“สำหรับเ้ามันสายเกินไป แต่สำหรับเขา มันไม่สายไปเลยสักนิด เพียงแค่เขายินยอมเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ข้าก็จะดูแลเขาเป็อย่างดี”
ต้วนเทียนหลางกล่าวขณะมองหนานกงหลิง เขาได้เห็นพร์ของหลินเฟิงด้วยตาของตัวเอง ถึงแม้ว่านิกายเฮ่าเยว่และนิกายหยุนไห่จะมีศิษย์ที่ยอดเยี่ยมอยู่มากมาย แต่หลินเฟิงก็ถือว่าโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ หากหลินเฟิงเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ด้วยพร์ของเขา เขาจะกลายเป็คนที่ถูกจับตามองมากที่สุด
แน่นอนเหวินเริ่นเหยียนก็ด้วย แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง แต่พร์และความแข็งแกร่งนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็พละกำลังที่สมบูรณ์แบบเป็อย่างมาก แทบจะไม่มีจุดอ่อน ถ้าวันนี้หลินเฟิงไม่มาปรากฏตัว แน่นอนว่าเหวินเริ่นเหยียนต้องเป็ศิษย์ที่ทรงพลังที่สุดในนิกายหยุนไห่
“พร์ของหลินเฟิงนั้นยอดเยี่ยมมาก มันคงเป็เื่ที่น่าเสียดาย หากเขาจะต้องถูกทำลายไปพร้อมๆ กับนิกาย อีกทั้งต้วนเทียนหลางก็ยังสนใจในพร์ของหลินเฟิงเป็อย่างมาก”
“หลินเฟิงนั้น มีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด”
มีหลายๆ คนต่างถอนหายใจ คนที่มีพร์โดดเด่นล้วนสามารถดึงดูดความสนใจได้
นอกจากนี้หลินเฟิงก็เพิ่งถามท่านประมุขเหมือนกัน ั้แ่ที่เขาอยู่ในนิกายหยุนไห่มา แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับการเคารพ มีแต่ความอับอายและอุบายที่ชั่วร้าย เขาไม่จำเป็ต้องอยู่ที่นิกายหยุนไห่อีกแล้ว
“พวกเ้าทั้งสองคนเพียงแค่พยักหน้า ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ก็จะต้อนรับพวกเ้า นอกจากนี้ฐานะของพวกเราก็ยังดีกว่านิกายหยุนไห่อย่างแน่นอน”
ต้วนเทียนหลางเริ่มพูดเชิญชวนหลินเฟิงและเหวินเริ่นเหยียน
“ลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อีกแล้ว”
หลินเฟิงนึกถึงตอนที่หลิ่วเฟยได้ชักชวนเขาไม่กี่ครั้ง เพื่อเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ แต่เขายังไม่ได้ตอบตกลง
ไม่คิดว่าเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ จะมีคนชักชวนให้เข้าร่วม แต่สถานการณ์นี้มันกลับแตกต่างกันมาก ความหมายในการชักชวนของทั้งสองคนช่างแตกต่างกันเป็อย่างมาก
สายตาของเหวินเริ่นเหยียนกะพริบไม่หยุด และเหลือบมองหญิงชราที่อยู่ข้างๆ และกล่าวกับต้วนเทียนหลางอย่างเ็า
“หึ ข้าเหวินเริ่นเหยียน ได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์ ได้รับความเมตตากรุณาจากนิกาย ข้าจะฏต่อนิกายได้อย่างไร?”
