หมู่บ้านสือโถวอยู่ใกล้ตัวอำเภอมากกว่าหมู่บ้านหวัง ระยะทางไปกลับประมาณสิบลี้
ใน่บ่าย จางต้าหู่ก็ไปขายข้าวปั้นที่หน้าประตูอำเภอ
แม้ว่าข้าวปั้นผักที่จางต้าหู่ปั้นจะไม่สวยเหมือนของหลี่ชิงชิง ไม่ได้ใส่เกลือและไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่เขาก็ลดราคาข้าวปั้นลงด้วย
ข้าวปั้นผักหนึ่งก้อนเพียงหนึ่งเหรียญทองแดงเท่านั้น เช่นนี้เงินสิบเหรียญทองแดงก็สามารถซื้อข้าวปั้นผักได้สิบก้อน
ราคาที่ต่ำทําให้ข้าวปั้นผักของจางต้าหู่ขายดีเป็พิเศษ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ขายหมดเกลี้ยง ทําเอาพ่อค้าแม่ค้าในตลาดอิจฉาจะแย่แล้ว
ทันใดนั้นมีชายชราหลังค่อมขายฟืนผู้หนึ่งที่มักจะมาที่ตลาดบ่อยๆ เอ่ยถามกับคนอื่นๆ ว่า “เ้าหนุ่มจากหมู่บ้านสือโถวผู้นั้นช่างทำการค้าเก่งจริงๆ ตอนเช้าเพิ่งเห็นว่ามีคนขายข้าวปั้น ตอนบ่ายก็เรียนรู้จนทํามาขายได้แล้ว”
คนอื่นๆ หัวเราะพลางเอ่ยถาม “ท่านลุง เหตุใดท่านไม่ทําข้าวปั้นขายเล่า?”
ชายชราหลังค่อมส่ายศีรษะ “ฝีมือการทําอาหารของข้าไม่ดีนัก อาหารที่ทำไม่อร่อย ให้ทำข้าวปั้นเกรงว่าจะขายไม่ออกจนเสียของเอาได้”
จางต้าหู่กลัวว่าจะมีคนทําตาม ไม่ว่าผู้ใดจะเข้ามาถาม เขาก็มักแสร้งทำเป็ไม่รู้ไม่เห็นและรีบร้อนกล่าวว่า “ที่ข้าทําข้าวปั้นได้ก็เป็เพราะผัดข้าวมาหลายปี มีความเข้าใจต่อข้าวเป็อย่างดี”
เพียงแต่ทุกคนล้วนไม่ได้โง่เขลา น้อยนักที่จะมีคนเชื่อคำพูดของเขา
หลายคนที่ทำการค้าเสร็จแล้ว หลังจากกลับถึงบ้านก็เริ่มลงมือทำข้าวปั้นเช่นเดียวกัน
ชายขายไข่ผู้นั้นยัง้าสร้างสรรค์สิ่งแปลกใหม่ เขาเปลี่ยนจากผักสดเป็ไข่ไก่ ทําเป็ข้าวปั้นไข่ ตั้งใจจะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดในวันพรุ่งนี้
ยามพลบค่ำ กลุ่มควันจากปล่องเตาเผาของคนในหมู่บ้านหวังลอยพลิ้วไปตามสายลม
อาหารเย็นของตระกูลหวังเตรียมเสร็จแล้ว ขณะที่ครอบครัวกําลังเตรียมจะกินข้าวบนโต๊ะอาหาร ก็ได้ยินเสียงดังกังวานของบุรุษผู้หนึ่งดังมาจากนอกลานบ้าน “หวังจื้อ บิดาของเ้าอยู่บ้านหรือไม่?”
