ขุนนางผู้มีความดีความชอบเช่นนี้ก็หนีไม่พ้นเื่ขัดแข้งขัดขาและแผนการคิดร้ายของผู้คนภายในราชสำนักบิดาผู้มีเมตตาเช่นนี้กลับไม่ได้รับความเมตตาจาก์ เขาไม่อาจพาบุตรสาวกลับบ้านเกิดและให้นางได้ออกเรือนกับวีรบุรุษในใจดังที่หวัง
เหตุใดสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ช่างไร้เมตตาเหตุใด์ถึงไม่ยุติธรรมยิ่งนัก แต่ทุกคนบนโลกมนุษย์กลับทำเป็ไม่รู้ต่างพากันพยายามดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
อาณาประชาราษฎร์เกิดมาต้อยต่ำเหมือนมดตามพื้นดินนับแต่โบราณมาก็เป็เช่นนี้ ต่อให้เป็จักรพรรดิก็ไม่อาจรอดพ้นเพราะแต่คนล้วนมีความทุกข์ระทมเป็ของตนเอง
นางกับเฉินอ๋องร่วมทานอาหารกลางวันกับท่านพ่อหลังจากพูดคุยสัพเพเหระครู่หนึ่ง เมื่อล่วงเลยเวลาเที่ยงวันหรงหว่านซีกับเฉินอ๋องจึงขอตัวกลับ
แน่นอนว่านางอาลัยอาวรณ์บิดาแต่เมื่อคิดว่าห่างกันเพียงไม่กี่ซอกซอยเท่านั้น ภายหน้ายามจะกลับมาก็สะดวกไม่น้อยจึงไม่เสียอกเสียใจให้มาก
ตลอดทางมุ่งหน้ากลับมาจนถึงจวนอ๋องเฉินอ๋องไม่ไปเรือนเวิ่นหลิวจาย แต่ตามนางกลับไปยังตำหนักจาวเต๋อ
อวิ๋นฉางออกมารอรับแต่ไกลหลังทำความเคารพจึงเหลือบมองหรงหว่านซีหนหนึ่งด้วยท่าทางอยากจะเอ่ยบางสิ่งท้ายที่สุดหันไปเอ่ยกับเฉินอ๋องว่า “เตี้ยนเซี่ย เตี้ยนเซี่ยสี่เสด็จมาเที่ยวเล่นยามนี้อยู่ในตำหนักจาวเต๋อเพคะ”
“อ้อ? เขากลับมาแล้วหรือ?ไม่รู้ว่าคราวนี้เอาของดีอะไรมาอีก...”
ขณะกล่าวเฉินอ๋องยกยิ้มพลางเดินเข้าไปในตำหนักจาวเต๋อยังไม่ทันได้เข้าประตูก็ร้องะโเสียงดัง “เ้าสี่เ้าหนีไปสร้างความเดือดร้อนอีกแล้ว กระทั่งงานแต่งพี่เ้าก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาเ้าคิดว่าควรจะลงโทษอย่างไรดี?”
หรงหว่านซีกลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจิ้งอ๋องเสด็จมา เหตุใดถึงไม่ไปรอในตำหนักจาวเสียน กลับมารอในตำหนักจาวเต๋อของนางการทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม
“เสี่ยวหวาง* คำนับเสด็จพี่ คำนับพี่สะใภ้พ่ะย่ะค่ะ...”
