จื่อเซียวเล่าเื่ที่นางได้ยินได้เห็นมากับตาเมื่อครู่นี้ั้แ่ต้นจนจบให้อาหนูฟัง
“ดีจริง ดีจริง” อาหนูฟังจบก็เดินไปมาอยู่ภายในห้อง ปากก็พร่ำพูดซ้ำคำเดิมไม่ยอมหยุด
ความจริงแล้วตัวอาหนูเองก็ยังไม่รู้เลยว่าดีที่ใด เพียงแต่เมื่อเอาองค์หญิงไปขังไว้นางก็ทั้งรู้สึกดีใจและยินดี
“ฮูหยินเ้าคะ อีกประเดี๋ยวยามดึกๆ ไม่มีคนแล้วฮูหยินจะไปเยี่ยมองค์หญิงสักหน่อยหรือไม่เ้าคะ”
“ถุย… เหตุใดข้าต้องไปเยี่ยมนางองค์หญิงนั่นถูกเอาไปขังในห้องเก็บฟืน ส่วนนางจ้าวก็ตั้งท้องประจวบเหมาะให้คืนนี้ข้าไปอยู่เป็เพื่อนท่านแม่ทัพ ช่วยให้ท่านแม่ทัพผ่อนคลายโทสะไม่แน่ว่าครานี้ข้าอาจจะท้องก็ได้!”
อาหนูคล้ายมองเห็นแสงตะวันเรืองรองกำลังกวักมือเรียกนาง
“ฮูหยินเ้าคะ บ่าวคิดว่าอย่างไรท่านก็…”
“รีบไป ไปเตรียมน้ำ ข้าจะอาบน้ำ”อาหนูอดใจรอจะพบกับหั่วอี้จนทนไม่ไหวแล้ว จึงขัดคำจื่อเซียวขึ้นมา
ในหัวนางคิดเพียงว่าควรสวมเสื้อผ้าชุดใดจึงจะดึงดูดใจหั่วอี้ได้ควรใช้เหตุผลใดเข้าใกล้หั่วอี้ มีหรือจะมาสนใจกับคำเสนอแนะของจื่อเซียว
นับั้แ่มีองค์หญิงต้าเว่ยมา หั่วอี้ก็ไม่เคยมาค้างคืนที่เรือนของนางอีกเลยนางจึงััได้อย่างยิ่งว่านี่คือวิกฤตของตนแล้วนางจะปล่อยโอกาสงามเช่นคืนนี้ไปได้อย่างไร
จื่อเซียวลอบทอดถอนใจเริ่มใคร่ครวญถึงหนทางที่ตนควรจะไปขึ้นมาอีกครานางรู้สึกว่าหากยังคงติดสอยห้อยตามนายไร้สมองเช่นนี้ต่อไปอนาคตภายหน้าจะต้องมืดมนไม่เห็นแสงสว่างเป็แน่เมื่อเห็นว่าตนไม่อาจเกลี่ยกล่อมอาหนูได้ในเวลาอันสั้นจึงทำได้เพียงไปเตรียมน้ำร้อนมาให้อาหนูอาบเสีย
เพราะเป็เวลามืดค่ำแล้วเส้นทางที่ไปยังห้องเก็บฟืนเป็ทางสายเล็กๆ แสนเปลี่ยวที่มีต้นไม้ปกคลุม หลายครามีลมพัดใบไม้ส่งเสียงซ่าๆดั่งเสียงหัวใจหลิ่วจิ้งที่เต้นอยู่ในเวลานี้
หลิ่วจิ้งขมวดคิ้วงาม ั์ตาส่องประกายดุดันแม้จากภายนอกนางจะเดินไปทางห้องเก็บฟืนอย่างไม่สะทกสะท้านแต่ในใจของนางกลับหมุนคว้างเป็ร้อยพันตลบ สมองคอยขบคิดอยู่ไม่หยุด
เื่ในวันนี้เกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน กระแทกเข้าหาจนนางรับมือไม่ทันก่อนหน้านี้นางยังดื่มด่ำอยู่กับคำสารภาพความในใจแสนลึกซึ้งของหั่วอี้อยู่เลย จนนึกว่านางหาที่พึ่งพิงได้แล้วเสียอีกไม่คิดเลยว่าประตูที่สามารถให้ความอบอุ่นแก่นางยังไม่เปิดออกก็ต้องมาปิดลงเสียแล้ว
เมื่อครู่ที่หลิ่วจิ้งบอกให้หั่วอี้ทำตามที่ฮูหยินผู้เฒ่าว่าไปก่อน ก็เพียง้าทดสอบท่าทีชั้นเชิงของหั่วอี้ดูเท่านั้นนางอยากรู้ว่าเขาสามารถทำเพื่อนางได้ถึงขั้นใด
