น้ำแร่กว่าครึ่งแก้วถูกรดลงไป สีดำของดอกโบตั๋นดูเข้มขึ้นเล็กน้อยกลีบดอกขยับสั่นเทา ก่อนจะค่อยๆ เบ่งบานกลีบแรกออกมา กลีบอื่นยังคงเกาะกลุ่มรวมกันปกปิดไม่เปิดเผยให้ใครเห็นร่างที่แท้จริงภายใน
หลินลั่วหรานสูดลมหายใจเข้าลึกๆดอกไม้นี่หอมจริงๆ เลยนะ ทั้งที่เพิ่งจะผลิออกมาแค่กลีบเดียวเท่านั้นเอง!
เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหมอกพิษก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมาอย่างที่จินตนาการเอาไว้เธอจึงวิ่งไปมาเพื่อรดน้ำให้ดอกโบตั๋นอยู่หลายแก้ว
หลังจากทำสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้แล้วหลินลั่วหรานก็ย่อตัวนั่งลงข้างๆ ดอกโบตั๋นสีดำอย่างอดทนระยะเวลาในการบานของกลีบดอกเป็เพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้นไม่ว่าอย่างไรก็พลาดไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงต้องเสียน้ำแร่ไปโดยไร้ประโยชน์
หนึ่งนาทีผ่านไป กลีบที่สองก็ค่อยๆ สั่นไหวห้านาทีผ่านไป ก็ค่อยๆ บานออก ราวกับจิติญญาที่ซุกซน ก่อนจะบานออกไปข้างๆกลีบแรก
แปดนาทีผ่านไป กลีบที่สามก็ค่อยๆขยับเคลื่อนไหว...
หลินลั่วหรานไม่รู้ว่าตัวเองนั่งยองๆอยู่แบบนี้มานานเท่าไรแล้ว ดูเหมือนว่าจะราวๆ สิบกว่านาที แต่ก็เหมือนยาวนานเป็ศตวรรษแล้วเช่นกันขาทั้งสองของเธอชาจนไร้ความรู้สึก ในที่สุดดอกโบตั๋นสีดำก็ค่อยๆผลิบานกลีบสุดท้ายออกมาอย่างงดงาม!
สิ่งที่ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลินลั่วหรานคือต้นไม้ที่มีเส้นใบสีเขียวเข้ม กิ่งก้านงดงามผ่องใสดึงดูดคนราวกับก้อนหยก แต่นี่กลับเทียบไม่ได้กับดอกของมันที่มีเพียงห้ากลีบเมื่อบานออกก็มีขนาดเท่ากับชาม สลับทับซ้อนกันอยู่กลีบดอกสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกดูราวกับจะเปล่งประกายแสง!
หอมมากสวยเหลือเกิน...หลินลั่วหรานไม่รู้ว่าตัวเองลุกขึ้นยืนั้แ่เมื่อไรปลายจมูกถูกห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นหอมในสายตาของเธอหลงเหลือเพียงดอกโบตั๋นสีดำดึงดูดตา
เธอรู้สึกราวกับกลีบของดอกไม้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆเธอคิดว่าเธอคงคิดไปเอง ผ่านไปสักพักเธอถึงได้รู้ว่าที่แท้ตัวเองก็ขยับเข้าไปใกล้เพื่อสูดดมกลิ่นของดอกไม้โดยไม่ทันได้รู้ตัว
หนึ่งนิ้ว สองนิ้ว...ดวงตาของหลินลั่วหรานพร่ามัวราวกับโดนกลิ่นประหลาดของดอกโบตั๋นสีดำเข้าครอบงำ ปลายจมูกขยับใกล้เข้าไปเรื่อยๆจนสุดท้ายก็ััเข้ากับกลีบดอกสีดำราวกับหยก แสงประกายฉายขึ้นมาผ่านตาของเธอไปเมื่อคิดที่จะต่อต้านขยับกายออก แสงสดใสกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกมาจากเกสรของดอกโบตั๋นสีดำไร้ชีวิต“ฮุล่า” ก่อนจะไล่เข้าสู่จมูกของหลินลั่วหรานไป!