เมื่อเข้ามาในตำหนักจาวเต๋อจึงพบกับเด็กหนุ่มรูปงามสวมอาภรณ์สีน้ำเงินยืนอยู่ในลานพระตำหนักส่วนสูงน้อยกว่าเฉินอ๋องประมาณครึ่งศีรษะและไม่สูงสง่าเหมือนเฉินอ๋องเขาไม่ได้แลดูไม่สง่าเพราะรูปร่างของเขา แต่เป็เพราะเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยโดดเด่นมากเกินไปหากให้เขาอยู่เพียงลำพังเมื่อเดินอยู่ในตลาดจะต้องเป็บุรุษรูปงามที่สามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้อย่างแน่นอน
หรงหว่านซีลอบถอนหายใจบรรดาองค์ชายเหล่านี้ แต่ละคนไม่ใช่แค่เกิดมีฐานะสูงส่ง เพราะยังมีหน้าตาโดดเด่นถึงเพียงนี้เป็เหตุให้บรรดาคุณชายจากตระกูลทั่วไปทำได้แค่มองแล้วถอนหายใจออกมา
หลังหยุดยืนอยู่ภายในลานตำหนักยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดกับจิ้งอ๋อง ทันใดนั้นได้ยินร้องไห้ดังออกมาจากข้างในห้อง
ประตูถูกปิดเอาไว้หรงหว่านซีมองไม่ชัดว่าข้างในเกิดเื่อะไรขึ้นแต่เสียงที่ได้ยินคล้ายจะเป็เสียงชูเซี่ย
“เกิดเื่อะไรขึ้น?” หรงหว่านซีถามอวิ๋นฉาง
“คือ...”อวิ๋นฉางไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร นางชำเลืองมองจิ้งอ๋องด้วยท่าทางลำบากใจ
จิ้งอ๋องก็เผยสีหน้าไม่สบายใจนักเช่นกันเขาคารวะหรงหว่านซี “เสี่ยวหวางขออภัยพี่สะใภ้พ่ะย่ะค่ะ...”
“เตี้ยนเซี่ยรีบลุกขึ้นเถิดเพคะเปิ่นเฟยยังไม่รู้ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นด้วยซ้ำเหตุใดเตี้ยนเซี่ยถึงต้องขอโทษข้าเล่า?”
“คือ...”จิ้งอ๋องชำเลืองมองประตูที่ถูกปิดแน่น “คือ...แท้จริงแล้วข้าก็ไม่ได้ตั้งใจ”
จิ้งอ๋องเกาศีรษะด้วยท่าทางรู้สึกผิดยิ่งนัก
เฉินอ๋องเอ่ย “เ้าสี่หรือเ้าลวนลามหญิงรับใช้ของพี่สะใภ้เ้า?”
จิ้งอ๋องรีบส่ายหน้าพัลวัน “ไม่ใช่ๆ! เป็เพียงการเข้าใจผิดกันเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ...”
“โฮ่ง! โฮ่ง!”ทันใดนั้นมีเสียงลูกสุนัขส่งเสียงร้องและขูดประตูดังมาจากข้างใน
หรงหว่านซีงุนงงยิ่งกว่าเดิมด้วยเหตุนี้จึงไม่คิดจะถามจิ้งอ๋องและเดินตรงไปถามชูเซี่ย
“เดี๋ยว... พี่สะใภ้ช้าก่อน!”ทว่าจิ้งอ๋องกลับเข้ามาขวาง “พี่สะใภ้ฟังเสี่ยวหวางอธิบายเถิดพ่ะย่ะค่ะ!หากให้หญิงรับใช้นางนั้นบอกก็ไม่รู้นางจะกลายเป็เช่นไร!”
“ห้ามเ้าใส่ร้ายข้า!” ขณะนั้นมีเสียงคนผลักประตูออกมาคือชูเซี่ยที่ผลักประตูออกมา นางเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ย “ข้าจะต้องพูดความจริงแน่นอนมีหรือจะโกหก?”
“ชูเซี่ย”หรงหว่านซีตำหนิเสียงเบา “เ้าเด็กคนนี้นับวันยิ่งไม่รู้จักกฎระเบียบอะไรเสียแล้ว! ข้าตามใจเ้าจนเคยตัวใช่หรือไม่?เ้ากล่าววาจาเช่นนี้กับจิ้งอ๋องได้อย่างไร!”
นางน้อยใจเป็ทุนเดิม เมื่อถูกคุณหนูของตนตำหนิซ้ำชูเซี่ยจึงร้องไห้ด้วยความน้อยใจกว่าเดิมแต่ไม่กล้าเสียมารยาทและส่งเสียงดังมากนักทำได้เพียงคร่ำครวญเสียงเบาขณะใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา
“หงิง...โฮ่ง! โฮ่ง!”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้คนที่ยืนอยู่ในลานถึงรู้ว่าบริเวณเท้าของชูเซี่ยมีลูกสุนัขสีขาวตัวหนึ่งนั่งอยู่ดูเหมือนจะเป็ลูกสุนัขอายุไม่กี่เดือน
ยามนี้กำลังเงยหน้าพลางสะบัดหางมองชูเซี่ย
“คือ...พี่สะใภ้เื่ทั้งหมดนี้เป็เพราะเ้าก้อนหิมะตัวนี้พ่ะย่ะค่ะ” จิ้งอ๋องเอ่ย
ชูเซี่ยไม่อาจยืนอยู่ขวางหน้าประตูจึงหันไปยืนคอยรับใช้อยู่ด้านข้างและยังแอบเช็ดน้ำตาตน
จือชิวที่อยู่ด้านข้างเอ่ย “คุณหนูตอนพี่ชูเซี่ยกลับมา เปียกปอนไปหมดทั้งตัวเลยเ้าค่ะ ทั้งปากและจมูกล้วนสำลักน้ำเมื่อครู่พึ่งจะไปผลัดอาภรณ์แห้งและสะอาด นอกจากนั้นยังตัวสั่นด้วยเ้าค่ะ!พวกเราติดตามคุณหนูมาั้แ่เด็กเคยพบเจอเื่ไม่เป็ธรรมเช่นนี้เมื่อใดกันเ้าคะ!”
หรงหว่านซีร้องไห้อย่างน่าสงสารเส้นผมยังเปียกชุ่ม มีหรือที่นางจะไม่ปวดใจ? ด้วยเหตุนี้จึงเข้าไปประคองนางและเอ่ยปลอบโยน“เป็ความผิดของข้า ข้าพูดจาค่อนข้างรุนแรง ทำให้เ้าไม่สบายใจเสียแล้วแต่ไม่อาจเสียมารยาทยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์เตี้ยนเซี่ยเื่นี้เ้าต้องระวังเอาไว้ ภายหน้าอย่างให้มีเื่เช่นนี้อีกไหนเ้าลองบอกข้าว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้น?”
เฉินอ๋องดึงจิ้งอ๋องที่กำลังปริปากพูดเอาไว้ลากเขาไปยืนอีกด้านหนึ่งพร้อมกับส่งสายตาให้เขา สายตานั้นสื่อถึงการตักเตือน— เ้าอย่าก่อเื่นี่ไม่ใช่หญิงรับใช้ที่เ้าจะทำอะไรก็ได้
จิ้งอ๋องเผยสีหน้ากล้ำกลืนความไม่เป็ธรรม...
ชูเซี่ยสะอื้นไห้ขณะเล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น...
นางได้ยินจิ้นหมัวหมั่วบอกว่าที่ห้องอาหารพึ่งจะรับดอกกุหลาบสดใหม่มาจากสวนดอกไม้นอกเมืองนางนึกอยากจะทำน้ำดอกกุหลาบให้คุณหนูดื่มจึงหยิบตะกร้าเล็กเพื่อออกไปเอาดอกกุหลาบมาจำนวนหนึ่ง ระหว่างทางกลับมาเดินผ่านสระฝูฉวีและเห็นบุรุษผู้หนึ่งอยู่บนเรือกลางสระ...
แน่นอนว่าชูเซี่ยไม่กล้ามองให้ละเอียดคิดว่าบุรุษที่จะมาอยู่บนเรือในสระฝูฉวี นอกจากเฉินอ๋องก็คงไม่มีคนอื่นนอกจากนั้นนางยังคิดว่าคุณหนูกับเฉินอ๋องกลับมาแล้ว จึงเดินไปทางเรือลำเล็กนางถอนสายบัวแล้วเอ่ยถามเสียงดังว่า “เตี้ยนเซี่ยเพคะ คุณหนูอยู่ในเรือหรือไม่เพคะ?”
คนผู้นั้นกวักมือเรียกนางและะโเสียงดัง“เ้าเข้ามาใกล้ๆ”
ชูเซี่ยได้ยินแม้รู้สึกว่าเสียงนี้ไม่คล้ายเสียงของเฉินอ๋อง แต่นางไม่ได้พิจารณาให้ถี่ถ้วน มิหนำซ้ำยังคิดว่าเฉินอ๋องคง้าจะใช้งานนางจึงเดินไปริมสระฝูฉวีและก้มหน้าเพื่อรอรับคำสั่ง
คนผู้นี้พายเรือเข้ามาใกล้เขาย่อกายอยู่บนเรือเล็กและเอื้อมมือมาหยิบดอกกุหลาบหนึ่งดอกจากตะกร้าในมือนางก่อนจะโน้มปลายจมูกเป็สันลงไปดมแล้วเอ่ย “หอมจริงๆ คนงามดอกไม้เพริศพริ้ง ล้ำเลิศล้ำเลิศยิ่งนัก...”
ชูเซี่ยถึงรู้สึกถึงความผิดปกติเสียงนี้ไม่ใช่เสียงของเฉินอ๋องและต่อให้เป็เฉินอ๋องก็ไม่มีทางกล่าววาจาเช่นนี้กับนาง
นางเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยความใ ทว่ากลับมีเ้าก้อนขนปุกปุยกระโจนออกมาจากผ้าม่านข้างในเรือและพุ่งเข้าหานางอย่างรวดเร็ว!นางใไม่น้อย เป็เหตุให้ยืนไม่มั่นคงนัก...
เดิมทีนางสามารถตั้งหลักยืนด้วยตนเองทว่าคนผู้นั้นกลับฉวยโอกาสดึงนางลงน้ำ เดิมทีนางก็ยืนไม่มั่นคงอยู่แล้วเมื่อถูกดึงเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องตกลงไปจนกลายเป็ลูกนกตกน้ำ...
เมื่อได้รับความไม่เป็ธรรมเช่นนี้ชูเซี่ยจะไม่ร้องไห้ได้อย่างไร?
หรงหว่านซีไม่พอใจเมื่อได้ยินเช่นนี้นางนึกขึ้นได้ถึงความเป็มาของเหลียงเหม่ยเหรินที่จิ้นหมัวหมั่วเคยเล่าให้ฟัง จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าว่าจิ้งอ๋องผู้นี้ก็เป็คนเ้าชู้เหมือนกัน
ยังไม่ทันหันไปเอ่ยถามจิ้งอ๋องกลับได้ยินจิ้งอ๋องที่ยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยแก้ต่างทันที “ชูเซี่ยกูเหนียงข้าไม่ได้รับความเป็ธรรม! ข้าเห็นเ้าใและกลัวว่าเ้าจะล้มลงไป ข้าคิดจะช่วยเ้าต่างหาก!แต่ผู้ใดจะไปคิดว่าเรือกลับโคลงเคลง พอข้ายืนไม่มั่นคงถึงกลายเป็ดึงเ้าลงน้ำ!เ้าขนปุยก็ตกลงไปด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ? โชคดีที่ข้าพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง...”
“เ้าสี่”เฉินอ๋องเอ่ยตำหนิเสียงเบาเพื่อตักเตือน
จิ้งอ๋องก็รู้สึกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาโอ้อวดความสามารถเช่นกันเขารีบเผยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมยืนอยู่หน้าประตูที่ถูกคั่นด้วยธรณีประตูแล้วคารวะหรงหว่านซี“พี่สะใภ้เป็ผู้มีความเฉียบแหลม โปรดฟังเสี่ยวหวางอธิบาย...”
น้ำเสียงของหรงหว่านซีราบเรียบทำให้ผู้อื่นไม่รู้ว่าพอใจหรือกรุ่นโกรธ กล่าวอย่างสุขุมว่า“เตี้ยนเซี่ยโปรดอธิบายเพคะ”
ชูเซี่ยติดตามนางมาั้แ่ยังเด็กพวกนางทั้งสามเป็เหมือนพี่น้องท้องเดียวกัน หากจิ้งอ๋องคิดจะลวนลามชูเซี่ยนางไม่มีทางให้ชูเซี่ยได้รับความไม่เป็ธรรมเช่นนี้โดยเปล่าประโยชน์แน่นอน
จิ้งอ๋องเอ่ย“เสี่ยวหวางกลับมาจากทัศนาจรและเอาเ้าก้อนหิมะตัวนี้มาจากแคว้นอวิ๋นเพราะอยากจะมอบให้เสด็จพี่อวิ๋นฉางบอกว่าเสด็จพี่กลับบ้านมารดากับพี่สะใภ้เสี่ยวหวางจึงไปเดินเล่นรออยู่ในจวน ขณะอาบแดดอยู่บนเรือลำเล็กอย่างสบายใจทันใดนั้นเห็นในสวนดอกไม้บนฝั่งไม่ไกลนักมีแม่นางน้อยผู้หนึ่งกำลังวิ่งไล่ผีเสื้อเสี่ยวหวางจึงอดมองดูสักหน่อยไม่ได้ แต่จู่ๆแม่นางน้อยผู้นั้นก็เข้ามาถอนสายบัวให้เสี่ยวหวางเมื่อเสี่ยวหวางเห็นนางเข้าใจผิดคิดว่าเสี่ยวหางคือท่านอ๋องของนางจึงคิดจะหยอกล้อเล่นสักหน่อย”
“แค่จะหยอกล้อนางเล่นเท่านั้นไม่ได้คิดจะทำอะไรที่เกินเลยแม้แต่นิดพ่ะย่ะค่ะเพราะไม่ได้พบหญิงที่ใสซื่อไร้เดียงสาเช่นนี้มานานนักหาก...นึกจะหยอกล้อนางเล่นก็ถือเป็เื่ปกติ หลังจากนั้นเกิดเื่ราวเช่นที่ชูเซี่ยกูเหนียงเล่าแต่เสี่ยวหวางคิดจะดึงนางไว้เพราะกลัวนางจะล้ม แต่ลืมว่ายืนอยู่บนเรือไม่มั่นคงนักจึงเป็เหตุให้ชูเซี่ยกูเหนียงเข้าใจผิด... พี่สะใภ้ เสี่ยวหวางไม่ได้จงใจจริงๆพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นจิ้งอ๋องกล่าวออกมาจากใจจริงหรงหว่านซีก็คิดได้ว่าจิ้งอ๋องคงไม่จะเป็ต้องทำเช่นนี้หากเขาพอใจหญิงรับใช้นางใดในจวนเสด็จพี่ของเขา เพียงแค่เอ่ยปากขอกับเสด็จพี่ของเขาก็ได้แล้วมิใช่หรือ? เหตุใดต้องดึงผู้อื่นลงน้ำและกลั่นแกล้งอย่างหยาบคายเช่นนี้?
“เตี้ยนเซี่ยตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรเพคะ?”ชูเซี่ยเอ่ยด้วยความน้อยใจ“หนูปี้เห็นว่าผีเสื้อตัวนั้นสวยดีจึงวิ่งเล่นไล่ตามมัน นี่ถือเป็ความผิดอะไรกันเพคะหรือเพียงเพราะเื่แค่นี้ก็สมควรถูกเตี้ยนเซี่ยหยอกล้อถึงเพียงนี้?”
“ชูเซี่ยกูเหนียงข้าไม่ได้ตั้งใจจริง...หากเอ่ยถึงเื่ที่ข้าหยอกล้อเ้าก็มีเพียงเื่หลอกว่าเป็ท่านอ๋องของจวนเ้าเท่านั้นไม่ถึงขั้นทำเื่ไม่สมควรเช่นการดึงผู้อื่นลงน้ำแต่เื่ที่ข้าหลอกว่าเป็ท่านอ๋องของจวนเ้า ข้าเองต้องขออภัยเ้าเช่นกัน”
ขณะกล่าวจิ้งอ๋องยืดอกยืนตรงพร้อมกับกระแอมไอให้โปร่งคอ...อะแฮ่ม...
จากนั้นคารวะชูเซี่ยอย่างจริงใจ“กูเหนียง เสี่ยวหวางผิดไปแล้ว! เสี่ยวหวางไม่ควรเปรียบเ้ากับดอกไม้ไม่ควรเรียกเ้าเดินเข้ามาใกล้ ควรจะชื่นชมแค่เพียงในใจอย่างเงียบเชียบ...เสี่ยวหวางสำนึกผิดแล้วจริงๆ! กูเหนียงโปรดเห็นแก่... เห็นแก่...”
ขณะจิ้งอ๋องกำลังใช้ความคิดทันใดนั้นกวาดสายตามอง เมื่อเห็นเ้าก้อนหิมะที่กำลังนั่งอยู่ข้างชูเซี่ยจึงเอ่ย“โปรดเห็นแก่เ้าก้อนหิมะที่กำลังส่ายหางให้กูเหนียงเ้าจงอภัยให้เปิ่นหวางด้วยเถิด!”
*เสี่ยวหวาง หมายถึงอ๋องที่ได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ั้แ่อายุยังน้อยหรือใช้แทนตัวเพื่อแสดงความสนิทสนม