เดือนหนึ่งให้ข้าสิบกระปุก เ้ายังมีหน้ามาพูดว่า ‘แค่’ อีกหรือ? รอยยิ้มบนใบหน้าของอวิ๋นเหนียงชะงักไปชั่วขณะ อารมณ์พลันแปรปรวน นางพยายามสุดความสามารถเพื่อรักษาท่าทางที่สง่างามของตนเอาไว้
อวิ๋นเจียวมองหลงจู๊หญิงที่เกือบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ในใจก็ชื่นชมอวิ๋นฉี่เยว่เป็อย่างมาก เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้หลงจู๊ของร้านฝูหรงเซวียนเกือบจะรักษาท่าทีเอาไว้ไม่อยู่
การที่ไม่ต้องห่วงทุกเื่ด้วยตนเองเช่นนี้ ช่างเป็ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน ยี่สิบหกปีในชีวิตของนาง ต้องใช้ชีวิตดั่งคำที่ว่า ‘พึ่งพาูเา ูเาถล่ม พึ่งพาแม่น้ำ แม่น้ำไหลหนี [1]’ มานับครั้งไม่ถ้วน นางเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ท่านผู้อำนวยการเล่าให้นางฟังว่าตอนที่พวกเขาพบนางที่หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สายสะดือของนางยังไม่ได้ตัดเลย ท่านผู้อำนวยการเล่าว่าวันนั้นอากาศดีมาก บนท้องฟ้ามีเมฆสวยงามลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ลอยฟ่องราวกับดอกไม้ที่บานสะพรั่ง
ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้นางว่าอวิ๋นเจียว... โชคดียังดีที่ไม่ได้ตั้งว่าอวิ๋นฮวาเอ๋อร์... [2]
ในขณะที่ความคิดของอวิ๋นเจียวกำลังล่องลอยไปไกล ก็ได้ยินอวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยขึ้นว่า “หวังเพียงหลงจู๊จะไม่เปิดเผยที่มาของเครื่องประทินผิว พวกข้าอาศัยอยู่ในชนบท ้าเพียงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่อยากถูกใครรบกวน”
“ที่แท้ก็เื่แค่นี้เอง วางใจเถิด การที่ไม่มีใครรู้ที่มาของเครื่องประทินผิว ร้านฝูหรงเซวียนยินดีเป็อย่างยิ่ง เพียงแต่เดือนละสิบกระปุกมันน้อยไปหน่อยหรือไม่?”
อวิ๋นเหนียงรู้สึกโล่งใจ เมื่อไม่มีใครรู้ที่มาของเครื่องประทินผิว นางก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด
นางไม่ได้โต้แย้งเื่ราคาแม้แต่น้อย ซึ่งนี่คือความฉลาดของนาง สินค้าดีขนาดนี้ จะต่อรองราคาอะไรอีกเล่า หากทำให้คนขายไม่พอใจและถอยหนีไปขึ้นมา ทางร้านฝูหรงเซวียนคงพลาดโอกาสทำกำไรก้อนโตไปอย่างน่าเสียดาย
ยิ่งไปกว่านั้น นางรับซื้อมากระปุกละร้อยตำลึงเงิน พอส่งไปที่เมืองหลวง ต่อให้ขายกระปุกละหนึ่งพันตำลึงเงินก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน สิ่งเดียวที่ไม่น่าพอใจก็คือจำนวนน้อยเกินไป
อวิ๋นฉี่เยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อย่าว่าแต่หลักที่ว่า ‘ของหายากย่อมมีค่ามาก’ เพียงแค่ขั้นตอนการผลิตเครื่องประทินผิวนี้ไม่ใช่เื่ง่ายนัก หากทำสำเร็จหนึ่งในร้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว แต่อีกหน่อยพวกข้าสามารถจัดหาเครื่องประทินผิวที่มีคุณภาพด้อยกว่านี้เล็กน้อยให้กับทางร้านของท่านได้”
อย่างไรเสียอวิ๋นฉี่ซานก็ต้องรับหน้าที่ปรุงเครื่องประทินผิว ของที่เขาทำออกมาก็ต้องหาที่ขายอยู่แล้ว ราคาหนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็ราคาที่อวิ๋นเจียวเป็คนกำหนด เครื่องประทินผิวพวกนี้ในเถาเป่าขายอยู่ที่ประมาณร้อยกว่าหยวนต่อกระปุก นางขายร้อยตำลึงเงินต่อกระปุก ถือว่าได้กำไรเป็ร้อยเท่าแล้ว
ต้องเข้าใจว่าหนึ่งตำลึงเงินในเถาเป่า มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน หนึ่งร้อยตำลึงเงินก็เท่ากับหนึ่งหมื่นห้าพันหยวนเลยทีเดียว อีกอย่างอวิ๋นเจียวรู้ดีว่า หากโลภมากเกินไปก็ไม่ใช่เื่ดี มีคำกล่าวว่า ‘คนไร้ความผิด หากมีหยกกลับเป็โทษ [3] ’ หนึ่งร้อยตำลึงเงิน ร้านใหญ่ๆ อย่างร้านฝูหรงเซวียนคงไม่สนใจเท่าไรนัก
แต่ถ้าหากกระปุกละหนึ่งพันตำลึงเงินหรือหนึ่งหมื่นตำลึงเงินล่ะ? ความโลภสามารถครอบงำจิตใจคนได้ง่าย ไม่แน่ว่าอาจมีคนคิดจะแย่งชิงสูตรลับ ถึงตอนนั้นครอบครัวของพวกนางคงเดือดร้อนแน่
ส่วนเื่ที่หนึ่งเดือนจัดหาให้เพียงสิบกระปุกนั้น เป็ความตั้งใจของอวิ๋นฉี่เยว่อยู่แล้ว เหตุผลประการแรกคือไม่อยากให้อวิ๋นเจียวเหนื่อย ประการที่สองคือของหายากย่อมมีราคาแพง ของดีแค่ไหน หากมีมากเกินไปก็ไร้ราคา
คำพูดของอวิ๋นฉี่เยว่ฟังดูจริงใจและมีเหตุผลอย่างมาก แม้ว่าอวิ๋นเหนียงจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วก็เข้าใจได้ ของในโลกนี้ หากได้มาง่ายๆ ก็มิใช่ของดี ยิ่งไปกว่านั้นราคาที่เด็กหนุ่มแซ่อวิ๋นคนนี้เสนอมานั้น นางคิดว่ายุติธรรมมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น จากสิ่งที่เขาพูดแล้ว ครอบครัวของเขาน่าจะทำเครื่องประทินผิวแบบอื่นๆ ได้อีกด้วยกระมัง?
น่าจะเป็เช่นนั้น กว่าจะทำเครื่องประทินผิวชั้นเลิศเช่นนี้ออกมาได้ ต้องมีของที่ทำพลาดมากมายเป็แน่ แต่แม้จะเป็ของที่ทำพลาด ไม่แน่อาจจะดีกว่าเครื่องประทินผิวที่ขายตามท้องตลาดในตอนนี้เสียอีก
“เช่นนั้นเอาแบบนี้ดีหรือไม่ ราคาเครื่องประทินผิวเรากำหนดไว้ที่หนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงินต่อกระปุก เดือนหนึ่งอย่างน้อยสิบกระปุก และพวกเ้าขายให้กับทางร้านฝูหรงเซวียนของพวกเราเท่านั้น ในขณะเดียวกันหากอนาคตมีเครื่องประทินผิวแบบอื่นๆ ก็ต้องมาคุยกับทางร้านฝูหรงเซวียนของพวกเราก่อน”
การเพิ่มราคาเครื่องประทินผิวนั้น ไม่ใช่อวิ๋นเหนียงใจกว้างเปล่าๆ แต่เป็เพราะนาง้าสร้างสัมพันธ์อันดีกับเด็กหนุ่มตรงหน้า เพราะนางรู้ดีถึงโอกาสทางการค้าเื้ัเครื่องประทินผิวนี้ หากมีเครื่องประทินผิวนี้ ชื่อเสียงของร้านฝูหรงเซวียนต้องโด่งดังไปทั่วเป็แน่
อวิ๋นเจียวอดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเหนียงด้วยความชื่นชม ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ช่างรู้จักทำการค้าได้อย่างแยบยล!
ตามหลักเหตุผลแล้ว คนทำการค้ามักจะชอบกดราคา เพราะยิ่งกดราคาต่ำเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งได้กำไรมากขึ้นเท่านั้น แต่อวิ๋นเหนียงผู้นี้กลับเลือกที่จะทำตรงกันข้าม แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาที่น่าชื่นชม อวิ๋นเจียวรู้สึกว่าวันนี้นางได้รับบทเรียนอันล้ำค่าแล้ว
“เช่นนั้นก็ต้องขอบคุณหลงจู๊ซุน เช่นนั้นพวกเรามาทำสัญญากันเถิด” อวิ๋นฉี่เยว่โค้งคำนับขอบคุณอวิ๋นเหนียง และเสนอให้ทำสัญญาทันที
“ตกลง ข้าจะให้คนไปร่างสัญญามาให้”
ไม่นานสัญญาก็ร่างเสร็จ ในสัญญาไม่ได้ระบุปริมาณการจัดหาเครื่องประทินผิว เพียงแต่ระบุชัดเจนว่าตราบใดที่ทางร้านฝูหรงเซวียนยังคง้าสินค้าอยู่ เครื่องประทินผิวชั้นดีของบ้านตระกูลอวิ๋นจะต้องขายให้กับทางร้านฝูหรงเซวียนเท่านั้น ในขณะเดียวกันทางร้านฝูหรงเซวียนต้องช่วยรักษาความลับให้กับบ้านตระกูลอวิ๋น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญา จะต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็เงินจำนวนหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน
อวิ๋นฉี่เยว่ตรวจสอบดูแล้ว ก็รู้สึกว่าค่อนข้างสมเหตุสมผล จึงลงนามประทับตราในสัญญา
สำหรับค่าเสียหายหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน เขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย ถือเป็เพียงการเพิ่มน้ำหนักให้กับสัญญาเท่านั้น เดิมทีครอบครัวของเขาก็้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เมื่อตกลงกับร้านนี้แล้ว พวกเขาก็จะไม่ไปร่วมมือกับร้านอื่นๆ อีกอย่างเงินทองเป็สิ่งที่เขาไม่เคยสนใจ ต่อให้อวิ๋นเจียวไม่ขายเครื่องประทินผิว เพียงแค่เขาเขียนบทประพันธ์สองสามเื่ ก็สามารถทำให้เจียวเอ๋อร์มีชีวิตที่ดีได้แล้ว
เมื่อเห็นอวิ๋นฉี่เยว่ทำท่าทีไม่ใส่ใจ ไม่ได้กังวลต่อเื่ค่าเสียหายจำนวนมหาศาลเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้อวิ๋นเหนียงก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย อันที่จริงแล้วที่นางให้คนเขียนค่าเสียหายจำนวนมากขนาดนั้นลงไปในสัญญา ก็เพราะกลัวว่าบ้านตระกูลอวิ๋นจะนำสินค้าไปขายให้กับร้านอื่น
หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว อวิ๋นเหนียงก็จ่ายเงินค่าเครื่องประทินผิวสี่กระปุกตามที่อวิ๋นฉี่เยว่ร้องขอ เป็เงินสดหนึ่งร้อยตำลึงเงิน และตั๋วเงินอีกห้าร้อยตำลึงเงิน
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายตกลงวันส่งมอบเครื่องประทินผิวที่เหลืออีกหกกระปุกแล้ว อวิ๋นเหนียงก็ให้คนเตรียมชุดเครื่องประทินผิวชั้นดีมามอบให้อวิ๋นเจียวเป็ของขวัญ จากนั้นจึงเดินไปส่งพวกเขาทั้งสามคนด้วยตนเอง
หลังจากส่งอวิ๋นเจียวและคนอื่นๆ ออกจากร้านแล้ว อวิ๋นเหนียงก็เรียกลูกจ้างที่คอยต้อนรับพวกเขามากำชับอะไรบางอย่าง จากนั้นจึงนำเครื่องประทินผิวไปที่ห้องของฉู่อี้ด้วยความเร่งรีบ
เมื่อมาถึงหน้าประตู อวิ๋นเหนียงก็เอ่ยถามหลิวจ้าน องครักษ์ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “ซื่อจื่อเข้านอนแล้วหรือ?”
หลิวจ้านตอบ “เพิ่งดื่มยาเสร็จขอรับ ยังไม่นอน” กล่าวจบหลิวจ้านก็เข้าไปรายงานว่าอวิ๋นเหนียงมาขอเข้าพบ
ฉู่อี้อนุญาตให้นางเข้ามา เห็นอวิ๋นเหนียงถือถาดใบหนึ่ง บนถาดมีกระปุกดินเผาใบเล็กๆ วางอยู่สี่ใบ “นี่คืออะไร?”
ภายใต้สายตาบอกเป็นัยของฉู่อี้ จางหลิงจึงก้าวไปหยิบกระปุกดินเผาใบหนึ่งขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะนำไปวางไว้ตรงหน้าฉู่อี้ กลิ่นหอมโชยมาเตะจมูก ฉู่อี้รู้สึกว่ากลิ่นนี้คุ้นเคยอย่างประหลาด
“เรียนซื่อจื่อ นี่คือเครื่องประทินผิวเ้าค่ะ! ไม่ว่าจะเป็กลิ่นหรือเนื้อัั รวมถึงผลลัพธ์หลังทา ล้วนดีกว่าเครื่องประทินผิวที่ดีที่สุดในท้องตลาดหลายเท่า หากร้านฝูหรงเซวียนของเรามีเครื่องประทินผิวนี้ ตำแหน่งร้านเครื่องหอมอันดับหนึ่งของแคว้นต้าเยี่ยคงไม่ไกลเกินเอื้อม”
กล่าวจบอวิ๋นเหนียงก็วางถาดลงบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่ข้างๆ จากนั้นใช้ปลายนิ้วแตะเครื่องประทินผิวมาทาที่หลังมือของจางหลิงเล็กน้อย ทันใดนั้นผิวที่หยาบกร้านบนหลังมือของจางหลิงก็ดูเนียนนุ่มขึ้นทันตา
ฉู่อี้มองดูด้วยแววตาเป็ประกาย เขายื่นมือออกไป บอกกับอวิ๋นเหนียงว่า “ให้ข้าลองดูหน่อย”
อวิ๋นเหนียงรีบแตะเครื่องประทินผิวมาทาที่หลังมือของฉู่อี้ แววตาของฉู่อี้ดูล้ำลึกขึ้น นิ้วมือลูบไล้บริเวณที่ทาเครื่องประทินผิวเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “ใครเป็คนส่งสิ่งนี้มา?”
อวิ๋นเหนียงตอบด้วยความเคารพ “เป็เด็กหนุ่มแซ่อวิ๋น... ที่อาศัยอยู่ที่หมู่บ้านไหวซู่ที่ตีนเขาไป๋อวิ๋นเ้าค่ะ”
นางเล่าเื่ที่ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกับพี่น้องตระกูลอวิ๋นให้ฟังอย่างละเอียด จางหลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ไยจึงบังเอิญเช่นนี้?
เชิงอรรถ
[1] พึ่งพาูเา ูเาก็ถล่ม พึ่งพาแม่น้ำ แม่น้ำก็ไหลหนี (靠山山倒,靠河河跑) หมายถึง การพึ่งพาผู้อื่นหรือสิ่งภายนอกนั้นไม่มั่นคง และอาจทำให้เกิดความผิดหวังได้
[2] ชื่ออวิ๋นเจียวและอวิ๋นฮวาเอ๋อร์ทั้งสองชื่อมีความหมายเกี่ยวกับดอกไม้เหมือนกัน
[3] คนไร้ความผิด หากมีหยกกลับเป็โทษ (匹夫无罪,怀璧其罪) หมายถึง การสิ่งของมีค่าอาจนำภัยมาสู่ตน