หลินลั่วหรานรู้สึกเหมือนมีเสียง “หึ่ง”ดังขึ้นในหัว ก่อนที่สติของเธอจะขาดหายไป
จิติญญาของเธอกำลังข้ามผ่านอุโมงค์ที่มืดสนิทในขณะนี้เธอลืมตัวตนของตัวเองไปจนสิ้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนราวกับว่าจิติญญาจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและรู้สึกว่าที่แห่งนี้ช่างมืดสนิทจนรู้สึกไม่ดี
ทำไมถึงไม่มีแสงไฟเลยนะ? เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวจิติญญาก็ได้แต่คิดต่อว่า เอ๋ แล้วอะไรคือ “แสงไฟ” กันนะ?
อะไรคือ “แสงไฟ”...ทำไมฉันถึงรู้จักคำว่า “แสงไฟ” กันนะ แปลกจัง! จิติญญารู้สึกปวดหัวขึ้นมา เมื่อคิดไม่ออกว่าอะไรคือ “แสงไฟ”ก็หงุดหงิดขึ้นมาจนแทบทนไม่ได้จึงนำร่างไร้รูปร่างที่แท้จริงของตัวเองโขกเข้ากับอุโมงค์ แต่ว่าอุโมงค์ก็ไม่มีรูปร่างที่แท้จริง จิติญญาจึงได้แต่ข้ามผ่านกำแพงไปมา
“กำแพง?” เป็คำที่แปลกดีจังจิติญญาคิดขึ้นมาพร้อมความเศร้า ต้องเป็เพราะกำแพงปิดกั้นแสงไฟเป็แน่
ปิดกั้น...งั้นจะถูกปิดกั้นไม่ได้สิ่งที่ไม่เหมือนกับมืดสนิทเลยสักนิด ก็คือ “แสงไฟ” ยังไงล่ะ! จิติญญาดีใจคิดว่าเพราะหลังจากที่กำหนดความหมายให้กับคำว่า “แสงไฟ” ได้ภายในอุโมงค์มืดสนิทก็ปรากฏแสงเล็กๆ ระยิบระยับไปทั่วทั้งยังประกายรัศมีสีรุ้งออกมา
สวยจังเลยจิติญญามองไปยังประกายแสงที่ทำให้ลืมเลือนบางอย่างเ่าั้ไปและก็ไม่ได้พยายามตามหาความหมายของคำว่า “สวย” แต่อย่างใด
อุโมงค์สีรุ้งสุกใส สวยงามมากจิติญญากลิ้งเล่นไปทั่วด้วยความดีใจ รู้สึกว่าแบบนี้ดีกว่าอุโมงค์มืดๆก่อนหน้านี้มาก
ผ่านไปนาน หรืออาจจะเพียงแค่ชั่วพริบตาหรืออาจจะร้อยล้านปี จิติญญาเริ่มััได้ถึงความเบื่อหน่าย
ที่นี่แสงไฟสวย แต่ไม่มีคนอยู่เป็เพื่อนเหงาเกินไปแล้ว!
