไปโดยเร็ว ฉวยโอกาสที่พวกนางยังเตรียมตัวไม่พร้อม เล่นงานพวกนางจนรับมือไม่ทันดีกว่า"
โม่เหอยกม่านขึ้นโผล่ศีรษะออกไป เห็นบ่าวรับใช้จากรถม้าสองคันที่อยู่ด้านหลังต่างลงมากันหมดแล้ว ก็นึกกังวลใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ปล่อยม่านลงอย่างเร่งร้อน
"จะร้อนใจไปไยเล่า หากฝ่ายนั้นคิดจะเตรียมก็คงเตรียมเสร็จไปนานแล้วล่ะ" โม่เสวี่ยถงค่อยๆ ลืมตา หยัดกายขึ้นมานั่ง ริมฝีปากทอยิ้ม เพื่อถนอมร่างกายของนาง การเดินทางครานี้จึงค่อยๆ ไปไม่เร็วมาก เมื่อได้พักผ่อนฟื้นบำรุงถึงครึ่งเดือน สีหน้าของนางจึงมิได้ซูบซีดดังแต่ก่อน ยามที่คลี่ยิ้มน้อยๆ ผิวพรรณงามหมดจดราวกับหิมะ ดวงตาระยิบระยับประหนึ่งหยดน้ำพราวพร่าง ชวนให้คนรู้สึกเมตตาสงสาร
นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าฟางอี๋เหนียงกับโม่เสวี่ยิ่คิดจะจัดการข่มนางไม่ให้มองหน้าผู้คนได้ เมื่อชาติภพก่อนชื่อเสียงของนางถูกทำลายย่อยยับที่หน้าประตูเมือง ต้องกลายเป็สตรีร้ายกาจที่ผู้คนรังเกียจเดียดฉันท์
ด้วยเหตุนี้หลังจากโม่เสวี่ยถงกลับมาถึง ก็ไม่มีคุณหนูตระกูลสูงในเมืองหลวงยอมคบหาสมาคมด้วยแม้แต่คนเดียว เื่งานแต่งงานก็ผัดแล้วผัดอีก
ในตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะตกหลุมพรางของฟางอี๋เหนียงสองแม่ลูก นางก็ไม่ต้องถูกคุณหนูเ่าั้กีดกันให้อยู่นอกวงสังคม และฟางอี๋เหนียงก็คงไม่กล้ากำเริบเสิบสานข่มเหงนางจนไม่เห็นหัวถึงเพียงนั้น เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ มือทั้งสองข้างภายใต้แขนเสื้อของโม่เสวี่ยถงก็กำแน่นโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเริ่มขาวซีด ดวงตาฉายแววดุดัน
"คุณหนู..." คลื่นอารมณ์ของนางซัดมากระทบจนโม่หลันรู้สึกได้ จึงยื่นมือเข้ามาประคองด้วยความเป็ห่วง
โม่เสวี่ยถงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สีหน้าจึงค่อยๆ กลับมาเป็ปรกติ คลายมือที่กำแน่นออก แล้วรับชาร้อนจากโม่เหอมาดื่มคำหนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเรียบ "โม่หลัน เ้าลงจากรถไปล้างหน้าหน้าล้างตา แล้วถือโอกาสแวะไปดูว่าท้ายขบวนรถของเรามีรถม้าเพิ่มมาหนึ่งคันหรือไม่"
ขบวนรถของพวกนางมีเพียงสามคัน ในชาติภพก่อนท้ายขบวนกลับมีรถม้าแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคัน รถคันนั้นมีลักษณะเหมือนกับรถม้าของจวนโม่ทุกประการ และเหตุการณ์ความวุ่นวายที่หน้าประตูเมืองก็มาจากคนบังคับรถม้าผู้นั้นจงใจชักนำให้เกิดขึ้น ส่วนผู้ใดเป็คนจัดเตรียมละครฉากนี้ แค่คิดก็รู้ได้
นางเหลือบตาขึ้นมองโม่เหอที่ยกม่านขึ้น ั์ตาเผยแววคมกล้าเย็นะเื การจะเอาชัยชนะย่อมต้องรู้พลิกแพลง ครานี้นางจะให้โม่เสวี่ยิ่เป็ฝ่ายลิ้มรสความอัปยศดูบ้าง
