จุนเช่อรู้สึกตะลึงงัน เมื่อครู่นี้หานรุ่ยยังมีสีหน้าเยือกเย็นและท่าทางที่ดูมืดมนอยู่เลย แต่พอได้พบกับลูก ๆ ก็อ่อนโยนขึ้นมาอย่างน่าเคารพนับถือและน่าเข้าใกล้ ใบหน้าของหานรุ่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดไม่ถึงว่า หานรุ่ยจะพูดเช่นนี้กับเด็ก ๆ
เมื่อจุนห่าวเห็นหานรุ่ยปฏิสัมพันธ์กับลูกทั้งสอง เขาก็รู้สึกได้ว่า หานรุ่ยเปลี่ยนไปมาก เขายังจำเมื่อครั้งที่ได้พบกับหานรุ่ยเป็ครั้งแรกได้ ตอนนั้นหานรุ่ยเ็าต่อทุกสิ่ง ถึงแม้ว่าในสายตาของคนนอก ณ เวลานี้จะรู้สึกว่า หานรุ่ยเป็คนเ็า แต่สำหรับคนในครอบครัวนั้น หานรุ่ยได้ละทิ้งความเ็าไปแล้ว ตอนนี้เขากลายเป็ที่คนอ่อนโยนและมีพลังบวก
จุนห่าวเดินไปรับจุนหนานที่อยู่ในอ้อมกอดของหานรุ่ย พลางพูดกับจุนหนานว่า “พ่อก็คิดถึงจุนหนานเหมือนกัน พ่อขอกอดด้วยได้ไหม?”
จุนหนานพูดอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านพ่อโกหก ท่านไม่ได้อยากกอดข้าจริง ๆ หรอก เมื่อกี้ข้าอยู่ข้างกายท่านตลอด ท่านพ่อไม่เห็นจะอยากกอดข้าเลย เพราะท่านเกรงว่า พวกเราจะทำให้ท่านแม่เหนื่อยล่ะสิ ถึงได้อยากมากอดข้า” จุนหนานพูดจี้ใจดำจุนห่าว จากนั้นจุนหนานก็พูดกับหานรุ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านวางข้าลงเถอะ ท่านเพิ่งกลับมา คงจะเหนื่อยมากเป็แน่”
จุนห่าวลูบจมูกตนเอง พลางคิดในใจว่า จุนหนาน... เ้าเด็กนี่ช่างพูดจี้ใจดำข้าเสียจริง ใครกันที่เป็คนบอกว่า จุนหนานเป็เด็กโง่เง่า ในสายตาของข้า ลูกคนนี้เป็เด็กที่คมในฝัก [1] สามารถมองสภาพการณ์ได้ขาดอยู่เสมอ
พอได้ฟังจุนหนานแล้ว จุนตงก็รู้สึกอารมณ์เสียยิ่งนัก ทำไมเขาถึงคิดเื่นี้ไม่ได้ จนทำให้น้องชายที่โง่เขลาของเขามาแย่งโอกาสนี้ไป คงเป็เพราะเขาโลภมากที่จะอยู่ในอ้อมกอดของท่านแม่เกินไป ดูเหมือนว่า เจตจำนงของเขาจะไม่เด็ดเดี่ยวเท่าไหร่นัก จุนตงจึงพูดกับหานรุ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านวางข้าลงเถอะ ท่านอุ้มข้ามานานแล้ว ท่านแม่จะได้ทำตามใจท่านเสียที”
ทุกคนคิด ‘...... จุนตงดื้อจริง ๆ’
“แม่ไม่เหนื่อยหรอก อีกอย่างพวกเ้าก็ไม่ได้หนักด้วย” หานรุ่ยกล่าว แต่เขาก็วางจุนตงและจุนหนานลง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในบ้าน
เมื่อจุนหนานได้ยินหานรุ่ยบอกว่า เขาและจุนตงตัวไม่หนัก เขาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อข้าและท่านพี่ไม่หนัก แล้วเหตุใดท่านแม่ถึงต้องให้เราลดน้ำหนักล่ะ?”
จุนตงกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เป็เพราะ่หลายวันที่ผ่านมานี้ เราลดน้ำหนักได้สำเร็จแล้วเป็แน่ ตัวพวกเราเลยเบาลง”
จุนหนานมองไปทางหานรุ่ย และพูดอย่างตื่นเต้นว่า “ท่านแม่ ในเมื่อข้าและท่านพี่ลดน้ำหนักได้สำเร็จแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้ากับท่านพี่ก็กินอาหารมื้อใหญ่ได้แล้วน่ะสิ”
พอได้ฟังคำพูดของจุนหนานและจุนตง หานรุ่ยก็เปลี่ยนจากแม่ที่ใจดีเป็แม่ที่เข้มงวดทันที หานรุ่ยพูดด้วยใบหน้าที่เ็าว่า “พวกเ้าได้ใจกันเกินไปแล้ว พวกเ้ายังต้องลดน้ำหนักต่อไปนะ” หานรุ่ยแอบคิดในใจว่า จุนตงและจุนหนานเป็เด็กกินเก่ง ซึ่งจำเป็จะต้องแก้นิสัยนี้ ตอนนี้พวกเขาไม่อาจกินอาหารที่มีพลังปราณมากเกินไปได้ พวกเขากินได้แค่อาหารธรรมดา และถ้าหากพวกเขากินอาหารธรรมดาเยอะเกินไป สิ่งสกปรกก็จะสะสมในร่างกายของพวกเขามากขึ้น ซึ่งจะไม่เอื้อต่อการบำเพ็ญเพียรในอนาคต ด้วยเหตุนี้จึงต้องจำกัดการกินอาหารของพวกเขา จุนห่าวก็รู้เื่นี้เช่นกัน เพียงแต่เขาตามใจลูกเกินไป ยิ่งลูก ๆ ร้องขอบ่อยครั้งเข้า เขาก็ยิ่งปฏิเสธไม่ได้ เพราะแบบนี้เลยทำให้มีเพียงแค่หานรุ่ยเท่านั้นที่ดูเป็คนใจร้าย
“น้องสะใภ้ จุนตงและจุนหนานก็ไม่ได้อ้วนขนาดนั้นนะ หุ่นแบบนี้ น่ารักดีออก ไม่จำเป็ต้องลดความอ้วนหรอกน่า” จุนฟานพูดแทนจุนตงและจุนหนาน
“เ้าหุบปากไปเถอะ ยุ่งไปซะทุกเื่เลย” จุนเช่อพูดขัดจุนฟาน เขาคิดว่า การที่หานรุ่ยให้เด็ก ๆ ลดความอ้วน คงต้องมีเจตนาที่ดีแน่ เพราะหานรุ่ยเป็แม่ของเด็ก ๆ อีกทั้งจุนห่าวก็ไม่ได้คัดค้านอะไรด้วย แม้ว่าจุนเช่อจะไม่เข้าใจหานรุ่ยว่า ทำไมถึงทำเช่นนี้ แต่เขาเชื่อว่า หานรุ่ยต้องหวังดีต่อลูกเป็แน่
คำร้องขอของจุนหนานถูกปัดไปอย่างไร้ความปราณี สายตาของจุนหนานและจุนตงเศร้าสร้อยไปเล็กน้อย จุนห่าวไม่ค่อยคุ้นชินที่ต้องเห็นท่าทางหดหู่ของลูก ๆ จึงพูดกับลูกทั้งสองว่า “แม่หวังดีต่อพวกเ้าน่า อาหารธรรมดาที่กินไป จะทำให้สิ่งสกปรกสะสมในร่างกาย ซึ่งจะไม่เอื้อต่อการบำเพ็ญเพียรในอนาคต ถ้าพวกเ้าเริ่มบำเพ็ญเพียรได้ พ่อจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่ให้พวกเ้าทุกวันเลย ยิ่งมีพลังปราณสูงเท่าไร ก็จะยิ่งดูดซับพลังิญญาได้มากเท่านั้น แถมพวกเ้าก็จะกินได้มากขึ้นด้วยนะ”
[1] คมในฝัก หมายถึง คนที่มีความรู้ ความสามารถ ฉลาดหลักแหลม แต่ถ่อมตัว ไม่โอ้อวด และไม่แสดงความฉลาดนั้นออกมาให้ปรากฏแจ่มชัด