เมื่อหญิงชราได้ยินคำพูดของเหวินเริ่นเหยียน ความโล่งอกจึงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ไม่เสียแรงที่นางยอมขายหน้าเพื่อช่วยชีวิตเหวินเริ่นเหยียนไว้
“แท้จริงแล้วเหวินเริ่นเหยียนได้รับความเมตตากรุณาจากนิกายมาตั้งมากมาย แต่เหตุผลที่ยังอยู่นั้น ช่างน่าเสียดายเสียจริงที่เป็อัจฉริยะ”
“แม้ว่าเหวินเริ่นเหยียนจะพ่ายแพ้ให้กับหลินเฟิง แต่ก็ยังถือว่าเป็ลูกผู้ชายพอ”
ในใจของทุกคนต่างเรียกร้อง เมื่อเห็นเหวินเริ่นเหยียนในเวลานี้ที่กำลังมองต้วนเทียนหลางอย่างโกรธเกรี้ยว
“ประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่นับพันปี ตอนนี้ได้ถูกทำลายแล้ว ช่างน่าสมเพช ข้าเหวินเริ่นเหยียน…”
ขณะที่พูด เหวินเริ่นเหยียนได้ปลดปล่อยจิติญญาแห่งนักรบออกมา จิติญญาอสูรไผ่น้ำเงินพลันปรากฏขึ้น
ด้วยการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วของเหวินเริ่นเหยียน เขาได้พุ่งเข้าหาต้วนเทียนหลาง ขณะเดียวกันเหวินเริ่นเหยียนได้กล่าวออกมา
“ข้าเหวินเริ่นเหยียน ในอนาคตจะต้องฟื้นฟูนิกายได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อพูดจบ เหวินเริ่นเหยียนก็ได้มาถึงตัวต้วนเทียนหลางแล้ว ด้วยแววตาอันเย็นะเื
“…”
สายตาของทุกคนต่างเบิกค้างราวกับถูกแช่แข็ง เมื่อมองไปยังฉากที่กำลังเกิดขึ้น ทุกสายตาจับจ้องไปยังเหวินเริ่นเหยียนอย่างโกรธเกรี้ยว
“ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
“มันช่างน่าอับอายเสียจริง อัจฉริยะที่นิกายคอยฝึกฝน ถ้าเป็อย่างที่หมายถึงจริง มันก็ด้านหน้าเกินไปแล้ว”
เหล่าผู้คนจำนวนมากอดไม่ได้ที่จะบ่นและก่นด่าเสียงดัง
“ฮ่าๆ…” แม้แต่ต้วนเทียนหลางก็แปลกใจ จากนั้นก็หัวเราะและกล่าวว่า “เหวินเริ่นเหยียน เ้าวางใจได้ ความสำเร็จของตัวเ้าในอนาคตจะมากกว่าเ้าในวันนี้อย่างแน่นอน”
“สัตว์เดรัจฉาน”
หญิงชราตัวสั่นเทาไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กลิ่นอายอันเย็นะเืได้แพร่กระจายออกมา และพุ่งเข้าหาเหวินเริ่นเหยียนทันที
ในขณะนั้นผู้าุโที่อยู่ข้างๆ ต้วนเทียนหลางพลันย้ายตัวไป และดาบั์จู่ๆ ก็เปล่งประกายแสงสาดส่อง ในชั่วพริบตาก็ได้ฟาดฟันไปยังหญิงชรา
เสียงฟ้าร้องคำรามทำให้ลานประลองเป็ตายต้องสั่นสะเสือน และหญิงชราก็ได้กลับไปอยู่ที่เดิมอย่างล้มเหลว
“ท่านอาจารย์วางใจเถิด ในอนาคตข้าจะแข็งแกร่งและดูน่าเกรงขามกว่าท่านอย่างแน่นอน”
เหวินเริ่นเหยียนมองไปที่หญิงชราและกล่าวอย่างมั่นใจ ความโกรธเกรี้ยวทำให้นางอาเจียนออกมาเป็เื นางเสียเืเสียเนื้อไปตั้งมากมายเพื่อเลี้ยงดูเดรัจฉานตัวหนึ่งชัดๆ
“ไม่ต้องรีบ ยังไม่ถึงเวลาที่เ้าจะลงมือ”
ต้วนเทียนหลางปลายตามองหญิงชรา จากนั้นกล่าวกับหลินเฟิงว่า “แล้วเ้าล่ะ? เหวินเริ่นเหยียนได้ทรยศแล้ว นิกายหยุนไห่ไม่ได้มีบุญคุณต่อเ้าเลย เ้ายังจำเป็ต้องพิจาราณาอยู่อีกหรือ?”
สายตาของหลินเฟิงที่มองต้วนเทียนหลางยังคงสงบนิ่ง ราวกับไม่มีเื่อะไรจะทำให้เขาสั่นไหวได้
สายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่หลินเฟิง ขณะรอคอยคำตอบของเขา
“หลินเฟิง เขาพูดถูก นิกายหยุนไห่ไม่ได้มีบุญคุณต่อเ้า เ้าไปเสียเถิด ข้าจะไม่โทษเ้า และคนของนิกายหยุนไห่ก็จะไม่ไปขวางทางเ้า”
หนานกงหลิงกล่าวขณะที่เขายังคงยืนนิ่งอยู่บนอัฒจันทร์ การทรยศของเหวินเริ่นเหยียน ถือว่าเป็บาปที่มิอาจให้อภัยได้ เพราะั้แ่เล็กเขาได้ถูกฝึกมาอย่างหนักโดยนิกาย ขนาดหญิงชรายังยอมรับเขาเป็ศิษย์ แต่หลินเฟิงนั้นแตกต่างกัน เขาไม่ได้มีอะไรติดค้างนิกายหยุนไห่ ถึงแม้หนานกงหลิงจะไม่อยากให้หลินเฟิงทรยศ แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลพอที่จะรั้งหลินเฟิงไม่ให้ทรยศได้
แม้ว่าหลินเฟิงจะตอบรับข้อเสนอของต้วนเทียนหลาง แต่ในใจของหนานกงหลิงยังคงเป็ทุกข์ แต่จะไม่ตำหนิหรือโทษหลินเฟิงอย่างใด
“ท่านก็เห็นกับตาแล้วนี่ ระหว่างข้ากับเขาเป็เหมือนน้ำกับไฟ ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้ ตอนนี้ท่านรับเขาไปเป็พวกแล้ว และยังคิดจะดึงข้าเข้าไปเป็พวกด้วยอีกคน?! ท่านคงไม่คิดว่าข้าจะตอบตกลงหรอกใช่ไหม?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น จึงทำให้เหวินเริ่นเหยียนมึนงง ถ้าถามว่าตอนนี้เขาเกลียดใคร ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นก็คือหลินเฟิง
“ในโลกนี้ไม่ได้มีศัตรูเสมอไป นอกจากนี้ถ้าเ้าเกลียดเขา ข้าจะทำให้เ้าและเขาเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่อย่างยุติธรรม ใครแสดงดีกว่าและใครจะได้รับความสำคัญกว่า หลังจากนี้ไม่กี่ปี ความแค้นของพวกเ้า ข้าก็จะไม่สน เ้าฆ่าเขาหรือเขาฆ่าเ้า มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า โดยตัดสินจากความแข็งแกร่งของพวกเ้า”
“ไม่!” หลินเฟิงส่ายหัว “มีเขาก็ต้องไม่มีข้า มีข้าก็ต้องไม่มีเขา”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยว จึงทำให้ต้วนเทียนหลางต้องขมวดคิ้ว
“งั้นเ้า้าอะไร?”
“ฆ่าเขาซะตอนนี้ แล้วข้าจะตอบตกลง”
น้ำเสียงของหลินเฟิงช่างเยือกเย็น จนทำให้สีหน้าของเหวินเริ่นเหยียนซีดเซียว ไอ้สารเลว…
“ไม่มีทางเลือกอื่น?” ต้วนเทียนหลางกล่าวถาม
“ไม่มี นี่คือเส้นตายของข้า” หลินเฟิงกล่าว
ต้วนเทียนหลางลังเลเล็กน้อยพลางครุ่นคิด จากนั้นก็กล่าวว่า “ข้าสัญญา แต่เ้าต้องสัญญาก่อนว่าจะเข้าร่วมกับพวกเรา จากนั้นเดินมาอยู่ข้างๆ ข้า แล้วข้าจะทำตามเงื่อนไขของเ้า”
“ตูม!” ร่างกายของเหวินเริ่นเหยียนสั่นเทาไปด้วยความหนาวเย็นะเื เพียงแค่หลินเฟิงพยักหน้า ต้วนเทียนหลางก็จะฆ่าเขา?
มันช่างเปล่าประโยชน์เพราะเขาได้ทรยศนิกายและถูกประจาน ท้ายที่สุดมันก็จบลงเช่นนี้? ช่างไร้สาระเสียจริง
ฝูงชนต่างใ เป็ไปอย่างที่คิดไว้ว่าต้วนเทียนหลางได้ให้ความสำคัญต่อหลินเฟิงมากกว่า ส่วนเหวินเริ่นเหยียนนั้นยังห่างไกลอีกมาก และถึงกับต้องฆ่าเหวินเริ่นเหยียนเพื่อให้หลินเฟิงเข้าร่วม
ดูเหมือนว่า เหวินเริ่นเหยียนได้ถูกกำหนดให้ต้องตาย
“ไม่ ท่านต้องฆ่าเขาก่อน” แต่หลินเฟิงกลับส่ายหน้า และยังคงยืดหยัดเหมือนเดิม
“ถ้าข้าฆ่าเขาแล้ว เ้าจะทำตามสัญญาหรือไม่?” ต้วนเทียนหลางส่ายหัวเช่นเดียวกัน “ถ้าอย่างนั้น หรือเ้าพยายามหลอกข้า?”
เมื่อหลินเฟิงได้ยินคำพูดของต้วนเทียนหลาง จึงหัวเราะออกมา “ท่านเป็คนฉลาด ทั้งระมัดระวังตัวและรอบคอบเป็อย่างมาก ข้ามักจะไม่ชอบคนประเภทนี้มากนัก”
“เ้าหมายความว่าจะปฏิเสธข้างั้นหรือ?”
“ถูกต้อง” หลินเฟิงพยักหน้า นี่จึงทำให้ทุกคนต่างใอีกครั้ง
คาดไม่ถึงว่าหลินเฟิงจะไม่ยินยอมเข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ เขาเพียงแค่หยอกล้ออีกฝ่าย เพื่อที่จะยืมมือต้วนเทียนหลางไปฆ่าเหวินเริ่นเหยียนที่ทรยศต่อนิกาย
ทุกๆ คนต่างรู้สึกประหลาดใจและไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เหวินเริ่นเหยียน เ้าเห็นหรือยัง? ว่าเ้ามันก็เป็เพียงแค่ขยะคนหนึ่ง ที่จะถูกทิ้งตอนไหนก็ได้ แม้ว่าเ้าจะมีชีวิตอยู่ แต่เ้าก็ทำได้เพียงอยู่ใต้เงาของข้าเท่านั้น”
น้ำเสียงของหลินเฟิงราวกับค้อนที่หนักแน่น มันตีลึกเข้าไปในหัวใจของเหวินเริ่นเหยียน ความภาคภูมิใจของเขาได้ถูกทุบแตกเป็เสี่ยงๆ
ใช่แล้ว เพียงแค่หลินเฟิงพยักหน้า เขาก็จะถูกทอดทิ้ง ช่างน่าเศร้าเสียจริง
“พอได้แล้ว” สีหน้าของต้วนเทียนหลางดูเยือกเย็นลงขณะจ้องมองไปที่หลินเฟิง “ข้าชื่นชมในความกล้าหาญของเ้าและสามารถให้เหตุผลกับข้าได้ แต่เ้าปฏิเสธเหตุผลของข้า?”
ต้วนเทียนหลางคิดว่าหลินเฟิงไม่ได้มีความสำคัญต่อนิกายหยุนไห่เลยแม้แต่น้อย แต่เขาถึงกับ้าฆ่าเหวินเริ่นเหยียน ทำไมหลินเฟิงถึงได้ปฏิเสธต้วนเทียนหลาง
“แม้ว่านิกายหยุนไห่จะไม่ได้มีพระคุณต่อข้า แต่อย่างน้อยผู้าุโเป่ยก็มีพระคุณต่อข้าและให้ความสำคัญกับข้า นอกจากนี้ในนิกายหยุนไห่ยังมีสหายและพี่น้องของข้าอยู่ อีกอย่างข้าไม่อยากกลายเป็ศัตรูกับพวกเขาเพียงเพื่อความอยู่รอด”
น้ำเสียงของหลินเฟิงยังคงสงบนิ่ง “ข้า หลินเฟิง เป็เพียงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่แสวงหาเกียรติยศ ยึดมั่นในความคิดของตน และมีบรรทัดฐานเป็ของตัวเอง”
ถึงเสียงที่พูดออกมามันจะไม่ดังมากนัก แต่ทุกคนต่างได้ยินกันชัดเจน
“ผู้าุโเป่ยมอบน้ำให้ข้าหนึ่งหยด แต่ข้าจะตอบแทนด้วยน้ำพุทั้งบ่อ”
เป็ประโยคที่เรียบง่ายและธรรมดามาก แต่กลับเป็เหมือนระฆังที่ดังในยามเช้า และเคาะเข้าไปในจิติญญาของฝูงชน
ดูเหมือนจะเป็คำพูดที่แสนง่าย แต่ใครล่ะจะกล้าทำเช่นนี้เหมือนกับหลินเฟิง
ใบหน้าที่ซีดเซียวมานานนับหลายปีของผู้าุโเป่ย ตอนนี้ได้มีใบหน้าสีแดง เขาตระหนักได้ว่าเขานั้นเป็คนสำคัญแค่ไหน
ผู้าุโเป่ยรู้สึกว่ามีสองสิ่งที่ภูมิใจมากที่สุดใน่ชีวิตของเขา หนึ่งคือได้รับหลิ่วชั่งหลันเป็ศิษย์ ประการที่สองคือได้รู้จักกับหลินเฟิง
เพียงแค่เป็คำพูดธรรมดาของเด็กหนุ่มนี่ แต่กลับคมลึกเข้าไปในหัวใจของเขา
“ผู้าุโเป่ย ท่านมองคนไม่ผิดจริงๆ แต่เป็ข้าหนานกงหลิงที่ตาบอดเอง ที่เพิ่งจะค้นพบว่านิกายได้มีอัจฉริยะเช่นนี้อยู่”
หนานกงหลิงได้แต่ตำหนิตัวเอง
หญิงชราก็มองผู้าุโเป่ย และกล่าว “สายตาของเ้านั้นดีกว่าของข้าเยอะเลย เฮ้อ… เ้าจำสัญญาของข้าได้ใช่ไหม”
“ใช่ วางใจเถิด” ผู้าุโเป่ยพยักหน้า ซึ่งทำให้คนอื่นๆ ต่างสับสนงงงวย ไม่เข้าใจว่าที่พวกเขาทั้งสองคนสัญญานั้น มันหมายถึงอะไรกันแน่
ในขณะนั้นใบหน้าของต้วนเทียนหลางดูน่าเกลียดเป็อย่างมาก
