โม่จ้านยืนอยู่ริมหน้าผา ในมือกำคัมภีร์ะเิมิกี่เล่ม
ลาถีเท่อให้ตนยืนอยู่บนยอดเขา เมื่อได้ยินเสียงะโจึงค่อยคลี่คัมภีร์โยนไปยังกองหินตรงหน้า เห็นทีลาถีเท่อคงเตรียมจะล่ออินทรีสายฟ้าเข้าไปในถ้ำ จากนั้นใช้ก้อนหินปิดปากถ้ำเพื่อป้องกันมิให้มันหนีไป แต่ทว่าด้วยพละกำลังของอินทรีสายฟ้า การพุ่งชนก้อนหินให้เปิดออกมิน่าจะเป็ปัญหา ลาถีเท่อมิมีทางนึกมิถึงเื่นี้กระมัง
ด้วยระยะห่างค่อนข้างมาก โม่จ้านทำได้เพียงเพ่งมองจึงเห็นว่าลาถีเท่อลากสัตว์ป่าโชกเืมาตัวหนึ่ง ทำให้รอยเืหยดเป็ทางไปถึงในถ้ำ หลังเก๋อจือกับลาถีเท่อพูดคุยกันครู่หนึ่งจึงเดินเข้าไปในถ้ำด้วยกัน
โม่จ้านเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ ถึงเวลาอินทรีสายฟ้าออกจากรังเพื่อล่าเหยื่อแล้ว
มินานนัก เงาของอินทรีสายฟ้าตัวหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในป่า บินไล่ตามรอยเืมายังหน้าถ้ำ
อินทรีสายฟ้าลังเลอยู่หน้าถ้ำครู่หนึ่ง ยังบินสังเกตการณ์รอบหน้าผาอีกหลายรอบ ท้ายที่สุดยังคงทนกลิ่นเย้ายวนของเืสัตว์มิไหวเอาหัวมุดเข้าไป โม่จ้านตั้งท่าเตรียมไว้เรียบร้อย กลั้นหายใจรวมสมาธิรอสัญญาณเสียงจากเก๋อจือ
ทว่าความเงียบกินเวลานานในถ้ำทำให้โม่จ้านคิดว่าเกิดเื่อันใดขึ้นด้านใน ใจเริ่มรู้สึกลังเล ทันใดนั้นหนึ่งเสียงผิวปากพลันดังมาจากก้นหน้าผา โม่จ้านปลดเชือกทันทีก่อนโยนม้วนคัมภีร์ไปทางกองหินจะล้มแหล่มิล้มแหล่
คัมภีร์เพียงม้วนเดียวมิมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนั้น ทว่าเมื่อคัมภีร์มิกี่ม้วนรวมกันก็พอจะเห็นผลลัพธ์เสียแล้ว หลังเสียงะเิดังสนั่น กองหินเสมือนเขาลูกเล็กคล้ายกับถูกคนผลักเข้าไปด้านใน ก้อนหินขนาดน้อยใหญ่กลิ้งลงไปตามเนินลาดชัน เสียงดังสนั่นดังขึ้นและตามมาด้วยพื้นดินสั่นไหว ในขณะเดียวกัน ยังมีก้อนหินบนยอดเขาจำนวนหนึ่งที่กลิ้งกลับด้านมาทางโม่จ้านเพราะเสียหลักค้ำยัน
โม่จ้านเบี่ยงกายหลบหินที่กลิ้งมาทางตนมิกี่ก้อน ทว่ากลับถูกฝุ่นละอองลอยคว้างบดบังทัศนวิสัยโดยมิทันระวัง หากมิใช่เพราะเงาของก้อนหินภายใต้แสงอาทิตย์สามารถใช้เป็เครื่องเตือนภัยล่วงหน้า คาดว่าหากเกิดโชคมิดีขึ้นมาตนคงถูกหินทับจนเป็อัมพาตครึ่งซีก
เมื่อนึกถึงประโยค “เพียงโยนม้วนคัมภีร์เป็พอ” ในก่อนหน้านี้ของลาถีเท่อ โม่จ้านที่ตีลังกากลับไปกลับมาจนเหนื่อยหอบรู้สึกโมโหจนถึงกับเข็ดฟัน
“ดินถล่มที่มนุษย์สร้างขึ้น” ขนาดใหญ่ทำลายสรรพสิ่งเป็เวลากว่าชั่วอึดใจก่อนจะยอมปิดฉากลง โม่จ้านเดินขึ้นไปบนยอดเขาแล้วมองลงไปด้านล่าง ฝุ่นละอองลอยฟุ้งตลอดทางเนินลาดยังมิสงบ ทำได้เพียงฝืนเพ่งมองจนพบว่าก้อนหินโดยส่วนมากลงไปกองอยู่หน้าปากถ้ำแล้ว
...คงจะนับได้ว่าสำเร็จแล้วกระมัง?
โม่จ้านปัดดินบนตัว จากนั้นสาวเท้าวิ่งลงไปยังด้านล่างเขา
ยามนี้ภายในถ้ำยุ่งเหยิงระเกะระกะไปหมด
อินทรีสายฟ้าบินอยู่กลางอากาศพลางจ้องมองคนทั้งสองเพื่อคุมเชิง หินก้อนเล็กก้อนใหญ่ล้วนแต่บังหน้าปากถ้ำเอาไว้ กระนั้นแสงที่โผล่จากช่องว่างกลับมิใช่แสงอาทิตย์ ทว่าเป็เปลวเพลิง
ทันทีที่หินกลิ้งลงมา ลาถีเท่อมั่นใจว่าอินทรีสายฟ้ามิกล้าบินฝ่าออกไป ดังนั้นคนทั้งสองจึงโยนคัมภีร์เพลิงออกไปด้านนอก รอกระทั่งฝุ่นควันสงบลง เปลวเพลิงที่ลุกโชนพลันปิดซอกหินเอาไว้ทั้งหมด นอกจากนั้นเพราะอินทรีสายฟ้ากลัวไฟและอุณหภูมิสูง มิมีทางพาร่างกายของตนเข้าไปเสี่ยงพุ่งชนปากถ้ำ
ขณะมองิัมีประกายสายฟ้าซ่อนเร้น เก๋อจือรู้สึกหวั่นใจอยู่บ้าง ถึงแม้เมื่อก่อนตนจะเคยเห็นสัตว์ปีศาจในโรงเรียนมามิน้อย ทว่านี่นับเป็การเผชิญหน้ากับสัตว์ปีศาจป่าตัวโตเต็มวัยครั้งแรก
เก๋อจือตั้งสมาธิ ยกคทาสั้นชี้ไปทางอินทรีสายฟ้าที่อยู่กลางอากาศและเริ่มร่ายคาถา
ตามด้วยเวทธาตุไฟที่รวมตัวกัน ศรไฟทั้งสามดอกเพิ่มความเร็วท่ามกลางอากาศ พุ่งตรงไปยังหัวของอินทรีสายฟ้า อินทรีสายฟ้าหมุนตัวเป็วงกลมสองตลบหลบเลี่ยงศรไฟอย่างชาญฉลาด สายฟ้าเส้นหนามิกี่สายตรงไปทางเก๋อจือ เก๋อจือกวัดแกว่งไม้คทา โล่ที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุไฟปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ ป้องกันการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ ทั้งสองฝ่ายเ้ารุกข้ารับ กระบวนท่าที่ใช้ล้วนแต่เป็เวทมนตร์ขนาดเล็กที่ว่องไว เมื่อเทียบกับการประลองเวท กลับเหมือนการหยั่งเชิงก่อนจะออกกระบวนท่า
อย่างไรก็ตาม เพียงแต่ผ่านไปมิถึงจิบชา การต่อสู้พลันเริ่มเข้าขั้นดุเดือด ศรและโล่ที่เกิดจากการรวมตัวของธาตุไฟบินลอยอยู่กลางอากาศ เมื่อปะทะเข้ากับธาตุสายฟ้าพลันสะท้อนแสงสว่างแยงตาไปทั่วทั้งถ้ำ ประกายสายฟ้ารอบตัวอินทรีสายฟ้าบินดิ่งหมายจะโจมตีเก๋อจือหลายต่อหลายครั้ง ทว่ากลับถูกเก๋อจือใช้โล่กำบังและม่านไฟสะท้อนกลับไป
อินทรีสายฟ้ารับรู้ได้ว่ามนุษย์ตรงหน้ายากรับมือยิ่งนัก หนึ่งเสียงเล็กแหลมลากยาว ขนทั้งตัวพลันสยายออก เก๋อจือััได้ถึงความผิดปกติของธาตุสายฟ้า พลันโยนลูกไฟใหญ่ออกไป คิดอยากจะขัดจังหวะพลังเวทของอีกฝ่าย
ทว่ากลับนึกมิถึงแม้แต่น้อยว่าอินทรีสายฟ้าจะหุบขนภายในเสี้ยววินาทีแล้วพุ่งมายังข้างกายเก๋อจือด้วยความเร็วมิต่างจากดาวตก ก่อนจะจิกไปทางใบหน้าของเก๋อจือคราหนึ่ง เก๋อจือถูกโจมตีจนตั้งรับมิทัน ร่างกายซวนเซและถูกแรงลมที่ปีกอินทรีสายฟ้านำพามาพัดให้ล้มลงกับพื้น ตามด้วยหนึ่งเสียงร้องในลำคอด้วยความเจ็บ จะงอยปากแหลมคมกรีดผ่านลาดไหล่ของเด็กหนุ่มผมแดง ทิ้งหนึ่งรอยแผลที่ทั้งยาวและลึกเอาไว้
จอมเวทหนุ่มที่ได้รับาเ็ยกมือกุมปากแผล ใช้คทาสั้นค้ำยันพื้นเพื่อหยัดยืนขึ้น
อินทรีสายฟ้าบินวนครึ่งวงกลมตามด้วยพัดสายฟ้าสองสายออกมา เก๋อจือที่จนตรอกอย่างยิ่งรีบกลิ้งหลบได้อย่างหวุดหวิด ตอบกลับโดยการโยนใบมีดวายุไปทางอินทรีสายฟ้า อินทรีสายฟ้าเบี่ยงหลบอีกครั้ง กระพือปีกร่อนลงผืนดิน ในที่สุดก็รับรู้แล้วว่าพลังเวทที่ตนภาคภูมิใจมิได้เหนือกว่าสัตว์ประหลาดหัวแดงตรงหน้า จึงหุบขนแล้วพุ่งเข้าใส่เก๋อจืออีกครา คิดอยากจจะใช้ประโยชน์จากความเร็วที่เหนือกว่าจัดการให้จบสิ้นในคราวเดียว
เฮ้อ ผลคือการต่อสู้ซึ่งหน้ามิอาจเอาชนะได้จริงๆ...
