เวลาเพียงเจ็ดโมงเช้า หลินลั่วหรานก็ตื่นขึ้นมานอนหลับตื่นนี้ เรียกได้ว่าสบายสุดๆ ไปเลย! จิติญญาดูลึกลับแปลกประหลาด ดูราวกับ“ดวงตา” ที่สามารถหมุนรวมได้สามร้อยหกสิบองศา เมื่อหลับตาลงเธอก็สามารถเห็นบริเวณรอบๆในระยะหนึ่งเมตรได้อย่างชัดเจน
ไม่ต้องบอกหลินลั่วหรานก็รู้ได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ สร้างตัวตนนี่จะต้องเป็การสร้างตัวตนอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะไปมีจิติญญาลึกลับหรือการมองทะลุถึงภายในแบบนี้ได้อย่างไร?
ขาดแค่อย่างเดียวก็คือเธอค้นพบพลังที่อยู่ภายในระบบโลหิตของร่างกาย และลองสั่งมันดูแล้วแต่พลังเ่าั้กลับไม่สนใจเธอเลยแม้แต่น้อย...ในตอนเช้าเธอก็ทดลองอีกครั้งแต่ก็ยังไม่มีการตอบรับกลับมาเช่นเคยหลินลั่วหรานจึงได้แต่อดทนต่อแรงกระตุ้นจากดวงตา แล้วจัดการพักเื่นี้เอาไว้ก่อน
เสียงโทรศัพท์ดึงขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็เป่าเจียหลินลั่วหรานก็รู้ได้ทันทีว่าเธอโทรมาเร่ง
เมื่อยืดหัวมองออกไปก็พบว่ารถคันใหม่ของเป่าเจียได้จอดรอเธออยู่ข้างล่างเป็ที่เรียบร้อยแล้วเธอคว้าถุงผักถุงใหญ่ ก่อนจะเดินลงจากตึก ตอนนี้เป่าเจียชอบของเหล่านี้มากพอเห็นก็รีบรับไป แล้วคุ้ยหามะเขือเทศลูกน้อยกินทันที
สาวเมืองกรุงรูปโฉมงดงาม ฉลาดโฉบเฉี่ยวแต่ในเวลานี้กลับทำตัวราวกับลูกหนูตัวน้อยเมื่อหามะเขือเทศลูกเล็กพบก็รีบคว้าเข้าปากทันที หลินลั่วหรานได้แต่กลั้นยิ้มเอาไว้ก่อนจะส่งเสียงเตือน “ยังต้องไปทำงานนะระวังเครื่องสำอางด้วย!”
เป่าเจียปิดประตูรถลง ก่อนจะแสร้งทำเป็โมโห “แล้วใครใช้ให้เธอไม่ขับรถไปเองแล้วเรียกฉันมารับกันเล่า!”
หลินลั่วหรานปิดปากของตัวเองลงไม่ต่อปากต่อคำกับเพื่อนรักอีกต่อไป เป่าเจียน่ะ มีชื่อเสียงรู้จักกันในนาม “ดีไซเนอร์ฉิน” แต่หลินลั่วหรานน่ะเหรอเธอยังเป็เพียงพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ฝึกหัดอยู่เลยนะ ถ้าหากจะให้ขับรถ BMW ไปทำงานล่ะก็ คงดูงี่เง่าเกินไป
ทั้งสองคนต่างต้องไปรายงานตัวที่ตึกบริหารของบริษัทอัญมณีหลิ่วชื่อเป่าเจียไปแผนกการออกแบบ ส่วนหลินลั่วหรานก็ถูกพาลงมายังพื้นที่ขายด้านล่าง
ชั้นแรกของตึกบริหารของบริษัทอัญมณีหลิ่วชื่อแบ่งแยกออกราวๆ ร้อยสองร้อยระดับ เมื่อเทียบกันกับแผนกทั่วไปที่มีเคาน์เตอร์อัญมณีอยู่ไม่เท่าไรก็จัดได้ว่าเป็สถานที่ขายอัญมณีั์ใหญ่และถือได้ว่าเป็สถานที่ขายที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทหลิ่วชื่อในเมือง R แล้ว
ผู้จัดการของที่นี่คือผู้หญิงอายุราวๆสามสิบกว่า เธอสวมชุดสีดำ แต่งหน้าด้วยความละเอียดอ่อนสวยงาม พร้อมทั้งสวมแว่นไร้กรอบไว้บนใบหน้าเมื่อมองดูแล้วช่างงดงาม แต่ด้วยอายุที่เริ่มมากขึ้นแล้วจึงสามารถพบเห็นริ้วรอยบริเวณดวงตาของเธอ ในส่วนที่แป้งไม่อาจช่วยปกปิดได้
“สวัสดีค่ะ ผู้จัดการโจวฉันคือพนักงานที่มาใหม่ ชื่อหลินลั่วหรานนะคะ”
หลินลั่วหรานยื่นมือออกไปพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มนิ่งๆไปให้ผู้จัดการโจว
