หลังจากโม่จ้านเข้าใจเื่ราวความเป็ไปพลันหัวเราะนานนับหนึ่งก้านธูป เขาเกือบจะกอดเครื่องนอนหัวเราะจนหายใจเร็วกว่าปกติ ตนคาดมิถึงแม้แต่น้อย พยายามยั่วยุเก๋อจือทว่ากลับมิเป็ผล ธุรกิจจัดหาคู่ที่ยากดำเนินต่อไปกลับจับผลัดจับผลูจบลงอย่างกะทันหันเพราะการถ่ายทอดสดดึงสะโพกเสียแล้ว
ปักกิ่งหลิวโดยมิตั้งใจ[1] คืออันใดงั้นหรือ? ตัวอย่างตัวเป็ๆ ก็อยู่ต่อหน้านี่เอง
เก๋อจือเอาหน้าแดงก่ำของตนมุดเข้าไปในผ้ามิยอมโผล่หน้าออกมาอีกครั้ง กระทั่งลาถีเท่อยังดึงมิออก สาเหตุเป็เพราะหลังจากลาถีเท่อเข้าใจต้นสายปลายเหตุพลันกลั้นขำล้มเหลว หลุดหัวเราะตามโม่จ้านจนน้ำตาไหล กระทั่งพบว่าเก๋อจือมีแนวโน้มจะเขินอายจนกลายเป็โมโหจึงได้หยุดลง
“โม่เจ๋อเอ่อร์ เ้ามีคนที่ชอบหรือไม่?”
เพราะเมื่อครู่คลุมผ้ามิดชิดเกินไป ริ้วแดงบนใบหน้าของเก๋อจือยังคงมิเลือนหาย ฝืนเอ่ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างทื่อๆ
“ข้าน่ะหรือ...”
ในหัวของโม่จ้านนึกภาพชีวิตของตนั้แ่ต้นจนจบหนึ่งรอบ กลับต้องตกตะลึงเมื่อพบว่ามิเพียงแต่ตนมิเคยมีความรัก นึกมิถึงว่ากระทั่งคิดก็ยังมิเคย
“...หากข้าบอกว่ามิมี พวกเ้าจะคิดว่าข้าผิดปกติหรือไม่?”
“ก็ไม่ หากอิงตามเื่ราวในชีวิตของเ้า หากมีถึงจะเรียกว่ามิปกติกระมัง” ลาถีเท่อหัวเราะแห้ง
...ดังนั้นจะบอกว่าเ้าโง่นั่นแต่งเื่อันใดให้เ้าฟังสินะ?
โม่จ้านมองไปทางเก๋อจือที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าดำทะมึน
เก๋อจือที่อยู่ด้านข้างขดกายไปอยู่ด้านหลังลาถีเท่อพร้อมกับพึมพำด้วยเสียงมิต่างกับแมลงที่แม้แต่ตนเองก็ยังมิได้ยิน “เดิมทีเ้าก็มิค่อยจะปกติอยู่แล้วนี่”
โม่จ้านเงยหน้ามองฟ้า ยอมรับโดยนัยว่าตนถือเป็พวกที่ “ไม่ปกติ” จริงๆ
ยามเด็กสิ่งที่เขาคิดบ่อยครั้งที่สุดคือทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่รอดจนเติบใหญ่ และหลังจากสกุลโม่รับไปเลี้ยง ความหวังสูงสุดของโม่จ้านก็แปรเปลี่ยนเป็ตอบแทนพระคุณญาติพี่น้อง ถึงแม้จะต้องใช้เงินทั้งหมดที่ตนหามาได้เพื่อรักษาพ่อแม่ที่เจ็บป่วยกะทันหันหรือจ่ายค่าเล่าเรียนของน้องสาวน้องชาย โม่จ้านก็มิเคยขมวดคิ้วแม้แต่ครั้งเดียว
หากรู้เสียแต่แรกว่าตนจะต้องตายก็มิน่าเปิดร้านอาหาร เงินในบ้านพอแค่ค่าเครื่องสำอางของน้องสาวคนเล็ก หากเอาเงินนั้นทิ้งไว้เป็เงินค่าสินสอดทองหมั้นของน้องชายก็คงจะดี เขาเคยเห็นแฟนของน้องสาว ภายนอกดูฉลาดมีความสามารถ ภายในรอบคอบเอาใจใส่ พวกเขาสองคนคงจะใช้ชีวิตร่วมกันได้เป็อย่างดีสินะ
น่าเสียดายที่มิมีโอกาสได้ไปร่วมงานแต่งเสียแล้ว หางตาของโม่จ้านเปียกชื้นเล็กน้อย เขาใช้หลังมือถูครู่หนึ่ง
ทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างได้เห็นถึงกับตะลึงตาค้างเสียแล้ว โม่เจ๋อเอ่อร์มักพูดจามิต่างกับผู้ใหญ่ กลิ่นอายยามลงมือทำสิ่งใดล้วนดูเป็ผู้ใหญ่มากกว่าคนทั่วไป ทว่าเพียงเพราะตนเอ่ยหนึ่งประโยค “เดิมทีเ้าก็มิค่อยจะปกติอยู่แล้ว” นึกมิถึงว่าจะร้องไห้ออกมาเสียแล้ว?
เก๋อจือที่ทำอันใดมิถูกรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น คิดอยากจะขอโทษแต่กลับมิรู้ว่าควรจะใช้เหตุผลใด หลังแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ครึ่งค่อนวันก็ยังมิอาจเอ่ยออกมาสักประโยค ลาถีเท่อดึงเก๋อจือที่ทำหน้าตื่นตระหนกออกห่าง รีบถอดกระโหลกศีรษะสัตว์ออกอย่างรวดเร็วก่อนก้มหน้าลง ส่งฝ่ามือข้างขวาของตนขึ้น้าก่อนจะวางลงบนข้อมือของโม่จ้าน
“เก๋อจือมิได้มีเจตนาร้าย ในอดีตอาจเกิดเื่มากมายที่ทำให้เ้าต้องเ็ป ลาถีเท่อกับเก๋อจือเคอซือมิมีเจตนาจะถามเจาะลึก อีกทั้งจะมิปฏิบัติในทางลบ พวกเรารู้สึกผิดต่อเื่นี้ หวังว่าท่านจะให้อภัยพวกเรา”
ท่าทีของลาถีเท่อเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง ถึงขั้นใช้คำพูดแสดงความเคารพ การกระทำเช่นนี้สื่อถึงการขอโทษในระดับสูงสุดตามธรรมเนียมของเผ่าหมาน แสดงออกถึงความเต็มใจที่จะสละแขนที่ใช้เพื่อความอยู่รอด เก๋อจือที่ตื่นตระหนกถูกลาถีเท่อกดศีรษะเอาไว้มิกล้าขยับเขยื้อน ด้วยกลัวว่าตนจะพูดผิดเพิ่มอีกสักคำ
โม่จ้านที่สติล่องลอยอยู่นอกฟากฟ้าเพิ่งจะกลับมารู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก มิคาดว่าหนึ่งการกระทำของตนจะนำพามาซึ่งท่าทีตอบสนองเช่นนี้ของคนทั้งสอง จึงทำได้เพียงลูบผมของคนทั้งสองเพื่อสื่อว่ามิเป็อันใด
“...อุ๊บ มิจำเป็ต้องจริงจังเพียงนั้น ข้าเพียงนึกถึงเื่เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น พวกเรานับได้ว่าเป็สหายกันแล้ว มิจำเป็ต้องใส่ใจการหยอกล้อในระดับนี้”
เมื่อเป็เช่นนี้สีหน้าของคนทั้งสองจึงผ่อนคลายลง ลาถีเท่อเหลือบมองเก๋อจือปราดหนึ่ง ผู้ที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ถดเข้าไปอยู่ในเงาของผู้ที่อยู่ด้านหน้าอย่างว่าง่ายโดยมิรู้ตัว
โม่จ้านแอบหัวเราะในใจ สองคนนี้น่าสนใจจริงๆ ลาถีเท่อคือผู้ที่เติบใหญ่มาในกิลด์ั้แ่เด็ก ถึงแม้ศักยภาพจะอ่อนแอ แต่มีความรู้กว้างขวาง มีความสามารถที่ดีในด้านการตัดสินใจ เมื่อเทียบกับเก๋อจือที่คุ้นเคยกับการให้ผู้อื่นเตรียมการให้ตนอย่างเหมาะสม เมื่ออยู่ด้านนอกกลับกลายเป็ฝ่ายเผด็จการ
“มิว่าจะครอบครัวหรือสหายล้วนมิอาจพบกันอีก มิสู้คิดว่าทำทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปดีกว่า”
โม่จ้านหัวเราะอย่างจนปัญญาแล้วบิดเอวไล่ความเกียจคร้าน
หากตายสนิทก็คงสิ้นเื่ ทว่ากลับใช้อำนาจบีบบังคับโยนตนมายังโลกที่ไร้ญาติขาดมิตร จะต้องเดินตามรอยชาติก่อนอีกงั้นหรือ?