ความคิดไหลวูบเข้ามาในส่วนลึกของจิติญญา “คน”? คนคืออะไร? อย่างฉันนี่ถือเป็คนไหม? เพราะว่าเหงาเกินไป จิติญญาจึงเริ่มพยายามใช้สมองของตัวเอง
ไม่มี “คน” อยู่เป็เพื่อนก็จะเบื่อ นั่นแปลว่าก่อนหน้านี้มี“คน” อยู่กับฉัน...อืม งั้นฉันก็ต้องเป็คนแล้วล่ะ! เมื่อจิตใจกำหนดคำนิยามให้กับตัวเองส่วนลึกของอุโมงค์สีรุ้งก็ส่งเสียงฟ้าร้องดังที่น่าเศร้าขึ้นมา
เื่ที่ทำไมเสียงฟ้าร้องถึงดูน่าเศร้าจิตใจไม่มีอารมณ์จะคิด บางทีสายฟ้าอาจจะกำลังเก็บพลังก็ได้! มันคิดแบบนั้นทั้งที่ในใจยังคงคิดถึงแต่เื่ที่อะไรคือ “คน” อยู่แบบนั้น
คนเหรอ ก็ต้องมีร่างกายเมื่อจิติญญาคิดได้แบบนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจรูปร่างราวกับกลุ่มหมอกของตัวเอง! มันะโโลดเต้นพุ่งไปมาในอุโมงค์ ก่อนที่ร่างกายที่เป็ราวกับกลุ่มหมอกจะเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง
อย่างแรกคือโครงร่าง หลังจากนั้นก็มีหัว มีมือสุดท้ายก็คือมีเท้า...แต่ว่าใบหน้าไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่รู้ว่าตัวเองหน้าตาเป็อย่างไร ใบหน้าเหรอ? มีจมูกมีตา แล้วก็ปากไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าหน้าได้อย่างไร?
ราวกับกลุ่มหมอกกระจายหายไปบางส่วนเสียงฟ้าร้องจากส่วนลึกของอุโมงค์ส่งเสียงดังมากขึ้นเบื้องหน้าของจิติญญาปรากฏใบหน้าที่มีจมูกมีตาขึ้นมา ผู้ใหญ่ เด็ก คนแก่ สวยงามน่าเกลียด มันไม่รู้ว่าแท้จริงตัวเองหน้าตาเป็อย่างไรแต่กลับรู้สึกว่าใบหน้าเหล่านี้ต่างไม่ใช่ของตัวเอง!
แล้วแบบนั้น หน้าของเราล่ะ? จิติญญาพยายามคิดอย่างหนักอยากจะจัดการไขเื่นี้ให้กระจ่าง
เสียงของฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นอีกจนทำให้จิติญญาใ มันมองไปยังส่วนลึกของอุโมงค์ ก่อนจะเกิดความกลัวขึ้นมามันรู้สึกราวกับว่าจะมีสัตว์ประหลาดโผล่ออกมาตรงหน้า ทำให้กลัวจนตัวสั่น
ฮึ จะกลัวไปทำไมกัน ฉันมีสมบัติลึกลับอยู่นะ! จิติญญาทั้งกลัวและทนไม่ไหวก่อนที่จะต้องย้อนกลับไปคิดว่าสมบัติของตัวเองคืออะไรดูเหมือนว่าจะเป็สร้อยข้อมือ จิติญญาสุกไสวขึ้นมา ไม่ใช่ ไม่ใช่คือไข่มุกเม็ดหนึ่งต่างหาก!
ไข่มุก เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นปลายอุโมงค์ก็เริ่มหมุนวน ค่อยขยับเคลื่อนไหวราวกับน้ำขึ้นลงที่อยากจะกระทบหาดทราย
ไข่มุก จิติญญารู้สึกกระวนกระวายขึ้นมารู้สึกว่าสิ่งนี้น่าจะสำคัญกับมันมาก เสียงฟ้าร้องในอุโมงค์ดังขึ้นแสงสีรุ้งประกายเจิดจ้า ก่อนเบื้องหน้าของจิติญญาจะเปลี่ยนฉากไปเป็ทารกผิวขาวนวลที่กำลังนอนอยู่ในเปลหวายโดยมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังใช้สร้อยข้อมือหยอกล้อเธออยู่
ก่อนจะใช้เชือกสีแดงจัดการห้อยสร้อยข้อมือไว้บริเวณเบื้องหน้าของทารกน้อยไข่มุกส่งประกายแสงอบอุ่นออกมา ทารกน้อยเบิกตาโต จ้องมองโดยไม่อยากจะกะพริบตา
