แน่นอนว่าไม่ใช่ฝีมือขององค์รัชทายาททว่าฝ่าาในยามนี้ไม่ใช่ทรราชไม่มีทางไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทใส่ร้ายขุนนางผู้มีความดีความชอบเพื่อให้ได้สตรีเพียงนางเดียว พระราชโองการสั่งปะาเป็พระประสงค์ของฝ่าาไม่ผิดแน่ดังนั้นกล่าวได้ว่าฝ่าาทรงคอยผสมโรงอยู่เื้ั
แต่เหตุใดหลังจากนั้นถึงล้มเลิก? แสดงว่าฝ่าาทรงปรีชาญาณคิดว่าหลังจากนางเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเฉินอ๋องจะต้องอยู่ในเมืองหลวงด้วยเหตุนี้บิดาของนางคงคิดจะอยู่ในเมืองหลวงเพื่อคอยเคียงข้างบุตรสาวอย่างแน่นอน
พระประสงค์ของฮ่องเต้ เพียง้าได้เห็นสิงโตตัวผู้ตัวนี้ว่านอนสอนง่ายตั้งหลักปักฐานใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องของเขาเท่านั้นเขาไม่ได้อยากจะสังหารสิงโตตัวนี้เพราะถึงอย่างไรสิงโตตัวนี้ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายมนุษย์แม้แต่นิด
นี่ก็คือความหวาดระแวงพระทัยขององค์จักรพรรดิแต่ก็ยังสามารถเห็นถึงความปรีชาญาณของฝ่าาจากเื่นี้เช่นกัน
องค์รัชทายาทมิใช่คนโง่เขลาในทางกลับเขาคือคนรู้จักคิดวิเคราะห์ยิ่งนักเพราะฉะนั้นเขาถึงสั่งให้ท่านเ้ากรมหวังใส่ร้ายท่านพ่อ เพราะรู้ว่าฝ่าาทรงไม่้าให้บิดาของนางเกษียณราชการกลับบ้านเกิด
แม้ว่าสิงโตตัวผู้ในยามนี้ไม่คิดทำร้ายผู้คนแต่ก็ไม่อาจปล่อยมันกลับสถานที่อิสระเช่นป่าเขาเกิดวันหนึ่งมันถูกสิงโตตัวอื่นมอมเมาจนคิดจะทำร้านคนผู้คนขึ้นมามันคงจะมุ่งเป้าหมายมายังพระราชวังนี้
ดังนั้นหากไม่อาจรั้งเอาไว้เพื่อเป็การตัดไฟแต่ต้นลม ฝ่าาคงใช้เื่วุ่นวายที่องค์รัชทายาทสร้างขึ้นมาเป็ข้ออ้างจากนั้นตัดสินโทษท่านพ่อ
ตอนนั้นนางนึกไม่ถึงเื่นี้เพราะสถานการณ์คับขันจึงไม่มีเวลาครุ่นคิดละเอียด หลังจากสิ้นสุดปัญหาองค์รัชทายาทก็ยังหาเื่กลั่นแกล้งสารพัดไม่มีหยุดหย่อนภายในใจของนางสับสนวุ่นวายเพราะรู้สึกผิดเื่พี่หลิงอีกทั้งยังต้องรับมือกับพระพันปีและพระสนมเอก...ดังนั้นกุญแจสำคัญเช่นนี้จึงกลายเป็เื่เล็กจนนางมองข้าม
โชคดีที่เฉินอ๋องเตือนสติ ไม่เช่นนั้นเกรงว่าตระกูลหรงคงต้องพบหายนะเสียแล้ว...
หรงหว่านซีหยัดกายลุกขึ้นจากนั้นหันไปทำความเคารพเฉินอ๋องโดยการคำนับแนบศีรษะลงกับพื้นอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ยที่ทรงเมตตาตระกูลหรงเพคะ...”
“เ้าทำอะไรของเ้าเนี่ย”เฉินอ๋องกลับเอ่ยทั้งรอยยิ้มพร้อมกับประคองนางให้ลุกขึ้น“เปิ่นหวางแค่นึกถึงเื่น่าสนุกขึ้นมากะทันหันถึงได้เล่าให้เ้าฟัง เหตุใดจู่ๆ เ้าถึงทำท่าทางเคร่งขรึมจริงจังเช่นนี้?ช่วยชีวิตไม่ช่วยชีวิตอะไรกัน เช้าตรู่อย่างนี้พูดเื่เหล่านี้ทำไม?”
หรงหว่านซีหัวเราะ เอ่ยคล้อยตามเขาว่า“หม่อมฉันแค่คิดว่าเื่เล่าของเตี้ยนเซี่ยสนุกดีเพคะจึงทำเช่นนี้เพื่อตอบแทนที่เตี้ยนเซี่ยเล่าให้หม่อมฉันฟัง”
“หากภายหน้ามีโอกาสเปิ่นหวางก็จะเล่าให้เ้าฟังอีกสักหน่อย” เฉินอ๋องบิดี้เีและเอ่ยเสียงลากยาว“เ้าจะได้ตอบแทนข้าเป็อย่างดีเช่นนี้... ผู้ใดก็ได้ ตั้งสำรับ—”
ไม่นานนักหญิงรับใช้ในโรงครัวจึงเข้ามาจัดสำรับ
หลังหรงหว่านซีร่วมทานอาหารกลางวันกับเฉินอ๋องเสร็จทั้งคู่จึงออกเดินทางไปยังจวนแม่ทัพ
เพราะทำตามความ้าของหรงหว่านซีการกลับไปกราบไหว้บิดามารดาหลังออกเรือนในวันที่สามจึงดำเนินการอย่างเรียบง่ายนางกับเฉินอ๋องนั่งรถม้าทำราวกับเป็เพียงการไปเยี่ยมเยียนจวนแม่ทัพตามปกติ
เมื่อได้ยินเสียงรถม้าหยุดอยู่หน้าจวนท่านลุงจงจึงรีบเปิดประตูออกมาต้อนรับและเอ่ย “คุณหนู ท่านบุตรเขยนายท่านตื่นมารอั้แ่เช้าแล้วขอรับมิหนำซ้ำยังออกมาส่องดูหน้าประตูจวนหลายต่อหลายครั้งขอรับ”
กล่าวจบเอ่ยเสียงเบาว่า“คุณหนูอย่าได้บอกนายท่านเชียวนะขอรับ ไม่เช่นนั้นนายท่านจะต้องตำหนิว่าหนูฉายปากมากแน่ๆขอรับ”
หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“สองวันมานี้ภายในจวนเรียบร้อยดีหรือไม่?”
“เรียบร้อยดีทุกประการขอรับ”ท่านลุงจงประคองหรงหว่านซีลงจากรถม้า“ท่านหมอเจียงบอกว่าอาการป่วยของนายท่านดีขึ้นมากแล้วขอรับ เพียงแต่ยังต้องพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่งทว่านายท่านล้มป่วยมานาน จึงไม่อยากอยู่ในจวนเมื่อวานดื้อรั้นจะไปเข้าเฝ้าในท้องพระโรงให้ได้ครั้นฝ่าาทรงเห็นอาการของนายท่านไม่สู้ดีนัก จึงมีพระบรมาานุญาตให้นายท่านพักผ่อนเป็เวลาครึ่งเดือนขอรับ”
พวกเขาเดินพูดคุยกันมาตลอดทาง ขณะเดียวกันมีเด็กรับใช้ไปเรียนนายท่านเรียบร้อยแล้ว
เพราะเป็การกลับมากราบไหว้บิดามารดาเฉินอ๋องจึงเดินทางมายังจวนแม่ทัพด้วยฐานะบุตรเขยดังนั้นท่านพ่อจึงไม่ต้องออกมารอต้อนรับเพราะมีฐานะเป็ผู้าุโ
หรงหว่านซีกับเฉินอ๋องเดินเข้ามาในลานของเรือนหลักพบว่าท่านพ่อกำลังยืนมองพวกเขาเดินเข้ามาอยู่หน้าประตู
ถือว่าเฉินอ๋องมีไมตรียิ่งนักเขาค้อมคำนับบิดาของนางเต็มพิธีเมื่อเข้ามาถึงเรือนหลัก“บุตรเขยผู้น้อยคารวะท่านพ่อตาขอรับ...”
“ไอหยา มิกล้า มิกล้าพ่ะย่ะค่ะ”แม่ทัพรีบเดินเข้ามาคุกเข่าคารวะเฉินอ๋องตามหลักปฏิบัติของขุนนาง“ถวายบังคมเตี้ยนเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ เพราะต้องทำตามประเพณีเป็เหตุให้ไม่อาจออกไปรับเสด็จ กระหม่อมเสียใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินอ๋องประคองแม่ทัพหรงให้ลุกขึ้น “วันนี้พวกเราไม่พูดถึงเื่พวกนี้่นี้ท่านพ่อตาสุขภาพร่างกายไม่ดีนัก ควรจะพักรักษาตัวอยู่ภายในจวนถึงจะถูก”
เมื่อเดินเข้ามาในห้องพูดคุยกันเพียงครู่เฉินอ๋องจึงบอกว่าตนค่อนข้างเมื่อยล้าหรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “มิสู้ให้พ่อบ้านพาเตี้ยนเซี่ยไปยังเรือนนอนก่อนออกเรือนของหม่อมฉันเพื่อพักผ่อนสักครู่หากอาหารกลางวันจัดเตรียมเสร็จแล้วหม่อมฉันค่อยให้ข้ารับใช้ไปเชิญเตี้ยนเซี่ยดีหรือไม่เพคะ?”
ขณะที่สนทนาน้ำเสียงและท่าทางของเฉินอ๋องล้วนเป็มิตรยิ่งนัก
เฉินอ๋องให้ความร่วมมือกับนางเป็อย่างดีเอ่ยพลางยกยิ้มอ่อนโยน “ดี ถ้าเช่นนั้นเปิ่นหวางจะไปเดินเล่นในเรือนนอนของเ้าไม่แน่ว่า...”
เขาได้โน้มกายเข้าใกล้นางและเอ่ยเสียงเบา“บนเตียงหลังนั้นอาจจะยังมีกลิ่นของเ้าก็ได้...”
หรงหว่านซีคิดว่าเฉินอ๋องหยอกล้อจนเกินควรไปสักหน่อยแต่เพราะยังอยู่ต่อหน้าท่านพ่อ ต้องแสดงท่าทีรักใคร่กันต่อกันด้วยเหตุนี้จึงก้มหน้าลงเอ่ยอย่างขวยเขิน “เตี้ยนเซี่ยอย่ากล่าววาจาเหลวไหลเพคะ”
เฉินอ๋องค้อมคำนับแม่ทัพหรงด้วยท่าทางเคร่งขรึมคล้ายว่าเมื่อครู่ไม่ได้กล่าววาจาเหลวไหลอะไร เอ่ยอย่างซื่อตรงว่า “ท่านพ่อตาเสี่ยวอ๋องขอไปพักผ่อนสักหน่อย อีกครู่จะมาร่วมทานอาหารกับท่านพ่อตา”
แม่ทัพหรงลุกไปส่งเฉินอ๋องถึงหน้าประตูนอกจากนั้นยังถามไถ่ว่า “เตี้ยนเซี่ยโปรดพักผ่อนหย่อนใจให้สบายเป็พอ ครั้นถึงเวลาอาหารกระหม่อมจะสั่งให้ข้ารับใช้ไปปลุกเตี้ยนเซี่ยพ่ะย่ะค่ะ”
หรงหว่านซีพบว่าท่านพ่อไม่แสดงท่าทีไม่พอใจหลังได้ยินประโยคเหลวไหลของเฉินอ๋องในทางกลับกันแลดูคล้ายจะวางใจมากขึ้นเล็กน้อย
ท่านพ่อไม่ใช่คนประจบสอพลอ หากไม่พอใจเฉินอ๋องเป็อย่างมากแม้ใบหน้าจะไม่เผยออกมาแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางไปส่งเขาถึงหน้าประตูอย่างแน่นอน
วาจาเหลวไหลเช่นนั้น ท่านพ่อไม่โกรธเคืองแต่กลับพอใจแม้หรงหว่านซีจะแปลกใจ แต่นางไม่ได้นึกหาสาเหตุอย่างละเอียดเพราะหากสามารถทำให้ท่านพ่อสบายใจย่อมเป็เื่ดี
หลังเฉินอ๋องออกไปและปิดประตู หรงหว่านซีกลับได้ยินเสียงบิดาถอนหายใจหันหลังกลับมาเอ่ยเสียงเบาว่า “ลูก ไม่ว่าชื่อเสียงของเฉินอ๋องจะเป็เช่นไรยามนี้เ้าได้ออกเรือนไปกับเขาแล้ว หากเขาทำดีต่อเ้าเ้าก็จง...จงติดตามเขาด้วยใจจงรักภักดีเถิด ถึงแม้ว่าจะเ้าชู้ไปบ้างแต่ยามเขาอยู่กับเ้า เขายังรู้จักรักและเอ็นดูเ้า เ้าจง...”
หรงชิงไม่อยากเอ่ยคำเ่าั้ออกมาทว่าบุตรสาวออกเรือนไปแล้วจากที่ฟังวาจาเ่าั้...เฉินอ๋องเหมือนจะชอบพอบุตรสาวตนไม่น้อยหากไม่ใช่ว่าชอบพอสตรีนางนี้จริงๆ ต่อให้เป็คนเ้าชู้มากเท่าใดก็ไม่อาจกล่าววาจาหยอกล้อได้ในเมื่อเฉินอ๋องปฏิบัติต่อบุตรสาวพอใช้ได้ แล้วเหตุใดเขาถึงจะไม่โน้มน้าวให้บุตรสาวใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเล่า?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงชะงักเพียงครู่และเอ่ยต่อ“เ้าจงยอมรับเถิด”
หรงหว่านซีเอ่ยปลอบใจบิดา“ลูกทราบถึงความเป็ห่วงของท่านพ่อเ้าค่ะ แต่ความเป็จริงแล้วเฉินอ๋องผู้นี้มีอนุชายาแค่แปดนางเท่านั้น ตลอดสองวันที่ลูกสังเกตดูพวกนางต่างอยู่อย่างสงบยิ่งนัก โดยปกติก็ไม่ค่อยออกมาเดินเล่นถึงแม้ว่าเตี้ยนเซี่ยจะเ้าชู้ แต่ก็ไม่ได้เพิ่มอนุชายาในจวนแต่อย่างใดชีวิตในแต่ละวันของลูกผ่านไปอย่างสุขสบายเ้าค่ะ ไม่ได้ต้องจำใจกล้ำกลืนยอมรับอะไรเพราะหลังออกเรือนไปถึงได้รู้ว่านี่คือชีวิตที่สงบสุขเ้าค่ะ”
หรงชิงฝืนยิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็ดีหากเ้ารู้สึกไม่สบายใจเื่อะไร จงอย่าได้เก็บไว้เพียงผู้เดียวเ้าจงมาบอกกับพ่อ อย่างน้อยพวกเราก็จะได้ไม่ต้องทนรับความไม่เป็ธรรมภายในจวนอ๋องของเขา”
หรงหว่านซีรู้ว่าบุตรสาวกำลังปลอบใจตนจึงไม่เอ่ยวาจาที่ทำให้ต้องไม่สบายใจอีก เขากำชับบุตรสาวไม่กี่ประโยคเพื่อให้บุตรสาวรู้ว่านางยังมีหนทางข้างหน้าให้ก้าวเดิน
เมื่อได้ยินบิดาเอ่ยถึงเื่นี้หรงหว่านซีจึงคล้อยตามบิดาด้วยการพูดถึงเื่ขอเกษียณราชการ
เช้าวันนี้เฉินอ๋องเล่าเื่นั้นให้นางฟังคงเป็เพราะอยากให้นางฉวยโอกาสขณะกลับจวนเพื่อโน้มน้าวบิดาหากเื่นี้ออกจากปากของนาง ท่านพ่อจะต้องเชื่อสนิทใจ แต่หากออกจากปากของเฉินอ๋องท่านพ่อคงต้องคิดมากอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ท้ายที่สุดท่านพ่อจะฟังคำชี้แนะนี้แต่บรรยากาศการพูดคุยเื่ในราชสำนักค่อนข้างอึมครึมคงไม่ง่ายดายและสนิทสนมเช่นบิดากับบุตรสาวพูดคุยกัน
แน่นอนว่าหรงหว่านซีไม่มีทางบอกบิดาว่าเฉินอ๋องเล่าเื่นั้นให้นางฟังเมื่อเช้านางเพียงแต่วิเคราะห์เื่ในอดีตและบทสรุประหว่างสิงโตที่อยู่ในห้องและสวนสัตว์ให้บิดาฟัง
เมื่อท่านพ่อได้ฟังจึงอดถอนหายใจไม่ได้จากนั้นนิ่งเงียบเป็เวลานาน แสดงให้เห็นว่ากำลังใคร่ครวญอย่างละเอียด
หลังจากผ่านไปเป็เวลานานจึงเอ่ย“นึกไม่ถึงว่าฝ่าาทรงคิดเช่นนี้... ความจงรักภักดีที่สูญเปล่าของพ่อช่างน่าเวทนานัก”
“แท้จริงแล้วขณะอยู่ในคุกมิใช่ว่าพ่อไม่เคยคิดถึงขั้นนี้ แต่พ่อคิดว่าฝ่าาทรงรักพระโอรสจึงถูกคำลวงอันไพเราะขององค์รัชทายาททำให้สับสนชั่วขณะแต่วันนี้ลูกพูดถึงขนาดนี้แล้ว เห็นได้ว่า...พระทัยของฝ่าาทรงเป็เช่นนี้ไม่ผิดเมื่อคิดให้ดี ต่อให้รักบุตรมากเพียงใดก็ไม่อาจฟังคำพูดเพ้อเจ้อของคนเพียงคนเดียวแล้วสั่งปะาขุนนางที่มีความดีความชอบกระทั่งเรียกไปฟังคำแก้ตัวต่อหน้าสักครั้งก็ยังไม่มี...”
“ความจริงจะโทษว่าเป็ความผิดของฝ่าาก็ไม่ได้เ้าค่ะ”หรงหว่านซีเอ่ย “เพราะผู้เป็ฮ่องเต้ย่อมต้องมีความกังวลของฮ่องเต้ในฐานะผู้มีตำแหน่งสูงส่ง คงเป็เื่ยากหากไม่ขี้ระแวง แม้ลูกหวังว่าท่านพ่อจะได้กลับบ้านเกิดไปพักผ่อนโดยเร็วแต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ ท่านพ่อควรจะหยุดเื่กลับบ้านเกิดไว้ชั่วคราวท่านจะได้อยู่ในเมืองหลวงกับลูกอีกสักหน่อยนะเ้าคะ”
หรงหว่านซีเอ่ยทั้งรอยยิ้ม“เตี้ยนเซี่ยไม่สนใจว่าลูกจะไปไหนมาไหน หากลูกไม่มีอะไรทำก็สามารถมาหากับท่านพ่อได้ทุกวันนะเ้าคะ”
“หือ จะเหมาะสมได้อย่างไรกัน?หญิงที่ออกเรือนไปแล้วจะกลับบ้านบิดามารดาทุกวันได้อย่างไร? หากเ้ากลับมาทุกเดือนพ่อก็ดีใจแล้ว”
“เ้าค่ะ ถ้าเช่นนั้นลูกจะกลับมาเดือนละครั้งท่านพ่ออย่าพึ่งรำคาญเสียก่อนนะเ้าคะ” หรงหว่านซีเอ่ยหยอกเย้า
หรงหว่านซีรู้ว่าบิดากล่าวเช่นนี้เพราะล้มเลิกความคิดที่จะขอเกษียณราชการแล้ว
แท้จริงแล้วบิดาจะกลับบ้านเกิดก็เพราะนางเมืองหลวงคือสถานที่แห่งความขัดแย้ง ถึงอย่างไรก็เป็พระญาติห่างๆ ของเชื้อพระวงศ์อาจผู้มีใจคิดร้ายใส่ร้ายว่าเขาคิดจะทำการใหญ่ จึงไม่อาจไม่ป้องกันไว้ก่อนมิสู้หลีกหนีไปอยู่เมืองห่างไกลไร้ความขัดแย้ง แม้ต้องทนคิดถึงบุตรสาวแต่เพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตยืนยาวและสงบสุข จึงทำได้เพียงรับความทุกข์ไว้ที่ตน
แต่วันนี้เขาล้มเลิกความคิดจะกลับบ้านเกิดก็เพราะนางเช่นกันเพราะเขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องติดร่างแหไปด้วยดังนั้นจึงมีเพียงการอาศัยอยู่ในเมืองแห่งความขัดแย้งต่อไปภายหน้าต้องใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน
ครึ่งชีวิตที่เหลือของบิดานอกจากมีไว้เพื่อแคว้นเฟิงก็มีไว้เพื่อนาง