ฮวาชีเยว่รู้จากชิวอวิ๋นว่าโอวหยางหลิวเอ๋อร์อาจเป็ผู้ประลองของนาง ช่างเป็เหตุบังเอิญเหลือเกิน
ความจริงเื่นี้ไม่ได้กระทบฮวาชีเยว่สักเท่าใด กลับเป็ลู่ซินและโหย่วชุ่ยเสียอีกที่พากันกังวลแทนนาง
ค่ำคืนนั้น ฮวาชีเยว่มิได้ย่างเข้าภายในน้ำเต้าหยกเพื่อฝึกอย่างเคย หากแต่เลือกพักผ่อนร่างกายให้เต็มที่
รุ่งขึ้นลู่ซินใช้เข็มเงินทดสอบยาพิษจากมื้อเช้าของฮวาชีเยว่ก่อนยกสำรับให้คุณหนูใหญ่ของนางรับประทาน
บังเอิญว่าฮวาชีเยว่เหลือบเห็นว่าหลังมือของชิวอวิ๋นนั้นสั่นเทาคล้ายกับมีผู้ใดบังคับไว้ก็ไม่ปาน ฮวาชีเยว่ทอดสายตากลับมามองยังจานอาหารและถ้วยน้ำแกงด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนตักน้ำแกงไก่ที่ใช้ต้นหลงแดงและโสมปรุงเข้าปากเพียงเล็กน้อย
หลังจากมื้อเช้า ฮวาชีเยว่พาลู่ซินและชิวอวิ๋นไปยังงานประลองยุทธ์กับนางด้วย
สนามประลองถูกจัดขึ้นทางฝั่งเหนือของเมืองหลวง นับเป็ที่โล่งกว้างสำหรับใช้จัดงานใน่เทศกาลต่างๆ
ฮวาชีเยว่ยืนนิ่งบริเวณล่างสนามประลองนั้น ข้างกายมีชิวอวิ๋นจ้องมองนางไม่ละสายตา “คุณหนูใหญ่เ้าคะ ้ารับประทานอะไรก่อนหรือไม่เ้าคะ? บ่าวจะไปหาซื้อมาให้”
ชิวอวิ๋นเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
คิ้วของฮวาชีเยว่เลิกขึ้น “ไม่จำเป็หรอกเื่นั้น เ้าไปซื้อมีดมาให้ข้าแทนก็แล้วกัน เล่มสั้นสักหนึ่ง”
ชิวอวิ๋นรุดหน้าไปทันทีที่รับสั่ง
“คุณหนูเ้าคะ” ลู่ซินกดเสียงต่ำพูดกับฮวาชีเยว่หลังชิวอวิ๋นลับตาไป “ชิวอวิ๋นดูประหม่านะเ้าคะวันนี้ อย่างกับมีเหตุอันใดกวนใจของนางอย่างนั้นเลยเ้าค่ะ”
ฮวาชีเยว่หัวเราะเสียงดัง “ไม่ใช่เื่ใหญ่ ต้นหลงแดงมีสรรพคุณต้านพิษทุกชนิด เราต่างซดน้ำแกงหลงแดงเข้าไปแล้ว ฉะนั้นไม่มีเหตุอะไรต้องกังวล”
ลู่ซินผงะไปชั่วครู่ ดูเหมือนว่าคุณหนูของนางนั้นมองทุกอย่างออกั้แ่แรก ‘แล้วเหตุใดนางจึงไม่เปิดโปงความจริง?’ ลู่ซินได้แต่คิดอยู่ในใจ
ชิวอวิ๋นกลับมาพร้อมมีดด้ามน้อยที่ส่งมอบไว้ในมือของฮวาชีเยว่ รอบข้างของพวกเขา เหล่าคุณหนูน้อยใหญ่จากตระกูลอื่นเริ่มส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ย พวกนางมองมายังฮวาชีเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยการดูถูกและเหยียดหยาม
“ดูสิ นั่นฮวาชีเยว่มิใช่หรือ?”