หวังจื้อไม่ได้ลุกขึ้น นั่งอยู่บนตั่งนั่งพลางตอบเสียงดัง “ท่านอาเจ็ด ท่านพ่อของข้าอยู่ในบ้านขอรับ”
ชายชราหน้าดํารูปร่างผอมแห้งไม่สูงเดินผ่านลานบ้านไปยังห้องโถง ในมือซ้ายของเขาถือชามใส่ข้าวต้ม มือขวาถือตะเกียบ
ผู้มาเยือนมีนามว่าหวังชี เขาเป็ลูกพี่ลูกน้องของผู้เฒ่าหวัง และเป็ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหวังควบตำแหน่งผู้นำตระกูลของตระกูลหวัง
หวังชีอายุน้อยกว่าผู้เฒ่าหวังหนึ่งปี หน้าตาคล้ายคลึงกันถึงสามส่วน ทว่ารูปร่างเตี้ยและผอมกว่าผู้เฒ่าหวัง หน้าตาไม่ดีเท่าผู้เฒ่าหวัง และดูอายุมากกว่าผู้เฒ่าหวังอยู่หลายปี
หวังชีเข้ามาทักทายหลิวซื่อ จากนั้นก็มองไปยังอาหารบนโต๊ะ โอ ข้าว พริกผัดฟักทอง อาหารล้วนดีกว่าที่บ้านของพวกเขาไม่น้อย
หลายครั้งที่ผ่านมา เขามาที่บ้านของผู้เฒ่าหวัง และพบว่าอาหารของบ้านพวกเขาดีขึ้นมาก
ผู้อ่อนาุโทั้งหลายเอ่ยต่อหวังชีอย่างพร้อมเพรียงกัน “สวัสดีท่านอาเจ็ด”
“ภรรยาหวังเฮ่าเป็คนทำอาหาร เ้าลองชิมดู” น้ำเสียงของผู้เฒ่าหวังมีความภูมิใจเล็กน้อย ยกชามไม้ที่ใส่พริกผัดฟักทองมายังเบื้องหน้าหวังชีอย่างกระตือรือร้น
หวังชีไม่เกรงใจ ใช้ตะเกียบคีบฟักทองและพริกหลายชิ้นจากชามไม้ เขากินฟักทองไปหนึ่งคำ รสััของฟักทองเหนียวนุ่ม มีรสเค็มและหวานจากฟักทอง พริกไม่ได้ผัดนาน รสชาติของอาหารอร่อยล้ำกว่าที่ลูกสะใภ้ของเขาทํายิ่งนัก
หลิวซื่อเอ่ยถาม “เ้าจะกินข้าวด้วยหรือไม่?”
“ไม่กิน” หวังชีมองโต๊ะหนึ่งสิบคน เบียดเสียดกันมากแล้ว เขากินฟักทองอีกหนึ่งชิ้นอย่างรวดเร็ว จึงเปิดปากกล่าวถึงเื่หลัก สายตามองไปที่ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยา ก่อนเอ่ยถามว่า “พรุ่งนี้เหลนชายของบ้านพี่ใหญ่จะจัดพิธีฉลองครบเดือนทารก ครอบครัวพวกเ้าจะให้เงินเท่าใด?”
ตระกูลหวังเป็ตระกูลใหญ่ หมู่บ้านหวังสี่สิบกว่าครอบครัวส่วนใหญ่เป็คนตระกูลหวัง และยังมีคนในตระกูลอีกหลายครอบครัวที่ย้ายไปตั้งถิ่นฐานในอําเภอและตําบล
แิเื่วงศ์ตระกูลของแคว้นต้าถังนั้นเข้มแข็งเป็อย่างยิ่ง ความสัมพันธ์รักใคร่ของคนในวงศ์ตระกูลก็สําคัญยิ่งนัก
เื่งานมงคลและงานไว้ทุกข์ไม่ต้องเอ่ยถึง พิธีฉลองครบเดือนทารก ฉลองครบสิบปี พิธีเกล้าผมปักปิ่นของเด็กสาว พิธีฉลองบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุครบสิบสี่ปี พิธีฉลองอายุยืนผู้าุโ สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องมอบเงินของขวัญ และแน่นอนว่ามีการกินเลี้ยงที่บ้านเ้าของงาน
เมื่อวานตอนเย็นหวังชีก็มา แต่ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาไม่อยู่บ้าน วันนี้เขาจึงมาอีกครั้งเพื่อเอ่ยเตือนเื่นี้โดยเฉพาะ
“สิบเหรียญทองแดง” หลิวซื่อเอ่ยถามอย่างเป็ธรรมชาติ “บ้านของพวกเ้าเล่า?”