โม่หลันลงจากรถไปครู่หนึ่งก็กลับมา หลังจากกลับขึ้นมาและปล่อยม่านลงเรียบร้อยแล้ว ก็กดเสียงต่ำกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "คุณหนู ท้ายรถคันที่สามมีรถเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคันจริงๆ ด้วยเ้าค่ะ พอรถของเราหยุด รถคันนั้นก็หยุดตาม ในรถไม่มีผู้ใดลงมา มีเพียงคนบังคับม้าวัยกลางคนผู้หนึ่ง รูปแบบของตัวรถเหมือนกับของพวกเราเลยเ้าค่ะ ข้าให้ท่านป้าของเราคนหนึ่งไปลองหยั่งเชิงดู คนบังคับรถผู้นั้นยังไล่คนของเรากลับมาอย่างดุร้ายด้วยเ้าค่ะ"
"จะเป็ไปได้อย่างไร จวนเราส่งรถมารับคุณหนูแค่สองคันเองนี่นา" แม้แต่โม่เหอซึ่งเป็คนไม่ละเอียดถี่ถ้วนก็ยังรู้สึกถึงความผิดปรกติ สีหน้าเผยความไม่สบายใจออกมา คิดจะยกม่านขึ้นยื่นศีรษะออกไปดูด้านนอก แต่โม่เสวี่ยถงยื่นมือมารั้งไว้
"คุณหนูเ้าคะ พักกันมาครู่หนึ่งแล้ว ควรจะออกเดินทางได้แล้วเ้าค่ะ หากเดินทางเข้าเมืองตอนนี้ กลับไปถึงจวนก็เป็เวลาอาหารกลางวันพอดี ทุกคนต่างเหน็ดเหนื่อยกันมามาก กลางวันได้กินอิ่มท้อง ่บ่ายก็ยังสามารถพักผ่อนได้ เวลานั้นนายท่านคงกลับมาถึงจวนพอดี หากพบว่าคุณหนูกลับมาถึงแล้ว จะต้องดีใจมากเป็แน่" โม่เสวี่ยถงยังไม่ทันเอ่ยคำใด น้ำเสียงเริงร่าของหลี่มามาก็ลอยมาจากด้านนอก
โม่เสวี่ยถงขยิบตาให้โม่หลัน ขยับริมฝีปากอย่างไร้สุ้มเสียง "ถ่วงเวลาไว้"
"หลี่มามาคิดมากไปแล้ว แต่รออีกหน่อยจะดีกว่า ตอนนี้คุณหนูเวียนศีรษะเมารถ เกรงว่าต้องพักผ่อนอีกสักครู่แล้วค่อยไปต่อ" โม่หลันยกม่านขึ้น โผล่หน้าออกไปพูดคุยกับหลี่มามาด้วยรอยยิ้ม
"แต่นี่ก็สายมากแล้วนะ" หลี่มามามองท้องฟ้าด้วยสีหน้าลำบากใจ หว่างคิ้วเผยความร้อนใจออกมา จดหมายส่งไปแต่เช้า เมื่อเห็นด้านหลังมีรถม้าโผล่มาเพิ่มอีกหนึ่งคัน ก็รู้ว่าอี๋เหนียงเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว รอแค่คุณหนูสามไปติดกับดักที่วางไว้ หากตอนนี้มัวล่าช้า เกรงว่าจะทำให้เสียแผนได้
"มามาหมายความว่าไม่ต้องสนใจคุณหนู ให้รีบออกรถเข้าเมืองให้ได้เดี๋ยวนี้กระนั้นหรือ" สีหน้าของโม่หลันเปลี่ยนเป็เย็นเยียบขึ้นมาโดยพลัน
เ้านายไม่สบาย้าพักผ่อน ผู้เป็บ่าวกลับไม่อนุญาต คำพูดแบบนี้ไปพูดที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อ หลี่มามาถูกสายตาคมกริบจ้องจนพูดไม่ออก คำพูดแบบนั้นนางจะกล้าพูดออกไปได้อย่างไร ดูจากเวลาแล้วยังเช้าอยู่ช้าไปอีกสักหน่อย คงไม่มีปัญหาอันใด จึงเอ่ยปากรับคำ หากเ้านายที่เจ็บออดๆ แอดๆ อยู่บนรถผู้นั้นเกิดเป็อะไรระหว่างทาง นางก็รับผิดชอบไม่ไหวเช่นกัน
รอจนหลี่มามาถอยออกไปแล้ว โม่เสวี่ยถงจึงกล่าวกำชับเสียงเบา "โม่หลัน เ้ากับเฉินมามาไปรอดูข้างทางว่ามีรถม้าของผู้อื่นผ่านมาบ้างหรือไม่ หากมี พวกเราค่อยตามหลังรถของผู้อื่นเข้าเมืองไปพร้อมกัน"