น่าเสียดาย คาดว่าชาตินี้คงจะสาหัสเกินทนยิ่งกว่า คาดว่าคงมิมีผู้ใดกล้ารับเผ่าปีศาจไปเลี้ยงไว้ในบ้านกระมัง
ปากเอ่ยว่าอยากปล่อยวาง ทว่านั่นคือชีวิตที่ตนเคยประสบมาก่อน มีหรือจะง่ายดายเช่นนี้?
ขณะมองสีหน้าซับซ้อนของโม่จ้าน ในใจเก๋อจือถึงกับสะอึก ตนหันไปมองลาถีเท่อตาปริบๆ ลาถีเท่อมิเอ่ยสิ่งใดพลางลูบหลังโม่เจ๋อเอ่อร์เบาๆ
สถานการณ์ของคนตรงหน้าคล้ายคลึงกับตน ถึงขั้นอาจจะน่าเวทนากว่าตนเสียด้วยซ้ำ ยามนี้มิว่าจะเอ่ยสิ่งใดออกไป เกรงว่าคงจะสะกิดแผลในส่วนลึกของหัวใจอีกฝ่าย ในยามเช่นนี้ ในฐานะสหาย การอยู่เงียบๆ ข้างกายเป็เพื่อนอีกฝ่ายนับเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
โม่จ้านตบหน้าตนเองแรงๆ หลังสูดอากาศหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือกใหญ่พลันหันกลับมาคลี่ยิ้ม
“...เมื่อครู่ดูเหมือนจะหดหู่เกินไป เปลี่ยนหัวข้อกันเถอะ พวกเ้าคิดว่าข้าอายุเท่าใด?”
“สิบเจ็ด? สิบแปด? หรืออาจจะยี่สิบ?”
เก๋อจือมองพิจารณาใบหน้าของโม่จ้านอย่างมิค่อยมั่นใจนัก
“คำตอบของข้าก็มิต่างกับเก๋อจือเท่าใดนัก...เอ่อ”
ลาถีเท่อเกาหัวอย่างใช้ความคิด ตัดสินใจเอ่ยความคิดที่แท้จริงของตนเองออกไป
“แต่ดูจากท่าทางของเ้า มักทำให้ข้ารู้สึกเหมือนคุยกับท่านพ่อเฒ่าอายุสี่สิบกว่า”
ลมหายใจของโม่จ้านสะดุด ทั้งๆ ที่ตนเพิ่งจะสามสิบเอ็ดเท่านั้น! สามสิบเอ็ดเอง! วัยยังหนุ่มยังแน่น!
ครั้นเห็นว่าสีหน้าของโม่จ้านมิปกติ ลาถีเท่อรีบเอ่ยเสริม “คล้ายกับคนวัยกลางคนที่เป็ผู้ใหญ่ มีแรงกดดันและความเข้มงวดกวดขัน”
โม่จ้านยังคงถูกหนึ่งประโยคเสริมทิ่มแทงหัวใจจนรู้สึกเจ็บ ฝืนประคอง “รอยยิ้มอ่อนโยน” เอาไว้
“...เห็นทีข้าคงจะทำท่าทางเป็ผู้ใหญ่มากเกินไป ภายหน้าคงต้องเพิ่มความมีชีวิตชีวาสักหน่อย”
“แท้จริงแล้วข้าคิดว่าเ้าเป็เช่นนี้ก็ดีมาก”
เก๋อจือเกาแก้มพลางเงยหน้าขึ้น แววตาฉายแววจริงใจยิ่งนัก
“ได้รู้สึกว่าข้างกายมีผู้ที่พลังล้ำเลิศเช่นท่านอาหวาเอ่อร์ พวกเราวางใจนัก อีกอย่างเ้ายังทำกับข้าวอร่อยมาก”
โม่จ้านกลืนเืหนึ่งอึกลงไป หรือผู้อื่นเห็นตนเป็พ่อบ้านชราแล้วงั้นหรือ
“...หวังว่าพวกเ้าจะเข้าใจว่าในที่แห่งนี้ ผู้ที่มีพลังสูงสุดคือจอมเวทระดับกลางอย่างท่านเก๋อจือเคอซือ จุดมุ่งหมายในการเดินทางมาของพวกเราก็คือช่วยเขาทำภารกิจสำเร็จการศึกษา”
“เ้ามิต้องถ่อมตัวไป จอมเวทระดับกลางยอมรับในความเก่งกาจของเ้า มิเท่ากับยืนยันว่าเ้าเก่งกาจจริงงั้นรึ” เก๋อจือคลี่ยิ้มตาหยีพลางฉีกยิ้มฟันขาวทั้งปาก
“เอาล่ะๆ พวกเ้าจะคิดอย่างไรก็ได้ หากวันพรุ่งนี้โดนอินทรีสายฟ้าคาบไปข้าคงมิสนแล้ว” โม่จ้านปฏิเสธการถกเถียงกันต่อไปอย่างสุดกำลังแรงใจ
ทันทีที่เอ่ยถึงอินทรีสายฟ้า เก๋อจือพลันเริ่มถอนหายใจออกมา จากนั้นโยนคทาสั้นในมือทิ้งไปอีกด้าน
“กลับวกมาหัวข้อนี้อีกแล้ว เหนื่อยจะตายแล้วยังต้องใช้สมองอย่างหนักอีก สลากที่พวกหม่าเค่อจับคือภารกิจหนังหมูป่ากลายพันธุ์ สำเร็จภารกิจไปั้แ่เมื่อหนึ่งเดือนก่อนแล้ว”
“ยิ่งยากยิ่งมีความท้าทาย ยิ่งมีคุณค่าสักหน่อยก็ดีมิน้อย”
โม่จ้านมองเก๋อจือด้วยสีหน้าดำทะมึนอีกครา ข่มขู่จนเด็กหนุ่มผมแดงถอยกรูด
“นอกจากนั้นผู้ที่เหนื่อยแทบตายและยังต้องใช้สมองอย่างหนักั้แ่ต้นจนจบ เหมือนจะเป็คนผู้นั้นที่อยู่ข้างเ้ากระมัง?”
ลาถีเท่อยิ่งหัวเราะชอบใจเมื่อได้ฟังเช่นนั้น โอบเก๋อจือที่รีบหลบอย่างรวดเร็วเข้าสู่อ้อมกอด “ถึงอย่างไรพวกเราก็คบหากัน จะเป็อันใดไป”
โม่จ้านถึงกับเข็ดฟันทันใด นี่ยังเป็เด็กหนุ่มเผ่าหมานที่เงียบขรึมและสุขุมผู้นั้นงั้นหรือ? หลังถูกสารภาพรักกระทั่งกลิ่นอายยังต่างออกไป
“อยากจะเป็เหมือนพวกเผ่าปีศาจ มีพร์ด้านพลังเวทั้แ่กำเนิด”
เก๋อจือซุกอยู่ในอ้อมกอดของลาถีเท่อ เอ่ยเสียงดังทว่าทุ้มมิต่างกับคนแก่
“เผ่าปีศาจ...มีพร์ด้านพลังเวทมาแต่กำเนิด?” โม่จ้านรับรู้ถึงข่าวคราวใหม่ได้อย่างว่องไว “เผ่าปีศาจทุกตนเลยหรือ?”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินเหล่าจอมเวทในโรงเรียนบอกว่า พลังิญญาของเผ่าปีศาจมีข้อได้เปรียบั้แ่กำเนิด สามารถััและควบคุมพลังธาตุของเวทมนตร์ได้ตาม้า นำพาพวกมันเข้าสู่ร่างกาย ขณะที่คนจำนวนมากกลับใช้พลังเวทผ่านไม้คทาและคาถาเท่านั้น”
หัวใจที่เพิ่งฮึกเหิมของโม่จ้านจมดิ่งลงอีกครั้ง ตนคือิญญามนุษย์อย่างจริงแท้แน่นอน มิน่าเล่าตนจึงมิอาจััพลังธาตุของเวทมนตร์
“มิเพียงเท่านี้ กล่าวกันว่ายามร่างกายของเผ่าปีศาจควบคุมพลังธาตุของเวทมนตร์ ระดับความแม่นยำยังมากกว่ามนุษย์อย่างมาก เรียกได้ว่าเป็พร์ที่เทพประทานเลยทีเดียว”
ช่างเถอะ ยามนี้ได้ล้มเลิกความคิดอย่างสิ้นเชิง
โม่จ้านหวนนึกถึงจุดจบแสนเศร้ายามที่ตนใช้ก้อนหินเขวี้ยงผลไม้ในป่า รู้สึกหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออก ความแม่นยำของตนยังเทียบกับมนุษย์ทั่วไปมิได้ด้วยซ้ำ ต่อให้สามารถฝืนควบคุมพลังเวทได้ กระนั้นเกรงว่าะุพลังเวทคงจะหล่นอยู่รอบตัวศัตรู
เชิงอรรถ
[1] ปักกิ่งหลิวโดยไม่ตั้งใจ 无心插柳 หมายถึงเกินคาดหมาย เกิดกว่าที่คาดหวังเอาไว้ เช่นไม่ได้ตั้งใจปักกิ่งหลิวแต่ต้นหลิวกลับเติบโตได้ดี