เล่มที่ 3 บทที่ 75
คำพูดของจ้าวจื่อซินทำให้ทุกคนประหลาดใจ พวกนางแต่ละคนเคยได้ยินถึงชื่อเสียงกิตติศัพท์ของหมอเทวดา แต่ไม่รู้ว่าหมอเทวดาเป็อย่างไร? ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของจ้าวจื่อซินจึงยากที่จะเชื่อ
แต่แม่นมฟางที่อยู่ด้านข้างดวงตาถึงกับเป็ประกายหลังจากได้ฟังคำพูดของจ้าวจื่อซิน
“ในเมื่อเป็เช่นนั้น ถ้าไปก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหา ฮูหยินหลิงชอบความเงียบสงบอยู่เสมอ แม้กระทั่งสาวใช้ที่อยู่เคียงข้างนางยังมีเพียงไม่กี่คน นางไม่ชอบให้พาบ่าวเข้าร่วมงานเลี้ยงมากเกินไป ถึงเวลานั้นให้จ้าวจื่อซินและชุ่ยเอ๋อร์ไปจะดีกว่า ถ้ามีอะไร เ้าจะได้ตักเตือนคุณชายรอง" หลังจากที่ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจได้ นางก็ขยิบตาให้ฟางเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ สาวใช้คนสนิทเข้าใจทันที หญิงสาวจึงหยิบเทียบเชิญซึ่งประทับตราแล้วส่งให้จ้าวจื่อซิน
เลิกคิ้วขึ้นพร้อมรับเทียบเชิญ จากนั้นจ้าวจื่อซินจึงหันมองฮูหยินผู้เฒ่าอย่างไร้ซึ่งการปิดบัง นี่เป็ครั้งแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบหมายงานกับเขาจริงๆ ในรอบหลายปี ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ที่มู่หรงฉิงประสบในคราวนี้ จะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าวิตกกังวลเป็อย่างมาก และนับได้ว่าเป็การยอมรับอย่างจริงจังว่าในจวนนี้นอกจากจ้าวจื่อซินแล้ว คงไม่มีใครสามารถปราบปรามเฉินเทียนหยูขณะบ้าคลั่งได้
หลังจากมอบหมายงานเสร็จเรียบร้อย ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินเฉินก็ออกจากเรือนม่อเหอเพื่อไม่ให้เป็การรบกวนการพักผ่อนของมู่หรงฉิง เดิมทีแม่รองเฉิน้าอยู่ต่ออีกสักพักหนึ่ง แต่เมื่อนางถูกสายตาอันเฉียบคมของฮูหยินผู้เฒ่าจ้องมอง นางจำต้องเดินตามอย่างเชื่อฟังทันควัน
ภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกหน หลงเหลือเพียงเสียงสะอื้นของเฉินเทียนหยูเป็ครั้งคราว จ้าวจื่อซินชายตามองไปทางเฉินเทียนหยูพลางคิดตรึกตรอง ดูท่าคราวนี้เขาคงจะเศร้าจริงๆ
เพียงแต่เศร้าแล้วจะมีประโยชน์อะไร? มันช่วยอะไรนางไม่ได้เลย ได้แต่สร้างปัญหาให้กับนางได้เท่านั้น สภาพเช่นนี้ของเฉินเทียนหยูสำหรับนางแล้ว มันเป็ภาระของนางเท่านั้น
คิดในใจดังนั้น เขาก็รู้สึกรำคาญเล็กน้อยอย่างไม่อาจอธิบายเป็คำพูดได้ ก่อนเก็บเทียบเชิญและหมุนตัวหันหลังเดินออกจากห้อง
“ท่านพี่อย่าร้องไห้อีกเลย ถ้าร้องไห้อีกมันคงดูไม่ดี” นางลอบถอนหายใจ ทำไมเฉินเทียนหยูถึงได้เหมือนผู้หญิงล่ะ? ร้องไห้แล้วก็ไม่หยุดร้องไห้เสียที นางยังไม่ได้ร้องไห้เลยแต่เขากลับร้องไห้ไม่หยุด
"แต่…"
“ฉิงเอ๋อร์วาดภาพเหมือนให้ท่านพี่ดีหรือไม่? ท่านพี่จะต้องยิ้ม ไม่เช่นนั้นจะดูไม่ดี” เกลี้ยกล่อมด้วยเสียงเบา ก่อนจะสั่งให้ปี้เอ๋อร์เตรียมอุปกรณ์เครื่องเขียนในห้องหนังสือ จากนั้นลุกขึ้นนั่งบนเก้าอี้ยาว
เฉินเทียนหยูได้เห็นว่าใบหน้าของมู่หรงฉิงเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม มันส่งผลให้หัวใจของเขาสงบลง ครั้นเห็นนางลงจากเก้าอี้ยาว เขาก็อุ้มนางขึ้นมาและพูดว่า "ข้าจะอุ้มน้องหญิงไปเอง"
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอุ้มนาง แต่คราวนี้มู่หรงฉิงรู้สึกชัดเจนว่าอ้อมกอดของเฉินเทียนหยูสั่นเทาเล็กน้อย
เขากลัวหรือ? เขากลัวว่านางจะตายในมือของเขาหรือ? คนโง่งมเช่นเขาจะกลัวได้อย่างไร?