เก๋อจือถอนหายใจ รีบก้าวถอยหลังพลางคลำทางไปยังมุมผนังถ้ำอย่างรวดเร็ว ปากร่ายคาถา หรี่ดวงตามองอินทรีสายฟ้าที่จู่โจมเข้าหาตน
สาม สอง หนึ่ง ออกแรง!
เก๋อจือกัดฟัน ดึงปลายเถาวัลย์ที่วางไว้ข้างผนัง พื้นหญ้าและเครือเถาวัลย์ทั้งเส้นพลันเด้งขึ้นใต้เท้า ขัดขวางการจู่โจมเบื้องหน้าอินทรีสายฟ้า อินทรีสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงมิได้เตรียมป้องกันแม้แต่น้อย ถูกฟาดเข้าที่ท้องอย่างแรง มันถึงกับเจ็บจนต้องขดกาย
คำสุดท้ายของคาถาถูกร่ายออกมา ภายใต้การชักนำของคทา วงเวทย์สีแดงเพลิงเริ่มชัดเจนยิ่งกว่าเก่า มือทั้งสองข้างของเก๋อจือกำคทาไว้มั่น มิคาดว่าจะกระโจนเข้าไปหาอินทรีสายฟ้าที่ร่วงหล่นลงไปด้านล่าง
“นกโง่ เพลิดเพลินกับพันธะอัคนีที่ผ่านการปรับแก้ครั้งแรกของคุณชายน้อยเช่นข้าดูเถิด!”
พันธะอัคนีคือการใช้ธาตุไฟที่ไหลเวียนอย่างรวดเร็วกักขังศัตรูไว้ด้านใน หากขัดขืนจะถูกไฟแผดเผาจนได้รับาเ็ นอกจากนั้นทันทีที่พลาด สัตว์ก็จะดิ้นรนจนหลุดออกมาได้โดยง่าย แต่คล้ายเก๋อจือจงใจเบี่ยงศูนย์กลางวงเวทย์ออกจากตัวอินทรีสายฟ้า กลับเพ่งเล็งไปยังศีรษะของมันอย่างแม่นยำ
ธาตุไฟที่ไหลเวียนมิหยุดนิ่งล้อมรอบร่างกายครึ่งบนของอินทรีสายฟ้า ร่างกายครึ่งล่างกลับมิถูกห่อหุ้มด้วยความร้อนระอุ อินทรีสายฟ้าที่ร่อนลงพื้นรู้สึกคล้ายตนยังมีหวังในการหนีรอดจึงเริ่มดิ้นรนขัดขืน
เก๋อจือคุกเข่าลงบนพื้น ใช้มือที่ถือไม้คทาค้ำลงบนพื้นอีกด้าน จากนั้นใช้อีกมือหนึ่งคว้าขนบริเวณหางของอินทรีสายฟ้าหนึ่งกำมืออย่างรวดเร็ว คล้ายกับแทบจะในขณะเดียวกัน อินทรีสายฟ้าดิ้นหลุดจากพันธนาการ ดวงตาสีแดงจดจ้องศัตรูที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโมโห
“ปัง! ปัง!! ปัง!!!”