“ฮ่าๆๆ สุดยอดสวะในใต้หล้า”
“ได้ยินว่านางกลายเป็สตรีไร้ค่าไร้ราคา ไม่แม้แต่จะดึงพลังชี่ให้ไหลเวียนในตัวได้ เหตุใดจึงกล้ามาปรากฏตัวที่งานประลองยุทธ์อีก!”
“ช่างน่าประหลาด นางรนหาที่ตายแท้ๆ! นางรนหาที่ตายจริงๆ! ดูเหมือนว่าจะพกมีดมาด้วยนะ จุ๊ๆๆ ต่อให้นางซื้อดาบมา อย่างไรเสียเราต่างก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าสุดท้ายนางต้องแพ้!”
ขณะที่เหล่าคุณหนูเ่าั้ป้องปากหัวเราะและยิ้มเยาะ ฮวาชีเยว่กลับพยักหน้าให้พวกนางอย่างสุภาพถ่อมตน “แม่นางทั้งหลาย ท่านคิดว่าข้าจะพ่ายจริงหรือ?”
ฮวาชีเยว่แสร้งแสดงสีหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับนางไร้ความสามารถในการหยั่งรู้ทุกเื่ราวในใต้หล้านี้
“ย่อมใช่ ทำไมรึ? เ้าคิดว่าเ้าจะชนะได้ด้วยวรยุทธ์แสนกระจอกของเ้า?” โอวหยางหลิวเอ๋อร์หัวเราะออกมาอย่างเสียดสี
ฮวาชีเยว่กัดริมฝีปาก เสียงดูิ่เหยียดหยามพุ่งตรงมายังตัวนางจากทุกสารทิศ
ไม่ไกลจากมุมนั้นมีลานสูงใหญ่อันเป็ที่ประทับของเหล่าองค์หญิงและองค์ชายภายในงาน สีหน้าของพวกเขานั้นแสดงออกถึงความโกรธกริ้วอย่างเห็นได้ชัด สังเกตจากยอดคิ้วที่พากันขมวดเป็ปม
อวิ๋นสือโม่นั่งอยู่แถวหน้าของลานนั้น นี่นับเป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นฮวาชีเยว่ภายนอกจวน นางแต่งกายด้วยอาภรณ์ขาวล้วนขับผิวให้ดูผ่องราวกับจันทร์กระจ่าง โดดเด่นท่ามกลางเหล่าสตรีมากมาย ขนาดที่แน่นอนว่าต้องมีใครสักคนที่จดจำนางได้ในทันทีที่เหลือบมอง
อาภรณ์ของสตรีนางอื่นนั้นมีสีสันฉูดฉาดหมายมั่นเผื่อมีองค์ชายสักพระองค์ต้องตาต้องใจ ผลุนผลันได้เลื่อนขั้นเป็สตรีชั้นสูงผ่านการออกเรือน
อวิ๋นสือโม่ขมวดคิ้วไม่พอใจเมื่อเห็นว่าฮวาชีเยว่ยังคงสุขุมและสงบนิ่ง ขณะที่หวงฝู่เซียนหัวเราะลั่นอยู่ข้างกาย “ข้าไม่อยากจะเชื่อว่าหญิงมักมากในกามนางนี้จะกล้าปรากฏกายในที่แห่งนี้ พนันเลยว่านางมาเพื่อยั่วยวนท่านเป็แน่”
ความเป็จริง ฮวาชีเยว่กลับไม่แม้แต่จะปรายตามองไปทางลานสูงนั้นเลยแม้แต่น้อย
“โอ้ จริงสิ เศษสวะอย่างท่านกลับไปเสียเถิด แม้ท่านจะหนีไปก่อนเริ่มแข่งสกุลจี้ย่อมไม่ใส่ใจ"
“ถูกต้อง ฮวาชีเยว่ก็เป็เช่นนี้!”
“แส่หาความตายโดยใช่เหตุ ข้าไม่เคยเห็นคนโง่เขลาถึงเพียงนี้มาก่อน” เสียงซุบซิบจากเหล่าสตรียังดังไม่หยุดหย่อน ใบหน้าของลู่ซินเริ่มแดงก่ำ นางกำลังจะก้าวออกไปเพื่อปกป้องคุณหนูใหญ่ของนาง หากแต่ฮวาชีเยว่รั้งเอาไว้เสียก่อน
“อย่า เ้าอย่าไปต่อกรกับพวกนาง!” ฮวาชีเยว่เผยรอยยิ้มปราศจากพิษภัย ข้างกายพวกเขานั้นมีชิวอวิ๋นเค่นหัวเราะอย่างเสแสร้ง “คุณหนูเ้าคะ พวกนางดูิ่คุณหนูมากเกินไปแล้ว อย่างไรท่านก็เป็บุตรีแห่งสกุลฮวา เหตุใดทุกครั้งคนจากจวนสกุลฮวาจึงถูกกระทำเช่นนี้เล่า?"
คำพูดของชิวอวิ๋นดูเหมือนว่าจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแทนฮวาชีเยว่ แต่ในความเป็จริงนั้นมันถูกกล่าวขึ้นมาเพื่อโหมไฟให้กระหน่ำขึ้น เพื่อให้ฮวาชีเยว่มีโทสะขึ้นมา
ทว่านางยังคงมีท่าทีสำรวมและรักษารอยยิ้มบางไว้บนใบหน้าอย่างเรียบร้อย “เช่นนั้นแล้วทุกท่านในที่นี้คิดว่าข้าจะแพ้ใช่หรือไม่?” ฮวาชีเยว่ลั่นถาม
เสียงะเิหัวเราะอย่างเย้ยหยันคือคำตอบ
ระหว่างนั้นคิ้วของอวิ๋นสือโม่ขมวดแน่นขึ้นไปอีกหลังได้ยินคำกล่าวของฮวาชีเยว่ “สตรีนางนี้กำลังเล่นสนุกอะไรอยู่?”
“ใช่!”
“เ้าแพ้แน่!”
“ชื่อเสียงของสกุลฮวาจะป่นปี้ก็เพราะเ้า!”
บริเวณใกล้กันนั้นฮวาเมิ่งซือและอี๋เหนียงสองเองก็หัวเราะเยาะฮวาชีเยว่ที่ดูเหมือนจะไม่ทันคนเลยแม้แต่น้อย ความเบิกบานผาสุกปรากฏภายในใจของพวกนาง
วันนี้คือวันที่ฮวาชีเยว่จะต้องตาย!
คราวนี้ต้นหลงแดงอันล้ำค่าก็จะตกอยู่ในมือของพวกนาง แน่นอนว่าต้องนำมาสกัดเป็ยาเพิ่มพลังวังชาให้ได้ดื่มในทุกวัน
“ยอดเยี่ยม ในเมื่อพวกท่านมั่นใจแน่แล้วว่าข้าจะพ่ายแพ้ เหตุใดเราจึงไม่ลองลงขันเดิมพันกันสักหน่อยเล่า? หากข้าแพ้ข้ายอมจ่ายร้อยตำลึงเงินแก่ทุกคนที่เลือกลงข้างข้า แต่ถ้าข้าชนะพวกเ้าทุกคนต้องจ่ายข้าด้วยจำนวนร้อยตำลึงเงินเช่นกัน!” ฮวาชีเยว่ประกาศก้อง ั์ตาของนางฉายแววโง่เขลา
เสียงหัวเราะกลับดังลั่นขึ้นอีกระลอก
พวกเขาเห็นแจ้งถึงนิสัยต้มตุ๋นของฮวาชีเยว่ คงจริงที่สันดานนิสัยเก่าของนางตายจากไปแล้ว ฮวาชีเยว่เคยเป็สตรีอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง หากแต่ตอนนี้นางกลับกลายเป็นักต้มตุ๋นไปแล้วหรือนี่ “จุ๊ๆๆ ดูเหมือนไต้ซือเสวียนจีจะคาดการณ์พลาดไปเสียแล้ว”
“ย่อมได้ ข้าร่วมลงขันด้วย!”
สตรีนางหนึ่งะโลั่นขึ้นมาทันที
“ข้าก็เช่นกัน!”
“ข้าขอร่วมด้วย!”
ฮวาชีเยว่แสร้งกะพริบตาปริบปรอยขณะมองไปรอบกายอย่างใสซื่อไร้พิษสง “เพียงคำพูดมิอาจเชื่อได้ ข้า้ากระดาษสักแผ่น ใครอยากลงขันเดิมพันครานี้โปรดเขียนบันทึกด้วย!”
สิ้นสุดเสียงนางฝูงชนเริ่มครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
สิ่งที่ทุกคนกลัวมากที่สุดก็คือหากฮวาชีเยว่แพ้นางจะปฏิเสธจ่ายค่าเดิมพันเนื่องจากไร้หลักฐานมัดตัว พวกเขาเริ่มออกคำสั่งให้บรรดาบ่าวไพร่นำกระดาษ ถ้วยหมึก และพู่กันมาให้ ก่อนจรดเขียนหลักประกันอย่างประณีตแล้วมอบให้กับฮวาชีเยว่ รวมถึงสาวใช้ของนาง
ลู่ซินใบหน้าขาวซีดจากความตระหนก
แม้จะมีเงินทองไหลมาเทมาไม่หยุดั้แ่คุณหนูใหญ่ของนางมีสมุนไพรวิเศษนั่นไว้ใน ทว่าข้าแต่์เบื้องบน… ทั้งหมดนี้คือเงินเดิมพัน! หากแพ้ จากคำที่คุณหนูกล่าวไปนั้น… สกุลฮวาจะจ่ายเงินมากขนาดนั้นได้อย่างไร?
ไม่ปล่อยให้รอนาน ลู่ซินก็ได้ยินเสียงคำสั่งครั้งใหญ่ “ชิวอวิ๋น นำกระดาษเดิมพันเหล่านี้กลับไปที่จวนแล้วส่งต่อให้พ่อบ้านหวัง” ฮวาชีเยว่กล่าวอย่างสบายอกสบายใจ
ขณะออกคำสั่ง ฮวาชีเยว่เผยรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ช่างเป็อะไรที่น่าดูชมยิ่งนัก!
กลับกันด้านลู่ซินรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย ์! หากกระดาษเดิมพันส่งไปถึงพ่อบ้านหวัง เช่นนั้นก็หวนคืนสิ่งใดกลับมามิได้แล้ว!
ชิวอวิ๋นรับคำสั่งอย่างนอบน้อม หลังนางจากไปลู่ซินเองก็ได้รับกระดาษเดิมพันมากองใหญ่เช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้ลายมือบนกระดาษนั้นดูฉวัดเฉวียนและฉูดฉาดเหลือเกิน
“หนานอ๋อง... ์ทรงโปรด นี่เป็เดิมพันของหนานอ๋อง!”
ลู่ซินอุทานเมื่อนางเห็นพระนามและวันเวลาที่ระบุไว้บนกระดาษ ฮวาชีเยว่รู้สึกเบิกบานจากทุกสิ่ง นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าหนานอ๋องจะเลือกเดิมพันข้างตน
ฮวาชีเยว่เหลือบมองกระดาษแผ่นนั้น หนานอ๋องเดิมพันให้นางชนะแน่แล้ว!
หญิงสาวหันไปยังลานสูงพบหนานอ๋องนั่งอยู่ด้วยท่าทางสง่าผ่าเผย เมื่อสายตาทั้งสอง ดวงตาของฮวาชีเยว่นั้นเป็ประกาย หากแต่ดวงตาของหนานอ๋องนั้นยังคงเ็าราวกับน้ำแข็งก็ไม่ปาน ฮวาชีเยว่ชะงักด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าบุรุษผู้นี้คิดอะไรอยู่
หนานอ๋องแสดงตัวชัดเจนว่าไม่โปรดในตัวนาง ขนาดเคยเอ่ยปากไว้ว่าไม่ขอพบหน้านางอีกหลังอาการของเทียนซีดีขึ้น ทว่าตอนนี้เขากลับลงขันเดิมพันให้นางชนะหรือ?
“จุ๊ๆ ดูเหมือนว่าการเดิมพันครั้งนี้จะเป็ที่สนใจในหมู่องค์ชายมากโข” ฮวาชีเยว่คิด เนื่องจากสกุลจี้เป็ถึงตระกูลแห่งเทพโอสถ แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องเสด็จมาเยือนงานประลองยุทธ์ครั้งนี้ด้วยตัวพระองค์เอง สังเกตจากกองทัพองครักษ์กระจายอยู่ทุกที่เพื่อคุ้มกันหากมีภัยร้ายมาเยือนองค์กษัตริย์ เมื่อหนานอ๋องประเดิมลงขัน ไม่นานนักเหล่าองค์หญิงและองค์ชายก็มิอาจอยู่เฉยขอวางเดิมพันตามไปด้วย
กล่าวคือจำนวนของบรรดาองค์หญิงที่แอบมีใจให้หนานอ๋องนั้นนับได้ว่าเทียบเท่าจำนวนของบรรดาองค์ชายที่เหม็นขี้หน้าหนานอ๋องเลยก็ว่าได้
ลู่ซินหยิบกระดาษอีกกองขึ้นมา ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มาจากองค์หญิงและองค์ชายเ่าั้ทั้งสิ้น นี่นับเป็ของล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทองคำแท้เสียอีก!
มากไปกว่านั้นอวิ๋นสือโม่และเหล่าราชวงศ์ก็เดิมพันข้างนาง
เงินทองไม่ใช้เื่ใหญ่สำหรับพวกเขาแน่แล้ว
ทว่าเหตุที่คนเหล่านี้เลือกเดิมพันข้างฮวาชีเยว่อย่างจริงจัง มิใช่เป็เพราะหนานอ๋องประเดิมก่อนเช่นนั้นหรือ?
การประลองยุทธ์เริ่มขึ้นแล้ว รอบแรกมิใช่คู่ของฮวาชีเยว่และโอวหยางหลิวเอ๋อร์ การประลองของพวกนางนั้นอยู่ลำดับที่สิบ
การต่อสู้ของคู่แรกเป็การประลองที่ใช้พลังชี่ระหว่างบุรุษสองนาย ผู้เข้าแข่งขันนั้นมาจากตระกูลมีชื่อเสียง คนหนึ่งเป็บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้พิพากษา อีกหนึ่งเป็บุตรนอกสมรสของเสนาบดี
ในการแข่งขันเช่นนี้เป็ลูกเต้าเหล่าใครไม่สำคัญ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็เป็เพียงการลองเชิงวรยุทธ์และทักษะการต่อสู้ของแต่ละคนเท่านั้น ไม่ว่าผู้เข้าแข่งขันจะมาจากตระกูลใหญ่ มีแต่บุตรชาย ทั้งในและนอกสมรสก็จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม
ในทวีปเทียนหยวน ทุกคนให้ความสำคัญกับศาสตร์พลังชี่ ใครชำนาญการในศาสตร์นี้จะเป็ที่นับหน้าถือตา ทั้งยังมีอนาคตที่งดงามรออยู่
สำหรับตระกูลเศรษฐีใหญ่ความภาคภูมิใจและเกียรติยศนั้นสำคัญต่อบุตรนอกสมรสเช่นเดียวกัน หากลูกหลานนอกสมรสคนไหนมีฝีมือในศาสตร์พลังชี่ด้อยกว่าตระกูลอื่น ย่อมนำมาซึ่งความอับอายขายขี้หน้ายิ่งนัก
ฮวาชีเยว่ค่อย ๆ จิบชาพลางจับจ้องไปยังผู้ท้าประลองทั้งสองไม่ให้คลาดสายตา
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็ผู้ใช้ศาสตร์พลังชี่ขั้นหน่ออ่อน ในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีพวกเขาปะทะกันอย่างไม่ลดละ ร่างกำยำทั้งสองใกล้ชิดราวกับไม่อยากแยกจาก คราวนี้เป็ไปไม่ได้เลยที่จะจำแนกกลวิธีการต่อสู้ของพวกเขาอย่างละเอียด
ศาสตร์พลังชี่เน้นการควบคุมปราณของผู้ใช้ให้รวบรวมพลังจากภายในไว้ในมือก่อนใช้โจมตีศัตรู หากแต่กลวิธีการโจมตีนั้นขึ้นอยู่กับผู้ใช้ นั่นเป็ที่มาว่าทำไมศาสตร์พลังชี่จึงไม่มีรูปแบบตายตัว
กระนั้น สำนักและตระกูลน้อยใหญ่ใต้หล้ายังมิวายริเริ่มคิดค้นกระบวนท่าเฉพาะของตน เพื่อให้บรรดาศิษยานุศิษย์ฝึกฝนด้วยตัวเอง พวกเขาคิดว่าการฝึกศาสตร์พลังชี่เช่นนี้จะมีเสถียรภาพและคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดี
จากนั้นไม่นานก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น ปรากฏร่างของหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันกระเด็นขึ้นไปบนฟ้าจากการโจมตีด้วยหมัดเดียว ร่างนั้นลอยเคว้งอยู่พักใหญ่กระทั่งตกลงมากระแทกขอบสนามประลองอย่างจัง ขอบไม้บริเวณนั้นแหลกละเอียดเป็วงกว้าง
ด้วยเหตุใดก็มิทราบ บุรุษผู้โชคร้ายคนนั้นกลับมาลงเอยตรงเท้าของฮวาชีเยว่ นางก้มมองเืแดงก่ำที่ไหลออกมาจากปากของร่างที่กำลังกระตุกเกร็ง ดูเหมือนว่าอาการาเ็ของเขานั้นจะสาหัสพอควร
คนเจ็บถูกพาออกไปจากสนามเพื่อรักษาาแทันที
สนามประลองมีตายมีเจ็บเป็เื่ธรรมดา ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ภายในสนามอย่างผยองและภาคภูมิ
บนลานกว้างตรงข้ามฮวาชีเยว่พอดี อวิ๋นสือโม่โบกพัดในมืออย่างสุขุม เขามีนิสัยแปลกอยู่อย่างคือเมื่อใดก็ตามที่ออกมานอกจวน เขาไม่เคยรับสั่งให้สาวใช้ติดตามข้างกายเลยสักครั้ง อวิ๋นสือโม่มักออกมาจากจวนเพียงลำพัง มิฉะนั้นก็จะให้บ่าวชายติดตามมาแทน
ข้างกายของเขาคือหวงฝู่เซียนที่ปากเอ่ยคำบ่นไม่หยุด “พี่อวิ๋น ข้าไม่เข้าใจเหตุใดท่านจึงเป็เช่นนี้ สตรีแพศยานางนี้ไม่มีทางชนะหรอก ไยท่านจึงลงเดิมพันข้างนาง?”
อวิ๋นสือโม่ยิ้มอย่างใจเย็น “อีกประเดี๋ยวเราคงได้เห็นกัน”
ฮวาชีเยว่มิได้เป็ดังที่ข่าวลือว่าไว้ คราวก่อนนางลงมือจนเขาทรุดลงไปกับพื้นแล้วอ้างว่าเป็อุบัติเหตุ กระทั่งตอนนี้เขายังไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าปราณของนางจะสูญสิ้นไปอย่างไร้ร่องรอยได้อย่างไร
หวงฝู่เซียนแสยะยิ้มก่อนเหลือบไปยังฮวาชีเยว่ที่นั่งอย่างสงบเรียบร้อย นางยังคงนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้นโดยไม่สนใจสายตาของฝูงชนที่มองนางราวกับคนอื่นเป็ธาตุอากาศก็ไม่ปาน
ด้านอวิ๋นสือโม่เองก็ถูกจับจ้องด้วยสายตาของเหล่าองค์หญิงที่ไม่อาจห้ามใจให้ไม่มองอย่างรักใคร่มิได้