แม้ที่สุดแล้วหั่วอี้จะเข้าใจความคิดอ่านของนางแต่เมื่อหั่วอี้ปล่อยมือไปทั้งเช่นนั้นและเดินจากไปจริงๆ หลิ่วจิ้งกลับรู้สึกว่าภายในใจเย็นวาบจนหวาดหวั่นดูเหมือนว่าหั่วอี้ไม่อาจขัดขืนฮูหยินผู้เฒ่าเพื่อนางได้ เห็นทีหั่วอี้ผู้นี้คงไม่มีวันทำเื่บันดาลโทสะเพื่อหญิงงามเช่นนั้นออกมา
ปรากฏว่าอย่างไรก็คงต้องพึ่งตนเอง ก่อนนี้นางเคยมีความหวังแต่การรักคนผิดกลับเป็ดั่งกริชคมที่จ้วงแทงลงที่หัวใจ แล้วนางยังจะโง่งมคิดไปคาดหวังสิ่งใดอีกได้อย่างไร
หลิ่วจิ้งอดด่าทอตนเองอยู่ในใจไม่ได้ ดูท่าแล้วหากสตรีไม่โหดร้ายกับตนเองเช่นนั้นก็ยากจะสร้างความดีความชอบใดขึ้นมาได้
ไม่ได้การ นางจะเอาแต่นั่งรอความตายไม่ได้อุตส่าห์หนีรอดจากเงื้อมมือของมัจจุราชมาได้ทั้งที ต้องมิใช่ว่ายังไม่ทันลงมือทำสิ่งใดก็กลับต้องก้าวสู่ปรโลกเสียแล้ว หลิ่วจิ้งแอบสาบานอยู่ในใจ
หลิ่วจิ้งเดินนำอยู่ข้างหน้าโดยมีชายฉกรรจ์สองคนคอยเดินตามข้างหลังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเกินไปนักคงเพราะรู้ว่าสตรีอ่อนแอเช่นนางต่อให้มีปีกก็บินหนีไม่ได้ด้วยเหตุนี้ชายฉกรรจ์จึงยังคงพูดคุยกันและไม่ได้ทำอะไรนาง เพียงจับตาดูหลิ่วจิ้งที่อยู่ข้างหน้าตลอดเวลาเท่านั้น
อวี้จิ่นไม่อาจวางใจได้จริงๆ จึงไม่ได้กลับไปตามที่หลิ่วจิ้งสั่งแต่คอยเดินตามมาข้างหลังพวกเขา
ด้วยเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้บอกว่าจะลงโทษอวี้จิ่นและบ่าวในจวนแม่ทัพก็พากันแยกย้ายกลับเรือนของตน ส่วนคนในเรือนอื่นๆหากไม่ได้รับอนุญาตก็ไม่สามารถมาก้าวก่ายคนในเรือนของฮูหยินได้ ฉะนั้นชายฉกรรจ์ที่รู้ว่าอวี้จิ่นตามมาข้างหลังจึงปล่อยให้นางตามมาโดยไม่เอาเื่เอาราว
เมื่อหลิ่วจิ้งเดินไปถึงหน้าประตูห้องเก็บฟืนชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็เดินไปข้างหน้าพลางบอกว่าต้องล่วงเกินองค์หญิงแล้วจากนั้นก็เอากุญแจห้องเก็บฟืนมาไขเปิดประตู แล้วผายมือเป็ทีเชิญหลิ่วจิ้งเข้าไป
หลิ่วจิ้งไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินเข้าไปในห้องเก็บฟืนชายฉกรรจ์ที่ถือกุญแจอยู่รอจนนางเข้าไปข้างในแล้วก็ปิดประตูลงกุญแจ
อวี้จิ่นรอจนชายฉกรรจ์ทั้งสองคนจากไปแล้วค่อยวิ่งปรี่ไปที่หน้าต่างห้องเก็บฟืนร้องเรียกองค์หญิงเบาๆ หลิ่วจิ้งได้ยินเสียงคนร้องเรียกจึงเดินไปที่ริมหน้าต่างเมื่ออวี้จิ่นเห็นหลิ่วจิ้งเดินมาหา น้ำตาของนางก็ไหลพรากอย่างไม่อาจอดกลั้น
หลิ่วจิ้งฝืนยิ้ม บอกกับอวี้จิ่นข้ามหน้าต่างว่า “ไม่บ่อยนักที่อวี้จิ่นจะร้องไห้ให้ข้าเห็นทีแล้วการมาห้องเก็บฟืนครานี้นับว่ามีประโยชน์จริงๆ”
“องค์หญิง นี่มันเวลาใด ท่านยังมีใจมาล้อบ่าวเล่นอีก”อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นร่ำไห้พลางมองหลิ่วจิ้ง
อวี้จิ่นมีท่าทีเช่นนี้กลับทำให้หลิ่วจิ้งรู้สึกประหลาดใจนักเพราะอวี้จิ่นเพิ่งจะหันมา ‘เข้าข้าง’ เดียวกับนางไม่กี่ชั่วยามก่อน แต่ยามนี้เมื่อเห็นนางร้องไห้อย่างเศร้าโศกหลิ่วจิ้งก็ััได้ว่าอวี้จิ่นเสียใจกับนางจริงๆ
นานเท่าใดแล้วที่หลิ่วจิ้งต้องต่อสู้มาเพียงลำพังคนเดียวนางไม่รู้รสชาติของการได้รับความเป็ห่วงเป็ใยมานานแล้ว หลิ่วจิ้งแอบถอนหายใจก่อนจะขยับหัวเข้าไปข้างๆ ตัวอวี้จิ่น กระซิบบอกอีกฝ่ายว่า “อวี้จิ่นเ้าอย่าเพิ่งร้องไห้เพราะต่อให้เ้าร้องไห้จนตาบอดก็ไม่อาจแก้ปัญหาอันใดได้ ข้าก็ยังออกไปไม่ได้เช่นเดิม”
อวี้จิ่นฟังคำที่หลิ่วจิ้งพูดแม้จะหยุดร้องไห้แต่นางก็ยังคงสะอึกสะอื้น กล่าวว่า “องค์หญิง เหตุใดเมื่อครู่นี้ไม่ให้ท่านแม่ทัพช่วยท่านเล่าไม่ว่าอย่างไรในจวนแม่ทัพแห่งนี้คำพูดของเขาย่อมมีน้ำหนักมาก เหตุใดท่านจึงไม่โวยวายกลับยอมรับโทษและมาที่ห้องเก็บฟืนแต่โดยดีเล่า?”
หลิ่วจิ้งยิ้มเจื่อนในใจเมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของอวี้จิ่นดูท่าแล้วแม้จะบอกว่าอวี้จิ่นติดตามองค์หญิงตัวจริงอยู่ในวังหลวงมาจนโต เคยพบเห็นการต่อสู้อย่างลับๆมามากมาย แต่จะอย่างไรอวี้จิ่นก็ยังอายุน้อยเกินไป จึงไม่อาจเข้าใจจิตใจคนและความเป็ไปในโลกมากนัก
ตัวนางเองจะเคยคิดมาก่อนที่ใดว่าต้องมาถูกขังอยู่ในห้องเก็บฟืนที่มีลมโกรกไปทั่วเช่นนี้แต่ก็มิใช่เพราะต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านคนอื่นเขา บางคราจึงไม่อาจไม่ก้มหัวได้
“อวี้จิ่นเด็กโง่ เ้าเคยคิดหรือไม่ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในจวนแม่ทัพยามนี้คือลูกในท้องของนางจ้าวเด็กที่ยังไม่คลอดออกมาผู้นั้นถือว่าเป็กระบี่อาญาสิทธิ์เลยทีเดียว หากเมื่อครู่ท่านแม่ทัพ้าปกป้องข้าจริงๆและพาข้ากลับไป แล้วภายหลังนางจ้าวไม่เกิดเื่ใดก็ยังดี แต่ถ้าเกิดเื่ขึ้นมาข้าก็จะต้องถูกโยนความผิดมาเป็คนแรก เ้าไม่เห็นหรือว่าหมอผู้นั้นพูดว่าอย่างไรข้าจึงเข้ามา หลบจากการเป็จุดสนใจอยู่ที่นี่เสียก่อน เ้าวางใจเถิดข้าจะต้องออกไปได้อย่างสง่าผ่าเผยแน่นอน”
หลิ่วจิ้งรู้ว่านางยังไม่อาจเชื่อใจอวี้จิ่นได้ทั้งหมดจึงพูดไปเพียงคร่าวๆไม่คิดจะอธิบายให้ละเอียดว่าเหตุใดนางจึงให้ความร่วมมือโดยไม่เอะอะโวยวายเมื่อถูกส่งตัวมาขังในห้องเก็บฟืนนี้
มีเพียงตัวนางเองที่รู้ ว่านางวางเดิมพันนี้เพื่อให้ได้มาซึ่งความละอายใจความละอายใจที่มาจากสิ่งที่หั่วอี้ติดค้างนาง
_____________________________