หลังจากเข้าไปในห้องหนังสือจึงพบว่าปี้เอ๋อร์ได้ฝนหมึกให้เรียบร้อยแล้ว เฉินเทียนหยูพาตัวเองไปนั่งลงตรงข้ามมู่หรงฉิง มองดูนางอย่างกระตือรือร้น
พู่กันจุ่มน้ำหมึก จากนั้นละเลงกลายเป็รูปร่าง การละเลงหมึกในแต่ละครั้งคล้ายปรากฏความอ่อนโยนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อจ้าวจื่อซินเข้ามาจึงได้เห็นท่าทีจดจ่อของมู่หรงฉิง เขารู้สึกเป็ทุกข์ในใจชั่วขณะหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล นางวาดภาพเฉินเทียนหยูอย่างตั้งใจ ด้วยความตั้งใจเช่นนั้นช่างหายากจริงๆ
สาวเท้าไปข้างหน้า เขาอยากเห็นภาพเฉินเทียนหยูที่นางวาดว่าเป็อย่างไร แต่เมื่อเห็นคนในภาพ ดวงตาของเขาถึงกับตื่นตะลึง
เป็ชายผู้นั้นไปได้อย่างไร?
“โธ่! ตอนที่ข้าฝัน มันก็เป็เช่นนี้แล และไม่รู้ว่าตอนนี้จะเปลี่ยนไปถึงเพียงไหนแล้ว?” ถอนหายใจเบาๆ ก่อนวางพู่กันลง มองดูคนในภาพวาดพร้อมพึมพำกับตนเอง
นางไม่ได้สังเกตคนที่เข้ามาและคิดเพียงว่าน่าจะเป็ปี้เอ๋อร์เดินกลับมา จึงพูดอีกว่า “ปี้เอ๋อร์ ถ้าเขาเจอข้าอีก เขาจะยังจำข้าได้หรือไม่?” เอ่ยจบนางก็หัวเราะเบาๆ “เ้ามักจะบอกว่าข้ากับท่านแม่หน้าคล้ายกันมากขึ้นเรื่อยๆ คิดว่า ถ้าเขาเจอข้า เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็ข้า”
คำพูดของมู่หรงฉิงอ่อนโยนโดยปราศจากขอบเขต แต่สายตาของจ้าวจื่อซินที่ฟังอยู่ด้านข้างกลับเ็า
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงวางพู่กันลง เฉินเทียนหยูก็ก้าวเท้าไปข้างหน้าด้วยท่าทางร่าเริง แต่ครั้นเห็นคนในภาพวาด เขาก็งงงวย "น้องหญิง? นี่ไม่ใช่ข้านะ ข้ามองตัวเองในกระจก ไม่ใช่เช่นนี้นี่นา"
ในภาพเป็รูปของชายคนหนึ่ง เขาสวมชุดเกราะสีดำและถือหอกยาวชี้ขึ้นไปบนฟ้า ความรุนแรงที่สะสมจากการศึกาและความอ่อนโยนในดวงตาของเขาเป็การผสมผสานที่ขัดแย้งกัน
จบคำถามของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงก็ตอบด้วยความรำคาญ "ท่านพี่ ข้าขอโทษ ทันทีที่หยิบพู่กันขึ้นมา ข้าก็หวนจำพี่ชายใหญ่ของข้าได้และข้าก็เสียสติไปชั่วครู่หนึ่งจากนั้นก็วาดจนเสร็จ"
มองเฉินเทียนหยูด้วยความรู้สึกผิด สงสารเขาที่อุตส่าห์นั่งนิ่งเฉยเป็เวลานานทว่ามันกลับเปล่าประโยชน์
เฉินเทียนหยูจะใส่ใจว่าเขาอยู่บนภาพวาดหรือไม่เสียที่ไหน เมื่อได้ฟังมู่หรงฉิงพูดว่าเป็พี่ชายใหญ่ของนาง เขาจึงเดินไปหามู่หรงฉิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขามองภาพวาดสลับกับมองมู่หรงฉิง "ดูเหมือนจะคล้ายกันอยู่หลายส่วน ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่า ข้าก็มีพี่ใหญ่อยู่ด้วยแต่ข้าไม่เคยเห็นเขา”
หลังจากที่พูดจบ เขามุ่ยอย่างไม่มีความสุข
คำพูดของเฉินเทียนหยูเป็สาเหตุให้รอยยิ้มของมู่หรงฉิงแข็งทื่อเล็กน้อย และไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร?
“นี่คือพี่ชายใหญ่ของเ้าหรือ?” จ้าวจื่อซินรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เมื่อได้เห็นภาพเหมือนและยิ่งได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยความรักของมู่หรงฉิง เขาถึงกับหงุดหงิดมาก
เป็ไปได้หรือไม่ว่า นี่คือคนรักของนาง? ผู้ชายที่กล้าวางกับดักเขา คิดไม่ถึงว่าจะเป็คนรักของนาง?
อย่างไรก็ดียามได้ยินเสียงเศร้าโศกระคนปลาบปลื้มโดยบอกว่านี่คือพี่ชายใหญ่ของนาง จ้าวจื่อซินกลับรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของเขาแปรเปลี่ยนผันผวนภายในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้เขายอมรับไม่ได้อยู่หลายส่วน
“อืม พี่ชายใหญ่ของข้าออกจากเมืองหลวงเป็เวลาหลายปีแล้ว และข้าก็จำได้แค่รูปร่างหน้าตาของเขาก่อนออกจากจวนเท่านั้น หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ข้าไม่รู้ว่ารูปร่างหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปหรือไม่?”
“คนที่เ้า้าช่วยชีวิตคือเขาใช่หรือไม่?” หลังจากความรู้สึกในใจขึ้นๆ ลงๆ หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดอารมณ์ของจ้าวจื่อซินก็สงบลงอย่างน่าพอใจ "ถ้าเ้า้าส่งจดหมายถึงเขา จริงๆ แล้วง่ายมาก"
“จริงหรือ?” คำพูดของจ้าวจื่อซินเติมเต็มประกายแสงในดวงตาของมู่หรงฉิง ดวงตาทั้งสองข้างของนางเปี่ยมไปด้วยความหวัง ปริ่มไปด้วยความสุข และเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เสมือนกับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสีแดงบนท้องฟ้าส่งผลให้ดวงตาของจ้าวจื่อซินแวววาวไปด้วยความอบอุ่น
“ที่จริงแล้วมันง่ายมาก” ยังคงเป็ประโยคเดียวกัน ใบหน้าของจ้าวจื่อซินเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม และมันก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น เป็เหมือนฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้แย้มบาน มิหนำซ้ำมันยังคงเป็รอยยิ้มราวกับจะละลายหิมะ แต่ในคราวนี้มู่หรงฉิงไม่รู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาแปลกประหลาดและน่ากลัวอีกต่อไป
นางรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาช่างงดงามจนทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น และที่มากไปกว่านั้นมันซึมลึกลงไปถึงก้นบึ้งของดวงตา และดำดิ่งลงไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ...
เมื่อผู้คนตกอยู่ในความงงงวย พวกเขาจะอับจนหนทางคล้ายกับมีเชือกพันกันซับซ้อนอยู่ในมือ จนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นแก้จากตรงไหน
ทว่าสำหรับมู่หรงฉิงแล้ว นางไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของตนเองแม้แต่น้อย นางไม่ได้วิตกกังวลว่าในภายภาคหน้าพวกคนเลวจะจัดการกับนางอย่างไร สิ่งเดียวที่นางวิตกกังวลคือพี่ชายของนางที่อยู่ห่างไกลด้านนอกกำแพงเมืองซึ่งเป็พี่ชายที่ไม่รู้เื่เหล่านี้เลย
นางต้องสะดุ้งตื่นจากความฝันมากกว่าหนึ่งครั้ง ในฝันนางเห็นพี่ชายผู้แข็งแกร่งมีความสามารถต้องตายด้วยมีดสั้นเปื้อนเื โดยที่มีดสั้นในมือของอนุหนิงเล่มนั้นก็หันมาทางนาง และหัวเราะด้วยความหยิ่งผยอง ปราศจากความปรานี
เป็เวลานานที่มู่หรงฉิงต้องอยู่ในความตื่นตระหนกและหวั่นกลัวในใจ นางพยายามคิดเพื่อเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมากมาย นางมองดูอนุหนิงวางกับดักพี่ชายใหญ่ของนางด้วยความหวาดผวาและหวั่นกลัว
แต่ความวิตกกังวลอันยาวนานกลับเป็เื่ง่ายในสายตาของจ้าวจื่อซิน
------------------------
“เ้าแน่ใจหรือว่าทำเช่นนั้นได้?” ภายใต้ดวงจันทร์ยามค่ำคืน มู่หรงฉิงนั่งอยู่ในลานกว้างของเรือนหลังหนึ่งซึ่งเป็หนึ่งในบ้านของจ้าวจื่อซินที่มีอยู่ในเมืองหลวง จื่อเอ๋อร์และปี้เอ๋อร์ยังคงยืนเงียบอยู่ด้านหลังนางแม้ในใจจะมีแต่ความตื่นเต้น และมองไปทางจ้าวจื่อซินด้วยความสงสัย
ในที่สุด เขาก็ถูกมู่หรงฉิงจ้องมองด้วยแววตาจริงจังระคนตื่นเต้นราวกับว่าเขาเป็เพียงคนเดียวในสายตาของนาง เป็สาเหตุให้จ้าวจื่อซินรู้สึกเบิกบานในใจ "ในเวลานี้จื่อเอ๋อร์ไม่สะดวกที่จะปรากฏตัวในเมืองหลวง ดังนั้นให้จื่อเอ๋อร์ไปชายแดนกับชิงเย่ หลังจากส่งจดหมายให้พี่ชายใหญ่ของเ้า เื่นี้ก็จะจบลงแล้ว"
จ้าวจื่อซินไม่นึกไม่ฝันว่า ผู้ที่เคยวางกับดักเขามาก่อนคนนั้นจะเป็พี่ชายใหญ่ของมู่หรงฉิง คิดไม่ถึงว่าในเวลานี้เขากำลังช่วยชีวิตพี่ชายใหญ่ของนาง ช่วยชีวิตผู้ชายที่เอาชนะเขาด้วยกลยุทธ์ผู้นั้น และเมื่อมู่หรงซิวกลับมา เขาก็จะมีเหตุผลให้มู่หรงซิวต่อสู้กับเขาอีกครั้งอย่างยุติธรรม
เมื่อเห็นว่ามู่หรงฉิงยังคงสงสัย จ้าวจื่อซินก็อารมณ์ดีอย่างหาได้ยาก จึงไม่ได้ต่อประโยคให้ยืดยาวนอกจากดึงนางเข้าไปในเรือน "รีบเขียนเถอะ ฟังจากคำของเ้าแล้ว น่าจะมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ชิงเย่และจื่อเอ๋อร์จะต้องเดินทางทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งจดหมายถึงมือของมู่หรงซิว ก่อนที่เขาจะเดินทาง"
มู่หรงฉิงรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่ได้สังเกตว่าจ้าวจื่อซินจับมือของนางไว้ มิหนำซ้ำมืออันเ็าของเขากลับมีแต่ความนุ่มนวล
ภายใต้แววตายิ้มแย้มของจ้าวจื่อซิน นางไม่ลังเลอีกต่อไป ก่อนยกพู่กันขึ้นเขียนอักษรที่มีความงดงามและแข็งแกร่งลงบนกระดาษทีละคำ
ลายมือสะท้อนถึงบุคคลนั้น ลายมือของนางมีความนุ่มนวลและมีความแข็งแกร่ง ก็เหมือนกับว่านางที่ดูบอบบางอ่อนแอ แต่กลับปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
จวบจนกระทั่งมู่หรงฉิงวางพู่กันลง จ้าวจื่อซินถึงได้ค้นพบว่า เนื้อความในจดหมายมีเพียงไม่กี่คำ เดิมทีคิดว่านางจะอธิบายถึงเหตุการณ์ล่าสุดยาวเหยียด และพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นใน่นี้ ทว่านางแค่เขียนบอกให้มู่หรงซิวรู้ว่า จงอย่าเชื่อคำพูดของผู้อื่นและอย่าลืมดูแลตัวเอง
จ้าวจื่อซินหัวเราะเบาๆ นางช่างเป็คนตรงไปตรงมา
หยิบขวดใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและพับจดหมายที่มู่หรงฉิงเขียนลงในขวด เ้าของจดหมายได้แต่มองด้วยความงุนงง จากนั้นเขาจึงหยิบจดหมายออกมาอีกหน ครั้นคลี่ออกมันกลับกลายเป็กระดาษเปล่า
“ถ้า้าอ่านจดหมายฉบับนี้ต้องมียาลับถึงจะอ่านได้ ไม่รู้ว่าระหว่างทางจะมีอันตรายอย่างไร ระวังตัวให้มากไว้ก่อนก็ดี” จ้าวจื่อซินส่งจดหมายให้ชิงเย่หลังจากพูดจบ
ขณะที่จ้าวจื่อซินมอบหมายงานบางอย่างให้ชิงเย่อย่างเงียบๆ มู่หรงฉิงก็หันไปหาจื่อเอ๋อร์พลางจับมือของอีกฝ่ายพร้อมพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า "จื่อเอ๋อร์ เดิมข้า้าให้เ้าพักผ่อนให้ดี ในภายภาคหน้าข้าจะหาโอกาสให้เ้าได้กลับมาอยู่เคียงข้างข้า แต่ไม่นึกไม่ฝันว่าคราวนี้จะต้องให้เ้าตกอยู่ในอันตรายอีกหนแล้ว”
จื่อเอ๋อร์ส่ายศีรษะ บางประโยคของนางคล้ายว่าลิ้นพันกัน นางดูตื่นเต้นแต่กลับเต็มไปด้วยความสุข "สามารถทำงานให้คุณหนูใหญ่ได้ บ่าวไม่มีข้อข้องใจเลย หากสามารถแจ้งคุณชายใหญ่ด้วยตัวเอง บ่าวจะไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ต้องผิดหวังอย่างแน่นอน"
จังหวะนั้นจ้าวจื่อซินได้มอบหมายงานเสร็จแล้ว เขาเดินไปหาทั้งสามคนและพูดว่า "มีเวลาไม่มากแล้ว ชิงยวี่ได้เตรียมสิ่งของที่จำเป็ไว้เรียบร้อยแล้ว ทางที่ดีที่สุดควรเดินทางในคืนนี้เลย"
มองดูกันและกันด้วยความเงียบ ทั้งคู่ต่างมีความวิตกกังวลแต่เพื่อผลประโยชน์ของสถานการณ์โดยรวม มู่หรงฉิงจึงไม่ได้พูดมาก จวบจนกระทั่งเฝ้าดูทั้งสองคนเดินจากไปในเวลากลางคืน มู่หรงฉิงถึงถอนหายใจและมองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน นางขอพรในใจโดยขอให้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย...