จวินจิ่วเฉินเข้าใจภูมิหลังของสองสายลับแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องลับ
อันที่จริงปริศนาปิงไห่นั้นเหมือนจะเป็คำต้องห้ามในดินแดนเสวียนคง แต่ความจริงแล้วราชวงศ์ใหญ่ๆ ก็กำลังลอบเสาะหาความลับนี้อยู่
ก่อนที่ปิงไห่จะเกิดการแพร่กระจายตัวของพิษร้ายไปถึงสามฉื่อจนทำให้เกิดเป็การเปลี่ยนแปลง ดินแดนเสวียนคงเป็โลกที่เคารพนับถือศิลปะการต่อสู้ ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนใช้พลังในการฝึกฝน สำหรับผู้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้นั้น “พลังลมปราณ” ไม่เพียงแค่เป็สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง แต่ยังเป็หลักประกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตอีกด้วย
การฝึกพลังสามารถเสริมสร้างและเปลี่ยนแปลงสมรรถภาพทางกายได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยให้ผู้ฝึกพลังลมปราณต้านทานความเ็ปของโรคภัยต่างๆ ได้ และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คืออายุขัยของผู้ที่ฝึกฝนพลังลมปราณจะยาวนานกว่าคนทั่วไป แม้กระทั่งมีข่าวลือออกมาว่าเมื่อพลังลมปราณไปถึงระดับสูงสุดจะสามารถปกป้องร่างกายและรูปร่างหน้าตาให้คงอยู่อย่างไม่มีวันชราตลอดกาล
แม้ว่าหลายพันปีมานี้จะไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ ทว่าผู้ที่ฝึกฝนพลังลมปราณกลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ มีตระกูลซ่อนเร้นจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่เข้าร่วมข้อพิพาททางสังคม แต่จดจ่ออยู่กับการฝึกฝนพลังลมปราณเพื่อชีวิตอันเป็นิรันดร์
เมื่อสิบปีก่อนหลังจากวันนั้นที่พิษได้แพร่กระจายไปสามฉื่อจนทำให้ปิงไห่เกิดการเปลี่ยนแปลง พลังลมปราณภายในร่างกายของผู้คนที่ฝึกฝนทั่วทั้งดินแดนเสวียนคงก็ได้สลายหายไปหมดแล้ว
ก่อนที่จะถึงวันนั้นไม่เคยมีใครเชี่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการฝึกฝนพลังลมปราณกับปิงไห่มาก่อน และหลังจากวันนั้นทุกคนก็ได้รับรู้ว่าที่แท้ปิงไห่ลึกลับที่ถูกปิดกั้นบริเวณดินแดนทางใต้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับการฝึกฝนพลังลมปราณ ทว่าทั้งสองอย่างมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์อันใดกันแน่?
ในวันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับปิงไห่ เหตุใดสถานที่ทั้งหมดจึงแพร่กระจายไปด้วยพิษร้ายแรง จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ผ่านมาสิบปีแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครรับรู้เลย
หลังจากวันนั้นก็มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับปิงไห่ ทว่าข่าวลือเ่าั้ก็แปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