หวังชีกล่าว “เช่นนั้นบ้านข้าก็ให้สิบเหรียญทองแดงเช่นกัน”
หลิวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา “ตอนหวังเฮ่ากับชิงชิงแต่งงาน บ้านพวกข้าจัดงานเลี้ยงมงคลสมรส บ้านพี่ใหญ่ให้มาสิบเหรียญทองแดง”
น้ำใจมนุษย์คือเ้าให้มาข้าให้กลับ
ภายใต้ฐานะทางครอบครัวเท่ากัน ผู้อื่นให้ของขวัญแก่ตระกูลหวังมากน้อยเท่าใด หลิวซื่อก็มอบให้ผู้อื่นมากน้อยเท่านั้น
หวังชีเอ่ยถามอีกว่า “บ้านท่าน ผู้ใดจะไปร่วมงานเลี้ยง?”
ผู้เฒ่าหวังหัวเราะเหอๆ ทันทีและเอ่ยถาม “ชิงชิง เ้าไปหรือไม่?”
แม้ว่าในงานเลี้ยงจะไม่มีเนื้อสัตว์ แต่ก็มีไข่ไก่อยู่ งานกินเลี้ยงย่อมเป็เื่ดีๆ
“ข้าคงไม่ไปแล้ว” หลี่ชิงชิงกล่าวน้ำเสียงนุ่มนวล “ให้น้องสาวไปเถิดเ้าค่ะ”
ก่อนหน้านี้ได้หารือกันแล้วว่า พรุ่งนี้ผู้เฒ่าหวังสามีภรรยาและหวังจื้อพี่น้องจะเข้าอําเภอ ส่วนคนที่อยู่บ้านนั้น จางซื่อกําลังตั้งครรภ์ ไม่ควรไปสถานที่ที่มีคนเยอะ เด็กน้อยสามคนอายุยังน้อยไม่อาจเป็ตัวแทนของตระกูลหวังได้ ดังนั้นจึงมีเพียงหวังจวี๋เท่านั้น
หวังจวี๋มีนิสัยเก็บตัว ควรเข้าร่วมงานของวงศ์ตระกูลให้มากขึ้นเพื่อพบปะกับคนในตระกูล
“พี่สะใภ้สามไปเถิดเ้าค่ะ” หวังจวี๋คิดว่าหลี่ชิงชิงจะชอบเื่อะไรทำนองนี้ สามารถปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งวงศ์ตระกูลและได้กินอาหารดีๆ แต่คิดไม่ถึงว่านางจะไม่ไป พึงรู้ไว้ว่างานเลี้ยงจัดขึ้นตอนเที่ยง ก็เท่ากับว่าพรุ่งนี้จะได้กินอาหารสามมื้อ งานเลี้ยงตอนเที่ยงยังมีอาหารประเภทเนื้อสัตว์ให้กินแก้ความอยากอีกด้วย
หลี่ชิงชิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “น้องสาวไปเถิด”
หวังจวี๋เงยหน้าขึ้นพลางกล่าวอย่างเบิกบานใจ “ขอบคุณพี่สะใภ้สามเ้าค่ะ”
เดิมทีหวังชีคิดว่า สตรีในบ้านของผู้เฒ่าหวังจะทะเลาะกันเพราะเื่นี้เหมือนสตรีในครอบครัวของตน หากผู้ใดรู้เข้ามีหรือจะยอมอ่อนข้อให้กัน เอ๋ ก็เป็สตรีเช่นเดียวกัน ไฉนสตรีของบ้านผู้เฒ่าหวังถึงได้รู้ความเช่นนี้เล่า?