การคาดการณ์ของโม่เสวี่ยถงไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย อีกครู่หนึ่งโม่หลันก็ขึ้นรถมารายงานโม่เสวี่ยถงด้วยสีหน้ายินดีจนปิดไว้ไม่มิด "คุณหนู มีรถม้าผ่านมาจริงๆ ด้วยเ้าค่ะ เป็ขบวนยาวมาก ดูแล้วน่าจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์ เราจะตามหลังพวกเขาเข้าเมืองไปหรือไม่เ้าคะ"
"เฉินมามาพูดว่าอย่างไรบ้าง" โม่เสวี่ยถงมองไปที่นางปราดหนึ่ง
"เฉินมามาบอกว่าดูไม่ออกจริงๆ ว่าเป็รถม้าของตระกูลใด หน้ารถไม่มีสัญลักษณ์อะไรเลย แต่จะต้องมาจากตระกูลสูงในเมืองเมืองหลวงแน่นอน ทั้งยังกำชับอีกว่าให้คุณหนูระวังตัวด้วย เพราะ้าของรถที่ตามหลังมามีสัญลักษณ์จวนโม่ของเราอยู่ ทำราวกับว่าเป็รถที่ถูกส่งมารับคุณหนู แต่หลี่มามากลับไม่เคยเอ่ยถึงเลยเ้าค่ะ" โม่หลันรายงานละเอียดยิบ
โม่เสวี่ยถงแง้มม่านมุมหนึ่งมองออกไป เห็นรถม้างดงามหรูหราคันหนึ่งควบตะบึงผ่านรถของตนเองไปพอดี อาชางามสง่าสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหิมะ ท่วงท่าการก้าวเท้าวิ่งของมันมองดูก็รู้ว่าเป็ม้าชั้นยอดมีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น สายลมพลิ้วพัดม่านโปร่งพะเยิบขึ้น ทว่ากลับมองไม่เห็นเงาคนด้านใน รถม้าที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้ ด้านในย่อมมีเตรียมตั่งนุ่มไว้เพียบพร้อม มองไม่เห็นด้านในก็เป็เื่ปรกติ แต่เมื่อหางตากวาดไปเห็นตราประทับเรียบๆ ที่ปรากฏบนม่านรถ ม่านตาพลันหรี่วูบ มือที่จับถ้วยชาอยู่สั่นระริก
ที่แท้ก็เป็เชื้อพระวงศ์ สัญลักษณ์รูปัมีเพียงคนในราชวงศ์เท่านั้นที่จะใช้ได้ แต่เวลานี้กลับเป็สิ่งจำเป็ที่สุดสำหรับนาง
"คุณหนู ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเ้าคะ" โม่หลันซึ่งอยู่ด้านข้างถามขึ้น
ดวงตาของหญิงสาวหลุบต่ำ แพขนตายาวงามงอนกะพริบสองครั้ง ก่อนช้อนตาขึ้น แววตานิ่งลึกเยือกเย็นทำให้คนรู้สึกสงบ "โม่หลัน เ้านำสิ่งนี้ไปขอพบเ้าของรถม้า บอกไปว่ามีคน้าปองร้ายข้า ขอให้ท่านเ้าของรถช่วยเป็พยานให้ด้วย" จากนั้นก็หยิบป้ายสลักชื่อฝู่กั๋วกงออกมาจากอกเสื้อ นี่คือของที่เหล่าไท่จวินมอบหมายให้เฉินมามานำมาให้นาง หากไม่คาดหวังชัยชนะก็เท่ากับพ่ายแพ้ไปก่อนแล้ว นางจะไม่ยืนอยู่ในฐานะผู้แพ้อย่างเด็ดขาด
"เ้าค่ะ" โม่หลันรู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้คับขันยิ่งนัก จึงหยิบป้ายชื่อลงจากรถไปอย่างเร่งด่วน
โม่เสวี่ยถงกำชับโม่เหออีกครั้ง "เ้าดึงตัวสวี่มามาออกไปพูดคุยที่อื่นสักครู่ หลังจากนั้นค่อยบอกกับนางว่าให้ออกเดินทางได้"