ผู้จัดการโจวไม่ได้รีบร้อนอะไรเธอมองพิจารณาหลินลั่วหรานโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาในข้อมูลระบุเอาไว้ว่าอายุยี่สิบเจ็ดแล้วแถมยังเป็พนักงานใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนผู้จัดการโจวจึงไม่พอใจเท่าไรมาั้แ่ต้น แถมยังจบการศึกษาเพียงแค่ชั้นมัธยมปลายเธอจึงคิดว่าตัวเองคงเจอกับพวกใช้เส้นสายเข้าแล้ว
เธอไม่ค่อยชอบพวกคนที่ใช้เส้นสายเท่าไรมีเส้นสายแต่ไม่มีความสามารถ ทั้งเธอเองก็ไม่สามารถไล่ออกไปได้ตามอารมณ์ไม่มีหัวหน้าคนไหนที่ชอบหรอก
ในตอนแรกผู้จัดการโจวก็จัดการจัดให้หลินลั่วหรานอยู่ในกลุ่มคนประเภทที่เธอไม่ชอบไปแล้วแต่เมื่อได้พบตัวจริงของเธอเข้า ก็ต้องใ ท่าทางของเธอดูดีแถมไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าอายุยี่สิบเจ็ดแล้วความไม่ชอบในใจของผู้จัดการโจวจึงลดลงไปพอสมควร
เมื่อ “พิจารณา” แล้ว ว่าไม่น่าจะมีอะไรไม่ดีเธอก็เผยรอยยิ้มออกมา “ตามฉันไปรับเสื้อผ้าเถอะ”
พนักงานเคาน์เตอร์ต่างสวมชุดเครื่องแบบทั้งนั้นมันเป็แบบเดียวกันกับของผู้จัดการโจว เพียงแต่พนักงานทั่วไปจะเป็สีชมพูขาวที่ดูเรียบหรู เมื่ออยู่กับพวกหยกแล้ว ก็จะทำให้รับกันได้อย่างสวยงาม
เห็นได้ชัดว่าบริษัทหลิ่วชื่อมีระดับค่อนข้างสูง ชุดเครื่องแบบที่ถูกส่งมาให้หลินลั่วหรานถูกตัดมาให้พอดีกับตัวของเธอเป็อย่างดี ที่สำคัญคือ ภายในเวลาสั้นๆ เพียงสามวันแม้แต่ป้ายชื่อติดที่อกของเธอ ต่างก็ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
สีชมพูเป็สีที่ผู้หญิงส่วนมากชอบกันทั้งนั้นใครๆ ก็ต่างเคยฝันจะเป็เ้าหญิง แต่ความฝันก็คือความฝัน สีชมพูเป็สีช่างเลือกหากคนผิวขาวสวมแล้วก็จะดูเปล่งปลั่งสวยงาม แต่ถ้าผิวคล้ำขึ้นมาหน่อยก็จะไม่ให้ความรู้สึกแบบนั้นแล้ว
แต่ผิวขาวใสราวกับเซรามิกของหลินลั่วหรานไร้ซึ่งความกดดันไม่เพียงแค่นั้น ในขณะที่ผู้จัดการโจวพาเธอไปยังบริเวณเคาน์เตอร์ พนักงานเก่าที่ยืนประจำที่ยังพากันแสดงสีหน้าอิจฉาออกมา
ผู้จัดการโจวช่วยเป็สื่อกลางในการแนะนำหลินลั่วหรานให้รู้จัก หลินลั่วหรานเป็พนักงานใหม่จึงยังไม่มีเคาน์เตอร์เป็ของตัวเอง ให้เธอคอยเดินไปมาบริเวณหน้าประตูและคอยช่วยทำสิ่งที่เธอพอจะทำได้
ใน่ที่มีเวลาว่างก็ยังต้องไปดูการแนะนำเกี่ยวกับอัญมณีคร่าวๆ จากผู้จัดการโจวหากไม่ใช่ว่าตอนนี้ความจำของหลินลั่วหรานถูกปรับให้ดีขึ้นัักับตัวเลขน่าเบื่อเหล่านี้ ก็น่าจะปวดหัวมากทีเดียว
พนักงานบางคนยังเด็กกว่าหลินลั่วหรานด้วยซ้ำแต่หลินลั่วหรานกลับดูเด็กเสียจนทำให้บางคนคิดว่าเธอเป็เพียงเด็กนักเรียนที่เพิ่งมาทำงานเมื่อเห็นหน้าตาสละสลวยของเธอ ทำให้ใครๆ ต่างก็พากันเว้นระยะจนผ่านไปครึ่งวันหลินลั่วหรานที่ดูอบอุ่นและเป็กันเองก็ทำให้บางคนเริ่มที่จะเรียกเธอว่า “เสี่ยวหลิน” แล้ว
โอเค แม้ว่าปกติพนักงานที่เข้ามาใหม่จะพากันเรียก“เสี่ยว” แต่การที่ถูกกลุ่มคนที่อายุน้อยกว่าเรียกว่า “เสี่ยวหลิน” หลินลั่วหรานก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร...