อันที่จริงแล้วในข่าวลือเ่าั้มีข่าวลือที่เหล่าตระกูลใหญ่ได้เจตนาปลุกปั่นขึ้นมามากมาย เพราะทุกคนล้วน้าทราบความจริง แต่ตระกูลใหญ่เ่าั้ไม่้าให้คนอื่นรับทราบความจริงเช่นกัน เป็เพราะไม่มีใครเป็คนโง่ หากเมื่อควบคุมความลับนี้ได้ก็จะเท่ากับว่าสามารถควบคุมโอกาสในการฝึกฝนพลังลมปราณและจะสามารถควบคุมวิธีการมีชีวิตอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ได้
ชีวิตชั่วนิจนิรันดร์
จวินจิ่วเฉินเดินเข้าไปที่ห้องลับพร้อมกับไตร่ตรองคำว่า “ชีวิตชั่วนิจนิรันดร์” จากนั้นมุมปากก็ค่อยๆ ยกยิ้มด้วยรอยยิ้มเหยียดหยาม
เมื่อหกปีก่อนตอนที่เขามีอายุสิบสี่ปี เขาตื่นขึ้นมาจากการสลบไสลและสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด รวมถึงมีอาการาเ็ไปทั่วทั้งร่างกาย
เขารักษาอาการาเ็ ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ และอาศัยอยู่อย่างสันโดษกับต้าหวงซูมาเป็เวลาสามปี
สามปีก่อนที่เขาอายุสิบเจ็ดปี เขาได้จากต้าหวงซูกลับมาที่เมืองจิ้นหยาง
ภารกิจที่ต้าหวงซูมอบให้เขาคือการค้นหาความลับของพิษปิงไห่ เขาสัญญากับต้าหวงซูเอาไว้ว่าจะให้ความสำคัญกับเื่นี้ดั่งชีวิตและจะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน
ก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อสิบปีก่อน ตระกูลจวินเคยเป็หัวหน้าของตระกูลที่ซ่อนเร้นในดินแดนเสวียนคง พวกเราได้รับความเคารพนับถือจากทุกตระกูลในดินแดนเสวียนคง แต่ในปัจจุบันแม้ว่าจะดินแดนเสวียนคงทางเหนือ แต่ก็เป็การยึดครองอำนาจทางสังคมด้วยการทหารเท่านั้น
ต้าหวงซูกับฟู่หวงกล่าวเอาไว้ว่าหากควบคุมปิงไห่ได้ก็จะสามารถทำให้ตระกูลจวินกลับไปสู่ตำแหน่งที่รุ่งเรืองที่สุดได้ พวกท่านล้วนชราแล้วและไม่สามารถรอถึงวันที่ความจริงจะถูกเปิดเผยออกมา ความรับผิดชอบที่สำคัญจึงตกลงบนบ่าของเขา เขาสามารถลืมเลือนอดีตของตนเองได้ แต่ไม่สามารถสูญเสียอนาคตของตระกูลจวินได้
เพราะเหตุนี้เขาจึงปฏิบัติตามมาโดยตลอด
แต่เมื่อหนึ่งเดือนที่เเล้วก่อนที่เขาจะกลับมายังเมืองจิ้นหยาง พิษไอเย็นที่แฝงอยู่ในตัวเขาก็ปะทุออกมา เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับความหนาวเหน็บที่ยากจะทนไหว ทว่าภายในหัวกลับมีเงาของคนมากมายกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฏขึ้นมา เขาอยากจะมองให้ชัดแต่กลับมองเห็นไม่ชัดสักอย่าง
จวินจิ่วเฉินไม่เคยพูดถึงเื่นี้กับต้าหวงซูและฟู่หวง เขาสามารถใช้ทั้งชีวิตเพื่อค้นหาปริศนาของปิงไห่ได้ แต่ก็ไม่้าสูญเสียความทรงจำในอดีตด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นเขาไม่ได้สงสัยต้าหวงซูกับฟู่หวงเลย จวบจนกระทั่งไม่นานมานี้เขาพบว่าฟู่หวงปิดบังเื่การตามหายาต่ออายุขัย เขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าฟู่หวงไม่ได้ไว้วางใจในตัวเขาอย่างสมบูรณ์
บางทีสิ่งที่เรียกว่าความรับผิดชอบสำคัญของตระกูล อาจเป็เพียงความเห็นแก่ตัวในการแสวงหาชีวิตอันเป็นิรันดร์ของฟู่หวงกับต้าหวงซูก็เป็ได้
เื่ที่เขาให้คำมั่นสัญญาไว้ เขาจะปฏิบัติตามอย่างถึงที่สุด แต่ความทรงจำที่สูญเสียไป เขาก็จะตามหากลับมาอย่างแน่นอน เขาหวังไว้เพียงอย่างเดียวว่าพิษไอเย็นในร่างกายของเขาจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับฟู่หวงและต้าหวงซู มิฉะนั้นแล้ว…
ความคิดของจวินจิ่วเฉินหยุดลงกะทันหัน ทุกครั้งที่นึกถึงเื่นี้เขาก็จะหยุดลงอย่างฉับพลัน
เขาผลักประตูศิลาห้องลับด้วยตนเอง
ภายในห้องลับมีสายลับสองคนที่เป็ผู้ชายหนึ่งคนผู้หญิงหนึ่งคนกำลังกระซิบกระซาบอยู่ ผู้ชายมีรูปร่างสูงโปร่ง ผู้หญิงมีรูปร่างสูงเพรียว ทั้งคู่ล้วนสวมหน้ากากเอาไว้ ทั้งสองคนเป็พี่น้องกันมีสกุลว่าเฉียนซื่อฉาย ผู้คนบนท้องถนนเรียกพวกเขาว่าสองพี่น้องสกุลเฉียน
ทันทีที่พวกเขาเห็นจวินจิ่วเฉินเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ
เมื่อเห็นว่าจวินจิ่วเฉินสวมหน้ากากเฉกเช่นหมางจ้ง สายลับจึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าจะให้ขนานนามของเ้านายว่าอย่างไรดี? ”
เป็เื่ปกติที่ผู้ซื้อและผู้ขายข่าวกรองจะไม่เปิดเผยตัวตน
แต่อย่างไรก็ตามจวินจิ่วเฉินไม่เปิดเผยแม้แต่ตัวตนปลอม เขาเพียงแค่ส่งสายตาเป็นัยให้กับหมางจ้ง
หมางจ้งนำตั๋วทองที่เตรียมไว้มาวางบนโต๊ะทันที “ท่านทั้งสองเห็นเงินแล้วก็รายงานข่าวมา พูดจาไร้สาระให้น้อย นี่คือราคาตลาด หากว่าข่าวของพวกเ้าทำให้เ้านายข้าพอใจได้ก็จะเพิ่มให้อีกเท่าหนึ่ง”
“ให้มันตรงไปตรงมา! ”
สายลับหญิงรับตั๋วทองไปเก็บทันที สายลับชายจึงพูดด้วยความจริงจัง “พวกเราไปเจอคนผู้หนึ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของปิงไห่เมื่อสิบปีก่อนกับตาของตนเอง”
จวินจิ่วเฉินประหลาดใจทีเดียว เพราะไม่คิดว่าจะมีพยานบุคคล เขาถามกลับไปน้ำเสียงเ็า “คนผู้นั้นเล่า? ”
สายลับหัวเราะออกมา “พวกเราสองพี่น้องรู้ก็พอ”
คำพูดเหล่านี้หมายความว่าพยานคนนั้นได้ถูกพวกเขาสังหารปิดปากไปแล้วแน่ๆ
ยิ่งผู้คนรับรู้น้อยเพียงใด ข่าวกรองก็จะมีค่ามากยิ่งขึ้น นี่คือสถานที่ที่โหดร้ายที่สุดของหน่วยข่าวกรอง สายลับส่วนใหญ่ล้วนเป็เพชฌฆาต
จวินจิ่วเฉินไม่พูดจา หมางจ้งจึงเพิ่มตั๋วทองอีกครั้ง
สายลับหญิงที่ไม่เอ่ยพูดรับตั๋วทองไปอีกครั้ง สายลับอีกคนจึงพูดต่อไป “คนผู้นี้เป็ชาวบ้านธรรมดา วันนั้นเมื่อสิบปีก่อนบังเอิญผ่านชายฝั่งทะเลน้ำแข็ง เขาเห็นว่าบนทะเลน้ำแข็งมีเงาเฟิ่งหวง [1] ปรากฏขึ้นกลางอากาศ และหลังจากนั้นก็มีปรากฏการณ์ประหลาดอย่างัดูดซับน้ำ ต่อจากนั้นพื้นผิวของทะเลน้ำแข็งก็เป็สีดำและมีพิษรุนแรง”
จวินจิ่วเฉินเงียบเฉย หมางจ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ต่อจากนั้นล่ะ? ”
เงาเฟิ่งหวง ปรากฏการณ์ัดูดซับน้ำ?
นี่เหมือนกับการกระจายของพิษปิงไห่ที่เป็เพียงปรากฏการณ์ประหลาดเท่านั้น อธิบายไม่ได้ก็ไม่นับว่าเป็เบาะแสสิ!
สายลับหญิงยังคงไม่พูด แต่ตบลงไปบนตั๋วทองบนมือเบาๆ ส่วนสายลับชายนั้นหัวเราะออกมา “นี่ยังไม่พออีกหรือ? พวกเราสองพี่น้องค้นหามาห้าหกปีถึงจะเจอเบาะแสชิ้นนี้ พวกเ้าพอเถอะ! ”
จวินจิ่วเฉินพินิจพิเคราะห์สายลับชายแวบหนึ่งพลันเหลือบมองสายลับหญิง ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “สืบข่าวเงาเฟิ่งหวงแทนข้าเป็อย่างไร? ”
ดินแดนเสวียนคงเคยเกิดปรากฏการณ์ัดูดซับน้ำมาหลายครั้ง โดยเฉพาะดินแดนทางเหนือกับดินแดนตะวันตก สำหรับเงาเฟิ่งหวงนั้นจวินจิ่วเฉินได้ยินเป็ครั้งแรก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงาเฟิ่งหวงอาจจะเป็เบาะแสสำคัญ
แม้แต่สายลับที่ทำงานด้านนี้โดยเฉพาะยังต้องเสาะหาหลายปีถึงจะเจอร่องรอยของเบาะแส เขาเกรงว่านักสืบภายใต้การบังคับบัญชาของเขาคงจะไม่สามารถพบสิ่งมีค่าอะไรได้
สองพี่น้องคู่นี้ถือได้ว่ามีประโยชน์
สายลับชายถามทันที “นานเพียงใด? ”
จวินจิ่วเฉินตอบกลับด้วยความเหี้ยมโหด “ครึ่งปี”
ดูเหมือนว่าสายลับชายจะสองจิตสองใจแล้วหันไปมองสายลับหญิง ทว่าสายลับหญิงยังคงตบลงไปที่ตั๋วทองบนมืออย่างไม่เห็นด้วย สายลับชายลังเลอีกครั้งแล้วเอ่ยออกมา “มัดจำสองแสนเหรียญทอง ภายในระยะเวลาครึ่งปีหากมีข่าวคราวท่านค่อยชำระอีกสองแสนเหรียญทอง หากว่าครึ่งปีไม่มีข่าวคราวจะคืนมัดจำให้ครึ่งหนึ่ง
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมาหมางจ้งก็ไม่พอใจมาก มันมีการค้าขายแบบนี้ที่ไหนกัน ได้กำไรโดยไม่ต้องชดใช้เงินเลย!
หมางจ้งกำลังจะพูดแต่จวินจิ่วเฉินพูดออกมาก่อน “มัดจำสี่แสน หากมีข่าวคราวภายในครึ่งปีจะจ่ายเพิ่มอีกสี่แสน หากไม่มีข่าวคราวต้องคืนสี่แสนมาให้ครบ เป็อย่างไร? ”
สองพี่น้องสายลับล้วนเคยพบผู้ดีมีเงินมาก่อน ทว่าก็ใกับการใช้จ่ายของจวินจิ่วเฉิน สายลับหญิงที่ปิดปากเงียบมาโดยตลอดอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “ตกลง! เขียนหลักฐานเลย! ”
เื่ของการเขียนหลักฐานถูกส่งไปยังหมางจ้ง จวินจิ่วเฉินไม่ได้พูดอะไรมาก เขาแค่กระซิบกำชับหมางจ้งให้ปิดบังเื่ในวันนี้ต่อเทียนอู่ฮ่องเต้
จวินจิ่วเฉินออกจากห้องลับใต้ดินแล้วกลับขึ้นมา้า
เฉิงอี้เฟยและคนอื่นๆ กำลังค้นหา เดิมทีเขาควรรีบออกไปแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงของกูเฟยเยี่ยนที่ดังมาจากบ้านข้างๆ
———————————
เชิงอรรถ
[1] เฟิ่งหวง หมายถึง หงส์ สัตว์ในเทพนิยายของชาวจีน