โม่เหอรับคำสั่งแล้วลงจากรถไป เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนขบวน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย เฉินมามาจึงสลับตัวกับโม่เหอ มาขึ้นรถม้าของโม่เสวี่ยถงแทน และออกหน้าจัดการบอกคนรถว่ารอให้มีรถม้าคันใหญ่เจ็ดแปดคันผ่านไปก่อนแล้วค่อยออกรถติดตาม อย่าช้าและอย่าเร็วเกินไป
ประตูเมืองหลวงมองเห็นอยู่ไกลๆ สะพานเหนือคูเมืองอันเงียบสงบแขวนอยู่อีกฟากฝั่ง ขณะนี้เป็่สาย คนเข้าออกเมืองมีค่อนข้างมาก มองเห็นอยู่เป็ระยะ ม้าสองสามตัวควบตะบึงราวกับเหาะผ่านไปพร้อมกับบ่าวที่ตามหลังมาอีกจำนวนหนึ่ง นั่นคือขบวนของบุตรหลานตระกูลใหญ่ที่ออกมาเที่ยวเล่นนอกเมือง
สิ่งที่ไม่เคยขาดในเมืองหลวงแห่งนี้ก็คือ เหล่าคุณชายตระกูลใหญ่ที่ขี่ม้าออกมาท่องเที่ยว
รถม้าของโม่เสวี่ยถงตามหลังขบวนรถที่อยู่ด้านหน้าไปช้าๆ หลี่มามานั่งบนรถที่อยู่ด้านหลัง คอยมองแต่ว่ารถที่อยู่คันท้ายสุดจะตามมาทันหรือไม่ แต่มิได้สังเกตเลยว่าขบวนรถม้าของตนเข้าไปรวมอยู่กับขบวนรถของผู้อื่นแล้ว เนื่องจากมีคนเข้าเมืองค่อนข้างมาก รถจึงเสียรูปขบวนไปแล้ว มิได้เป็เรียงตามกันคันต่อคันเหมือนเดิมอีก รถม้าของโม่เสวี่ยถงค่อยๆ ตามไป ตำแหน่งรถของนางอยู่ระหว่างกลางขบวนรถของคนผู้นั้น
เฉินมามาไปอยู่บนรถคันแรก หลี่มามาแสร้งบอกว่ามีเื่จะคุยกับสาวใช้ที่อยู่บนรถคันหลังสุด จึงขึ้นไปนั่งรถคันที่สาม เมื่อเห็นว่ารถผ่านเข้ามาในประตูเมืองแล้วก็ผลักหน้าต่างท้ายรถให้เปิดออก แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าสีฉูดฉาดยื่นมือแกว่งไปแกว่งมานอกหน้าต่าง คนบังคับรถที่ตามมาด้านหลังั้แ่ต้นเห็นสัญญาณแล้วก็เข้าใจความหมายแจ่มแจ้ง
เขากระตุกสายบังเหียนอย่างแรง เมื่อม้ารู้สึกเจ็บก็ยกสองเท้าหน้าขึ้นสูงควบกลางอากาศและร้องลั่น แล้วพุ่งเข้าหาฝูงชนทันที พวกเขาเพิ่งผ่านเข้าประตูเมืองมา ผู้คนเห็นขบวนรถที่โดดเด่นไม่ธรรมดา ต่างพากันหลีกทางให้นานแล้ว อีกทั้งนี่เป็ถนนสายหลักของเมืองหลวงย่อมกว้างขวางมากพอ ขอเพียงม้าไม่พยศพุ่งเข้าหาผู้คน ก็ไม่มีทางชนถูกใครได้
แต่รถม้าคันนั้นกลับพุ่งเข้าหาชาวบ้าน ผู้คนต่างวิ่งหนีแตกกระเจิงไปรอบด้าน กรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนราวกับเกิดเื่ใหญ่ จากนั้นก็มีเสียงร้องรับตามกันมาอีกเป็ทอดๆ "รถชนคน รถชนคน!" เสียงที่ดังขึ้นดูเหมือนว่าจะเป็เสียงของคนแก่
ในที่สุดก็มาถึงจนได้ ดวงตาของโม่เสวี่ยถงเย็นเยียบขึ้นมาฉับพลัน ลุกขึ้นมานั่งอย่างมั่นคงภายในรถม้า
เสียงร้องโอดโอยเ็ปดังลั่นไปทั่วบริเวณ จนกลบเสียงฮือฮาของฝูงชนโดยรอบ เสียงนั้นไม่เบาเลย ดูไม่คล้ายคนเจ็บดังถ้อยคำและน้ำเสียงที่เปล่งออกมา
เมื่อเกิดเื่ขึ้น บนถนนใหญ่ก็เนืองแน่นไปด้วยผู้คน จนแม้แต่รถม้าหรูหราที่อยู่ด้านหน้าก็ถูกล้อมรอบจนไม่อาจไปต่อได้ จำต้องหยุดลง