ก่อนเวลาจะผ่านไปหลายปี จากทารกก็เติบโตมาเป็เด็กสาวตัวเล็กสามารถวิ่งเล่นอยู่บนพื้นได้แล้ว ผู้เป็พ่อของเธอสูบบุหรี่พร้อมทั้งพูดออกมาตะกุกตะกักว่าจะเอาสร้อยข้อมือไปขาย หาเงินส่งลูกสาวเรียนดีไหม
ผู้เป็แม่ลูบมือลงที่สร้อยข้อมือที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นน้ำตาของเธอหยดลงบนสร้อยเงิน สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวไปมา
ทารกน้อยเติบโตขึ้นมากกว่าเดิมเข้าไปเรียนในโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น ได้รู้จักกับผู้คนมากมายจนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอพาเด็กชายคนหนึ่งไปที่บ้านผู้เป็แม่นำสร้อยข้อมือเงินสวมลงบนข้อมือของเด็กชายด้วยมือของตนเอง
ผู้เป็แม่รู้สึกพอใจ ผู้เป็พ่อก็แอบดีใจลูกสาวได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย
ผ่านไปอีกหลายปี เธอโตขึ้นอีกบนเรือนร่างของเธอนอกเสียจากดวงตากลมโต ก็ไม่มีอะไรดูเหมือนกับตอนแบเบาะอีกแล้วเธอยืนอยู่ข้างรถสีแดง มองไปยังเขาและเธอ
สร้อยข้อมือเงินถูกโยนออกมาอย่างไร้หัวใจตกกระทบลงบนพื้น...หลังจากนั้น สร้อยข้อมือเงินก็ดูดซึมเืสดของเธอเข้าไปไข่มุกที่คอยมองดูเธออยู่เงียบๆ เคียงข้างตลอดมา ั้แ่ตอนที่เธอยังเป็ทารกจนโตเป็เด็ก จนกระทั่งเติบโตเป็สาวน้อย จนเติบใหญ่ สุดท้ายก็ถูกปลดปล่อยออกมา
ภาพต่างๆ ปรากฏขึ้นราวกับม้วนฟิล์มภาพยนตร์หลังจากนั้นก็ฉายชีวิตตลอดมาของจิติญญาจนจบ กระทั่งปรากฏรูปสาวสวยคนหนึ่งกำลังโน้มตัวลงไปสูดดมกลิ่นของดอกไม้สีดำสวยงาม
อุโมงค์ รัศมีสีรุ้ง เสียงฟ้า ภาพเคลื่อนไหวต่างมลายหายไป
หลินลั่วหรานยังคงอยู่ในท่าสูดดมกลิ่นแต่เมื่อลืมตาขึ้น แสงก็เปล่งออกมารอบทิศ เปลือกตาเต็มไปด้วยสีสันจนไม่อาจจะมองได้ตรงๆ
กลิ่นของดอกโบตั๋นสีดำหายไปแล้วหรือแม้แต่กลีบดอกก็พากันแห้งเหี่ยวไป ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อหลินลั่วหรานััลงเบาๆกลีบใบไม้นั้นก็สลายไปราวกับเศษกระจกที่นับไม่ถ้วน ก่อนจะมลายหายไปในอากาศราวกับขนนก
เหลือเพียงต้นพืชโดดเดี่ยวที่ถูกปลูกเอาไว้อยู่ที่เดิมเพื่อย้ำเตือนหลินลั่วหรานว่า ทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่ใช่จินตนาการของเธอ
หลินลั่วหรานปิดตาลงอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมสติครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏ “ภายหน้า” ของเธอ ไม่ใช่อุโมงค์หรือแสงสีแต่คือสีสันของธาตุห้าชนิดที่แตกต่างกัน
ธาตุป่า สีเขียวนั่นคือตับใช่ไหม? ธาตุไฟคือกลุ่มสีแดงตรงนั้น...เส้นโลหิตสีแดง ภายในไร้การขยับเขยื้อนหรือว่านี่จะเป็พลังภายในตัวเองอย่างนั้นเหรอ?
ไม่มีใครบอก แต่หลินลั่วหรานก็รู้ได้ทันที ว่าสถานการณ์แปลกๆนี่ เรียกว่า “มองทะลุภายใน”