“เ้าคีบเอาผักอีกสักหน่อยแล้วค่อยไป” ผู้เฒ่าหวังยกชามไม้มาอีก
ยามหวังชีออกมาจากบ้านของผู้เฒ่าหวัง ในชามยังมีพริกผัดฟักทองหอมกรุ่น อืม มิใช่ว่าเขาตะกละตะกลาม แต่เขาจะนำกลับไปให้สตรีในเรือนชิม ให้พวกนางอับอายว่าฝีมือการทําอาหารย่ำแย่เพียงใด แล้วยังต้องอบรมสั่งสอนพวกนางเื่แก่งแย่งชิงดีกัน เื่ไม่ดีกลับหลบซ่อน ความคิดเช่นนี้จะต้องเปลี่ยนไป!
คนตระกูลหวังยังคงกินข้าวต่อ หวังเลี่ยงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวของข้ากินได้น้อย นางไปงานกินเลี้ยง คงกินไม่คุ้มเงินสิบเหรียญทองแดง”
“เ้าคิดว่าเ้าไปแล้วจะกินได้คุ้มหรือ?” สายตาหลิวซื่อมีประกายความเหยียดหยามเล็กน้อย “หากพี่สามของเ้าอยู่บ้าน ให้เขาไปกินอย่างเต็มที่นั่นแหละถึงเกือบจะกินได้คุ้ม”
หลี่ชิงชิงได้ยินคนในตระกูลหวังพูดอยู่หลายครั้งว่าหวังเฮ่าเป็คนกินจุ นางจึงเอ่ยในใจ ‘มิรู้ว่าหวังเฮ่าอยู่ในกองทัพจะได้กินอิ่มหรือไม่?’
หวังพั่นตี้ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “งานกินเลี้ยงมีอันใดอร่อยๆ หรือเ้าคะ?”
จางซื่อเป็สะใภ้ใหญ่ หลิวซื่อปฏิบัติต่อนางอย่างดี เมื่อก่อนตอนที่นางไม่ได้ตั้งครรภ์ก็มักจะได้ไปงานกินเลี้ยง จึงเอ่ยออกมาทันทีว่า “เนื้อ”
หวังเจาตี้เอ่ยขึ้น “ข้าอยากกินเนื้อ” อย่าได้มองว่านางขี้ขลาดไปบ้าง เพราะพอได้ยินคำว่าเนื้อ ความกล้าหาญก็มากขึ้นแล้ว
หวังฉิวตี้จึงเอ่ยออดอ้อนเสียงหวานอย่างเด็กๆ ออกมา “กินเนื้อ”
จางซื่อเอ่ยตำหนิด้วยความโกรธ “กินอันใดอีก ได้กินข้าวแล้วยังมีผักกินทุกวัน ล้วนไม่พอสําหรับเด็กน่าชังเช่นพวกเ้าสามคนกิน พวกเ้ามิเห็นหรือว่าในชามข้าวที่ท่านปู่เจ็ดผู้นำตระกูลกินล้วนเป็ข้าวต้ม บ้านเรามีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีเช่นนี้ พวกเ้ายังไม่รู้จักพอ ยังคิดจะมีชีวิตอย่างไรอีก?”
จางซื่อปากร้ายใจดี มักจะดุด่าบุตรสาวทั้งสามคน แต่น้อยครั้งที่จะลงมือตีพวกนาง ขนาดตั้งครรภ์แล้วก็ยังดูแลความสะอาดและความเรียบร้อยให้พวกนางอยู่ทุกวัน
เมื่อเทียบกับสตรีในหมู่บ้านที่เลี้ยงบุตรสาวดั่งเป็สัตว์เลี้ยงใช้แรงงาน ไม่ทันไรก็ทุบตี เด็กเดินหลงทางก็ไม่สนใจ จางซื่อนับว่าเป็มารดาที่ดีแล้ว
“พวกชาวบ้านล้วนบอกว่า เด็กผู้หญิงตะกละเด็กผู้ชายี้เี” หวังเลี่ยงหัวเราะเหอๆ แล้วเอ่ย “ตอนเด็กๆ ข้าทั้งี้เีทั้งตะกละ”
หลี่ชิงชิงเอ่ยในใจ ‘ชีวิตยากจนข้นแค้น นานหลายเดือนแล้วที่ไม่ได้กินเนื้อ อย่าว่าแต่เด็กๆ ที่อยากกินเนื้อ ผู้ใหญ่อย่างนางก็อยากกินเช่นกัน’