ท่ามกลางสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน โม่จ้านโยนคัมภีร์ะเิอีกสองม้วนอยู่นอกถ้ำ ภายในถ้ำสั่นะเืฉับพลัน หินตรงปากถ้ำถูกะเิเป็เสี่ยงๆ แสงอาทิตย์นอกถ้ำสาดส่องเข้ามาด้านใน สามารถเห็นกระทั่งใบหน้าของอินทรีสายฟ้าอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
เก๋อจือลอบยินดี อินทรีสายฟ้าที่ตื่นตระหนกมองไปทางแสงตะวัน มันจะต้องบินตรงออกไปนอกถ้ำอย่างแน่นอน
ทว่าทันใดนั้นกลับเกิดเหตุมิคาดฝัน
อินทรีสายฟ้าดวงตาแดงก่ำมิได้หนีไป ทว่าหันกลับมากระโจนใส่เก๋อจือที่อยู่ด้านหลัง กรงเล็บแหลมคมตวัดไปทางดวงตาคู่หนึ่งของเก๋อจือ สมองเก๋อจือขาวโพลน กระทั่งปฏิกิริยาตอบสนองเช่นการกำบังก็ยังมิมี ได้แต่มองกรงเล็บแหลมคมพุ่งตรงมายังั์ตาของตน
ภายใต้สถานการณ์คับขัน ลาถีเท่อส่งเสียงร้องคำรามและกระโจนออกมาจากมุมมืด จัดการต่อยอินทรีสายฟ้าด้วยหนึ่งหมัดอย่างเต็มแรง อินทรีสายฟ้าถูกหนึ่งหมัดจู่โจมอย่างกะทันหันจนสมองมึนเบลอ ร่วงลงพื้นพลางกระตุกมิกี่ครั้ง ท้ายที่สุดบินออกไปนอกถ้ำอย่างโซซัดโซเซ
เก๋อจือที่เพิ่งรอดชีวิตจากภัยพิบัติมือเท้าทั้งสี่เย็นเฉียบ มองไปทางลาถีเท่อที่ใมิน้อยเช่นกันทั้งน้ำตา อารมณ์ของลาถีเท่อฉายแววตื่นตระหนกอย่างยิ่ง มือทั้งสองข้างที่ข้อกระดูกชัดเจนคว้าคอเสื้อของจอมเวทแล้วดึงเก๋อจือมาตรงหน้า ภายในแววตาเปี่ยมด้วยความโมโหและความเป็ห่วงที่มิอาจควบคุม
“เ้าทำอันใด? มิได้ตกลงกันแล้วหรือว่าหลังจากได้ขนนกก็ให้รีบไปหลบในส่วนลึกของถ้ำแล้วโยนม้วนคัมภีร์?!”
ไอหยา ผ่านมานานถึงเพียงนี้เพิ่งจะเคยเห็นลาถีเท่อบันดาลโทสะครั้งแรก
โม่จ้านเอนพิงปากถ้ำ ภายในดวงตาฉายแววซุบซิบ ท่าทางมิต่างกับชาวบ้านเข้ามามุงดู
“ขอ ขอโทษ...ข้าได้ใจจนลืมตัวไป...เ้า เ้าอย่าโกรธเลยได้หรือไม่...”
แท้จริงแล้วเก๋อจือก็เพิ่งเคยเห็นลาถีเท่อโมโหถึงเพียงนี้เป็ครั้งแรก เขาลุกลี้ลุกลนจนมิรู้ว่าจะเอามือไม้ไปวางไว้ที่ใด
“เฮ้อ...ช่างเถิด ข้าจะช่วยพันแผลให้เ้า”
ลาถีเท่อทำท่าทางอึกอักก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ จ้องมองแผลที่ยังมีเืไหลออกมาบนบ่าของเก๋อจือด้วยความปวดใจอย่างยิ่ง
“เอาเถอะ ข้าจะช่วยพูดให้จบแทนเขาเอง”
โม่จ้านส่ายหน้าแล้วสาวเท้าเข้ามา ตามด้วยโยนกล่องปฐมพยาบาลให้ลาถีเท่อ
“เก๋อจือ เมื่อความรู้ในการต่อสู้ของเ้าไล่ตามพลังเวทได้ทัน นั่นจึงจะนับได้ว่าเ้าเป็จอมเวทระดับกลางอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นเ้าก็เป็เพียงเครื่องแปลงพลังเวทเป็อาวุธจำนวนมาก มิได้ต่างอันใดกับตะเกียงวิเศษหรือเตาวิเศษพวกนั้นสักนิด”
“...ข้ามิมีทางพูดแรงเช่นนั้น!”
ลาถีเท่อตัดผ้าพันแผลพลางเงยหน้าขึ้นแย้งโม่จ้าน
...เช่นนั้นหมายความว่าใจความสำคัญถูกต้องอย่างนั้นรึ?
เก๋อจือเบะปากอย่างมิค่อยพอใจนัก
ถูกคนสองคนที่มิรู้วิชาเวทสั่งสอน อีกทั้งยังจี้ใจดำ ช่างเป็ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายดีเสียจริง