ตลอดทั้งอาทิตย์ จิงซิงอี้วุ่นวายกับการตกแต่งคลินิก การสั่งอุปกรณ์และยาที่ใช้รักษา รวมไปถึงการติดต่อขอใบอนุญาตเพื่อเปิดคลินิก
ตัวเขาเองสามารถสอบผ่านได้ใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนจีน ทั้งข้อเขียนและการปฏิบัติ รวมไปถึงการฝังเข็ม รมยา การนวดทุยหนา ครอบแก้ว และยังได้รับการถ่ายทอดความรู้ด้านสมุนไพรจีน การใช้ตำรับยาจีน และการนวดจากจิงเซียว
ใน่สองปีสุดท้ายของการเรียนในมหาวิทยาลัย เขาฝึกงานที่โรงพยาบาลในปักกิ่ง และเรียนแพทย์แผนจีนเพิ่มเติม เพราะ้าจะบูรณาการรักษาแพทย์แผนจีนเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน
ที่จริงแล้ว เขาไม่จำเป็ต้องเรียนหลักสูตรแพทย์แผนจีนในมหาวิทยาลัยก็ได้ เพราะเขาเรียนรู้จากจิงเซียว ซึ่งเป็หมอจีนฝีมือดีมาั้แ่เด็ก แต่เขารู้ว่าการมีปริญญาและใบอนุญาต จะทำให้การทำงานของเขาง่ายกว่าและได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น และจิงเซียวยัง้าให้เขามีความรู้ทั้งสองด้านด้วย
การจะเปิดคลินิกแพทย์แผนจีนที่ประเทศนี้ ตามระเบียบของกระทรวงกำหนดเอาไว้ว่า จะต้องลงทะเบียนกับหน่วยงานกำกับดูแลแพทย์แผนจีนทั้งในระดับท้องถิ่น และในระดับเทศมณฑลหรืออำเภอด้วย
จากนั้นจะมีการตรวจสอบที่ตั้งของคลินิก ขอบเขตการรักษาที่ต้องตรงกับใบประกอบโรคศิลป์ และอุปกรณ์การแพทย์ของคลินิก ภายใน 30 วันหลังจากที่ลงทะเบียน ซึ่งจิงซิงอี้ก็ทำตามขั้นตอนดังกล่าว
ใน่สายของวันหนึ่ง ระหว่างที่เขากำลังควบคุมการตกแต่งคลินิกอยู่นั้น รถคันหนึ่งก็ขับมาจอดที่ลานจอดรถหน้าตึกแถว ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี รูปร่างอ้วนท้วม หน้าตาใจดี ลงมาจากรถและเข้ามาแนะนำตัวกับจิงซิงอี้ว่า เขาคือ ซวี่ฮั่น เป็เ้าของบริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์และเป็เพื่อนสนิทของหยวนซุน
เมื่อเห็นว่าเป็เวลาเกือบเที่ยงแล้ว จิงซิงอี้จึงพาเขาไปนั่งคุยที่ร้านบะหมี่ที่อยู่ถัดไปอีก 2-3 ห้อง ซวี่ฮั่นนั่งลงที่โต๊ะ เขาหายใจหอบด้วยความเหนื่อย ใบหน้าซีด ในระหว่างที่นั่งเขาขยับตัวไปมาเพื่อเปลี่ยนท่านั่งหลายครั้ง
ทั้งสองสั่งอาหารและเครื่องดื่ม จิงซิงอี้ซึ่งสังเกตอาการของซวี่ฮั่นมาตลอดก็ถามว่า “คุณซวี่ฮั่น เป็อะไรรึเปล่าครับ”
ซวี่ฮั่นหัวเราะแห้งๆ เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่ซึมออกมา และรีบปฏิเสธว่าไม่เป็อะไรมาก เขา้าที่จะปิดการขายอุปกรณ์การแพทย์ให้สำเร็จก่อน
เพราะั้แ่ต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจของเขามีคู่แข่งเพิ่มขึ้น ยอดขายลดลง เขาต้องทำงานหนักมากขึ้น เขาใช้เวลาเกือบทุกวันไปกับการขับรถตระเวนหาลูกค้าตามโรงพยาบาลและคลินิกในหลายจังหวัด
บางครั้งต้องกินและงีบหลับในรถ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและประหยัดเวลาเดินทาง ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้าและปวดเนื้อตัว
่หลังมานี้ เขายิ่งปวดสะโพกขวาและร้าวลงมาจนถึงเข่า ทำให้เขาต้องขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งบ่อยๆ
จิงซิงอี้รู้ว่าเขาหิวมาก จึงปล่อยให้เขากินบะหมี่ให้หมด จากนั้นจึงเริ่มคุยกันเื่อุปกรณ์การแพทย์ ที่คลินิกต้องใช้พร้อมกับใบเสนอราคา
หมอหนุ่ม้าให้คลินิกของเขา บูรณาการเทคโนโลยีทั้งแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันเข้าด้วยกัน แต่โดยรวมแล้ว ที่นี่จะเน้นแพทย์แผนจีนเป็หลัก
จิงซิงอี้รู้สึกว่าซวี่ฮั่นจริงใจและซื่อสัตย์ อุปกรณ์ของยี่ห้อใดที่เขาเห็นว่าคุณภาพไม่สมราคา เขาจะบอกชายหนุ่มตรงๆ และให้ข้อมูลประกอบเพิ่มเติม
เมื่อพวกเขาตกลงว่าจะซื้ออุปกรณ์ใดได้แล้ว ซวี่ฮั่นดีใจเป็อย่างมาก เขาลดราคาให้ถึงร้อยละ 15
ซวี่ฮั่นรู้สึกถูกชะตากับหมอหนุ่มคนนี้ด้วย รวมไปถึงการได้ฟังเื่การรักษาโรคจากหยวนซุน เขายิ่งทึ่งในความสามารถของจิงซิงอี้ เพราะในตอนนี้ หลายคนมองว่าแพทย์จีนไม่มีความน่าเชื่อถือมากนัก แต่จิงซิงอี้กลับสามารถรักษาโรคร้ายแรงอย่างหลอดเืสมองได้
ซวี่ฮั่นมองเห็นอนาคตที่สดใสของหมอหนุ่มคนนี้ จึงอยากจะผูกมิตรเอาไว้
เมื่อจบการขายแล้ว เขาก็ขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อขับรถกลับ แต่แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่สะโพกขวา จนเผลอร้องเสียงดังออกมาด้วยความเ็ป และทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ต่อ คนในร้านหันมามองด้วยความใ
จิงซิงอี้รีบลุกขึ้น เขาขออนุญาตดูอาการ และใช้มือกดไปที่สะโพกและขาข้างขวาของซวี่ฮั่น พร้อมกับสอบถามอาการ
“คุณซวี่ฮั่น คุณปวดแปลบๆบริเวณสะโพก แล้วก็ต้นขวาด้านขวานี้หรือครับ”
เมื่อซวี่ฮั่นตอบว่าใช่ จิงซิงอี้จึงถามต่อว่า “่นี้คุณนั่งหรือขับรถอยู่ในท่าเดียวเป็เวลานาน ๆ ด้วยใช่มั้ยครับ”
ซวี่ฮั่นตอบว่าใช่อีกครั้ง จิงซิงอี้ถามต่อว่า “่นี้คุณตากแอร์ ตากฝน บางทีก็เจออากาศร้อนสลับเย็นไปมาบ่อยๆ ใช่มั้ยครับ และตอนนี้ก็น่าจะเจ็บคอ แล้วก็มีเสมหะด้วย”
ซวี่ฮั่นพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น ลูกค้าในร้านบะหมี่รวมไปถึงเ้าของร้านพากันเงี่ยหูฟังด้วยความสนใจ พวกเขาทึ่งเมื่อได้ยินว่าสิ่งที่จิงซิงอี้พูดถูกต้องทั้งหมด จิงซิงอี้สรุปอาการว่า
“คุณเป็ออฟฟิศซินโดรม ที่เกิดจากการนั่งและอยู่ในท่าเดียวนานๆ ่นี้ยังถูกความเย็น ความร้อน ความชื้น แทรกตัวเข้าไปที่ิัและกล้ามเนื้อ ทำให้เส้นลมปราณอุดตัน ก็เลยเกิดอาการปวดขึ้นมา ผมคิดว่าคุณน่าจะพักผ่อนน้อยด้วย อวัยวะภายในจึงเสียสมดุลไป”
ซวี่ฮั่นรีบถามด้วยความกังวล “แล้วผมจะรักษาให้หายขาดได้มั้ยครับ ผมต้องทำมาหากิน จะหยุดพักรักษานานๆ ไม่ได้”
จิงซิงอี้ตอบว่า “รักษาให้หายได้ครับ ไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ต้องรักษาหลายอย่างพร้อมกัน และคุณก็ต้องออกกำลังอย่างสม่ำเสมอด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซวี่ฮั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาจึงขอให้หมอหนุ่มช่วยรักษาให้ ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ เขาจึงต้องไปที่บ้านของจิงซิงอี้ แต่ตอนนี้เขายังปวดสะโพกและยังขยับตัวไม่ได้
จิงซิงอี้จึงช่วยลดอาการเ็ปเบื้องต้น ด้วยการนวดทุยหนา และกดคลึงไปตามบริเวณที่เ็ปก่อน เพื่อบรรเทาอาการปวดและคลายกล้ามเนื้ออยู่ประมาณ 15 นาที
ซวี่ฮั่นรู้สึกว่าอาการปวดแปลบเหมือนเข็มแทงค่อยๆ บรรเทาลง ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินช้าๆ ไปที่รถเองได้ เขาขับรถตามจิงซิงอี้ที่ขี่จักรยานนำหน้า ไปจนถึงบ้านของเขาที่ท้ายหมู่บ้าน
เมื่อมาถึง จิงซิงอี้พาเขาไปรอในห้องที่หยวนซุนเคยรักษามาก่อน และเริ่มใช้การฝังเข็มเพื่อรักษา
จิงซิงอี้ทำความสะอาดิั และใช้เข็มกระตุ้นที่จุดอาซื่อเสวี่ยหรือจุดที่กดเจ็บบริเวณสะโพกและขาของซวี่ฮั่น เพื่อให้เืและชี่ไหลเวียนได้คล่อง จากนั้นจึงฝังเข็มเพิ่มเติมที่จุดใกล้และจุดไกลบริเวณที่เ็ป เมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ซวี่ฮั่นรู้สึกได้ทันทีว่าความเ็ปค่อยๆ ลดลง
ในระหว่างที่ฝังเข็ม จิงซิงอี้แนะนำท่าออกกำลังกายให้เขา และบอกให้เขาหลีกเลี่ยงการนั่งและนอนอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ
เมื่อรักษาเสร็จ เขานัดให้ซวี่ฮั่นมาพบอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังเพื่อเช็คอาการ และเขาจะทำแผ่นยาแปะแก้ปวดให้ด้วย ตอนนี้คลินิกยังไม่เสร็จ และสมุนไพรบางอย่างยังมีไม่ครบด้วย เขาจึงรักษาด้วยการฝังเข็มไปก่อน
ในขณะที่กำลังสอนท่าออกกำลังกายให้นั้น จิงซิงอี้ได้ยินเสียงเปิดประตูไม้หน้าบ้าน เมื่อมองออกไป เขาเห็นชายชรารูปร่างผอมบาง ผมขาว อายุประมาณ 70 ปี ที่ยังดูกระฉับกระเฉง เดินตรงมาหาเขา
จิงซิงอี้ยิ้มด้วยความดีใจ และทักทายว่า “คุณตากลับมาแล้ว!”
จิงเซียวยิ้มด้วยความเอ็นดู เมื่อเห็นว่ามีคนไข้ เขาจึงสอบถามอาการกับจิงซิงอี้ เมื่อได้ยินขั้นตอนการรักษา จิงเซียวพยักหน้าเห็นด้วยและพูดสั้นๆแค่ว่า “ดีมาก” และเดินกลับไปห้องพักของเขาทางทิศตะวันออกของบ้าน
อีกสักพัก ชายวัย 35-36 ปี หน้าตาดี รูปร่างผอมสูงเหมือนหนอนหนังสือคนหนึ่ง ก็เดินหอบข้าวของพะรุงพะรังเข้ามา และตรงไปยังห้องทำงานของจิงเซียว
เขาคือ ชุนเฉิง ลูกศิษย์คนที่สองของจิงเซียว ที่มักจะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกันกับอาจารย์ เพื่อเรียนรู้วิชาและหาประสบการณ์จริงอยู่บ่อยครั้ง
เมื่อรักษาซวี่ฮั่นจบแล้ว จิงซิงอี้เดินไปส่งเขาที่หน้าบ้าน ทั้งสองนัดแนะกันเื่อุปกรณ์การแพทย์ที่สั่งไป และวันเวลาที่ต้องมาติดตามอาการอีกครั้ง จากนั้น จิงซิงอี้ก็เดินกลับเข้าบ้านเพื่อไปหาจิงเซียวที่ห้องทำงาน
เขาเห็นชุนเฉิงกำลังรื้อของออกมาจากกระเป๋าและถุง เพื่อนำไปเก็บทั้งในห้องยาและห้องของจิงเซียว
เมื่อหันมาเห็นจิงซิงอี้ เขาจึงยิ้มให้ และทักทายสารทุกข์สุขดิบ ชุนเฉิงหยิบกล่องของฝากส่งให้จิงซิงอี้ ซึ่งเป็ขนมจากร้านชื่อดังในจังหวัด ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณศิษย์พี่รองของเขาด้วยความดีใจ
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานของจิงเซียว ชายชรากำลังนั่งทำงานอยู่ เขาหยิบสมุนไพรที่นำมาด้วย มาแกะออกดู ดมกลิ่น และคัดแยกใส่ตะกร้า เพื่อนำไปตากไล่ความชื้น ก่อนจะเก็บเข้าห้องยา
จิงซิงอี้ช่วยจิงเซียวคัดแยกสมุนไพร ที่เป็ทั้งสมุนไพรสด บางอย่างเป็เมล็ด ราก ใบ และบางอย่างเป็แบบแปรรูปแล้ว จิงเซียวอธิบายให้เขาฟังว่าแต่ละอย่างมีอะไรบ้าง และเขาได้มาจากไหน
ที่จริงแล้วจิงซิงอี้รู้จักเกือบทุกอย่าง แต่จิงเซียวสอนเขาเพิ่มเติมว่า พื้นที่ที่เขาเดินทางไป มีการใช้สมุนไพรเหล่านี้ในรูปแบบไหน และวิธีการแปรรูปที่แตกต่างออกไปด้วย
จากนั้น จิงเซียวก็สอบถามจิงซิงอี้ถึงความคืบหน้าในการก่อตั้งคลินิก พวกเขาพูดคุยกันสักพัก แล้วจิงเซียวก็ถามหลานชายขึ้นมาว่า
“เ้าจะตั้งชื่อคลินิกว่าอะไร”