“เสี่ยวหราน รีบไปกินข้าวเถอะ! โรงอาหารของบริษัทอยู่ชั้นสามนะ”
เ้าของคำพูดคือหลิวเหมย เธอเป็คนตัวน้อยมองดูแล้วดูเป็คนง่ายๆ เมื่อตอนเช้าก็เป็ฝ่ายเข้ามาช่วยแนะนำรายละเอียดให้ถือว่าเป็คนที่อยู่ค่อนข้างใกล้กับเธอ
หลินลั่วหรานเป็ “เด็กใหม่” ยังรู้สึกตื่นเต้นกับเคาน์เตอร์อยู่จึงเสนอเฝ้าเคาน์เตอร์ให้ ตอนนี้พวกหลิวเหมยพากันกลับมาเปลี่ยนให้เธอได้ออกไปบ้างแล้ว
หลินลั่วหรานเพิ่งมาได้แค่วันแรกไม่มีโอกาสได้แก้ไขคำว่า “เสี่ยวหลิน” ของหลิวเหมยให้ถูกต้องจึงได้แต่ส่งยิ้มขอบคุณกลับไป ก่อนจะเดินขึ้นมากินข้าวที่ชั้นสาม
ในระหว่างที่เธอหมุนตัวหันหลังประตูหมุนก็ถูกเลื่อน คนที่เดินเข้ามาคือหญิงชายที่สวมชุดทันสมัยผู้หญิงตัวเล็กน่ารักชวนให้เอ็นดู เข้ามาคู่กันกับชายหนุ่มร่างสูงร้อยแปดกว่า
“พี่มู่ นี่เป็ของขวัญวันเกิดถ้าราคาถูกเกินไป ฉันจะไม่รับน้า” น้ำเสียงใสๆฟังดูเอาแต่ใจ แต่กลับไม่ทำให้รู้สึกไม่ดี เป็ความสามารถอันเชี่ยวชาญของสาวสวยในเมือง R
สาวน้อยน่ารัก หน้าตาสวยไม่เบา ดวงตากลมใสแต่งหน้าไม่ได้หนามาก แสดงให้เห็นว่าเป็ประเภทที่สวยโดยธรรมชาติทำให้คนต่างพากันเอ็นดู
พนักงานเคาน์เตอร์เมื่อเห็นทั้งสองสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนมอีกทั้งยังได้ยินประโยคสนทนาเ่าั้ ต่างก็พากันหลงใหล ร่างสูงที่ถูกเรีกว่า“พี่มู่” เวลานี้ดูเหมือนว่าจะถูกมองเป็ธนบัตรเคลื่อนที่ไปแล้ว
ทั้งที่ขายพวกหยกและอัญมณีต่างๆ เป็หลักหรือแม้แต่พวกสร้อยเงินสร้อยทองที่ก็นับได้แค่ว่าเป็เครื่องประดับ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอัญมณีที่ถูกวางเอาไว้ในบริเวณเคาน์เตอร์ด้านนอก เมื่อเห็นทั้งสองเดินเข้ามาจะไม่เรียกว่าเป็ตัวทำเงินแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!
มู่เทียนหนานรู้สึกว่าแผ่นหลังที่เพิ่งเดินผ่านไปดูคุ้นตาแต่หลินลั่วหรานสวมชุดเครื่องแบบอยู่ แถมยังเปลี่ยนทรงผมในตอนนั้นเขาเองก็ไม่ได้มีเวลาไปคิดอะไร บวกกับแรงดึงบนแขนจากสาวน้อยข้างกายนายน้อยมู่ใส่ใจสาวสวยพวกนี้อยู่แล้ว จึงรีบดึงความสนใจกลับมา
“แน่นอนอยู่แล้วในหนึ่งปีจะมีวันเกิดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อยากได้อะไรก็เลือกได้เลย!”
ดวงตาของหญิงสาวเป็ประกายขึ้นมาอยากได้อะไรก็เลือกงั้นเหรอ? พวกหยกอัญมณีเ่าั้ราคาต่างก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านทั้งนั้นแน่นอนว่าเธอก็ต้องอยากได้อะไรพวกนั้น...แต่หญิงสาวไม่ใช่พวกอ่อนต่อโลกเธอรู้ดีว่าถ้าอยากจะตกปลาเงินปลาทองตัวใหญ่อย่างมู่เทียนหนาน เธอจะต้องวางแผนระยะยาวให้ดีจึงได้แต่อดกลั้นความโลภของตัวเองเอาไว้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมาราวกับดอกไม้บาน
“แพงเกินไปฉันก็ทำใจไม่ได้ขอแค่เพชรเม็ดเล็กๆ ก็ได้นะ ว่าไงเอ่ย?”
มู่เทียนหนานได้ยินดังนั้นก็แปลกใจขึ้นมาหญิงสาวข้างกายของเขาทำไมเปลี่ยนไปไวขนาดนี้ หาได้ยากนะที่จะสามารถอดทนไม่รีบหลอกเอาเงินจากเขาได้แบบนี้
แต่ว่าการเป็นายน้อยแห่งตระกูลมู่หญิงสาวพูดมาแบบนี้แล้ว หากจะให้มอบของที่ไม่นับเป็อัญมณีแบบนั้นหลุดออกไปถึงหูใครคงได้โดนหัวเราะเยาะตาย เขาจึงพาเธอไปยังเคาน์เตอร์เครื่องเพชร
“หนึ่งกะรัตขึ้นไป แต่ไม่เกินสองกะรัตเลือกเองเลย”
ใจกว้างจริงๆดวงตาของหญิงสาวประกายออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอยิ้มตอบรับก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วเคาน์เตอร์ แล้วเลือกเอาแหวนเพชรหนึ่งกะรัตขึ้นมาวงหนึ่งป้ายแสดงราคา “48888” เมื่อเทียบกับเพชรขนาดหนึ่งกะรัตแล้วก็นับได้ว่าอยู่ใน่ราคาปกติ
เป็ผู้หญิงที่มีไหวพริบดีนะ แต่ใจกว้างไปนิดเมื่อมู่เทียนหนานเห็นแหวนที่เธอเลือกมา แม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาแต่ก็เผลอออกความเห็นแบบนี้ขึ้นมาในใจ ในเวลาเดียวกันก็แอบคิดว่าเขาอาจจะควรเปลี่ยนคู่ควงได้แล้วหรือเปล่า?
“อันนี้เล็กเกินไปแล้วสไตล์ก็ดูแก่ด้วย ที่ติดผมอันนี้ดูสวยดีนะ เอาอันนี้ก็แล้วกัน!” มู่เทียนหนานชี้ไปยังเครื่องประดับผมทรงดาวชิ้นหนึ่งใต้เคาน์เตอร์กระจกใสตรงกลางประดับด้วยเพชรเม็ดใหญ่ ขนาดเกือบสองกะรัต อีกทั้งรอบๆยังประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กมากมาย ที่กำลังเปล่งประกายฉายแสงระยิบระยับราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า คำพูดนั้นเขาพูดกับหลิวเหมยไม่ใช่หญิงสาวแต่อย่างใด
ต้องราคาแบบนี้ถึงจะสมกับเป็เขาราคาของเครื่องประดับชิ้นนี้อยู่ที่แสนแปดกว่า แพงกว่าแหวนนั่นตั้งกี่เท่าแถมยังเป็ลูกค้าที่ดูท่าทางสบายๆ แม้แต่การแนะนำตามปกติก็ลดลงไปได้เยอะเมื่อคิดถึงเปอร์เซ็นต์ที่จะได้ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวเหมย
“เลือกได้ดีจังเลยนะคะสาวสวยท่านนี้มีใบหน้างดงาม เรือนผมเองก็เงางามมากเหมาะกับเครื่องประดับผมทรงดาวชิ้นนี้ได้ดีเลยนะคะ”
มู่เทียนหนานส่งยิ้มให้หลิวเหมยก่อนจะส่งบัตรเครดิตไปให้
หลิวเหมยจัดการทุกอย่างด้วยความรวดเร็วมู่เทียนหนานรับเครื่องประดับผมมาไว้ในมือก่อนจะติดมันลงบนเรือนผมของหญิงสาวด้วยมือของตัวเอง อย่าพูดถึงตัวสาวเ้าเองเลยแม้แต่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ที่ต่างก็คุ้นชินกับลูกค้าเงินหนาที่พาแฟนสาวลับๆมาซื้อ ก็ยังพากันหลงใหล
ลมหายใจของมู่เทียนหนานรดลงเหนือหัวของหญิงสาวปลายสายตาของหญิงสาวเหลือบไปเห็นผู้คนมากมายที่กำลังอิจฉาเธออยู่ก็ลุ่มหลงจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
มู่เทียนหนานจัดเครื่องประดับผมให้เรียบร้อยด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งภูมิใจในการเลือกของตัวเอง อืม เป็ของขวัญสำหรับการเลิกราที่ดีใช่ไหมล่ะ!