บทที่ 76 สองคนที่ผิดใจกับสวี่จือจือ
อันฉินและกลุ่มยุวปัญญาชนเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าไปในจุดพักพิง มองเห็นร่างของฟางย่วนย่วนนั่งกินขนมคลายร้อนอยู่ใต้ชายคาบ้าน พวกเขาถึงกับจุกอก
คนเรามันต่างกันราวฟ้ากับดิน
ฟางย่วนย่วนมีพื้นเพครอบครัวที่ดีกว่า พวกเขาเทียบไม่ได้ก็ช่างมัน แต่สวี่จือจือเป็แค่เด็กบ้านนอก แถมยังมีพื้นเพครอบครัวที่ย่ำแย่ ทำไมถึงต้องมาแย่งโควต้ากับพวกเขาด้วย!
“พวกเราจะปล่อยเื่นี้ผ่านไปง่ายๆ ไม่ได้นะ” อันฉินกล่าวอย่างฮึกเหิม “ฉันไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ ถ้าโควต้าครูตกเป็ของคนอื่นในกลุ่มพวกเรา ฉันยอม แต่ฉันจะไม่ยอมให้เป็สวี่จือจือเด็ดขาด!”
“ฉันได้ยินมาว่าหล่อนเรียนไม่จบประถมด้วยซ้ำ?” เมิ่งไห่หยางขมวดคิ้ว “ให้คนแบบนี้เป็ครูโรงเรียนประถม จะไม่เป็การทำลายอนาคตของชาติเหรอ?”
“นั่นน่ะสิ” อันฉินพยักหน้า “พวกเราต้องไม่ปล่อยให้ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้น”
“เธอหมายถึงจะไปที่ประชาคมเหรอ?” เกาจิงจิงถามเสียงแ่
“ถ้าไม่ได้ก็ต้องไปที่อำเภอ” อันฉินกล่าว “ยังไงเื่นี้ก็ต้องไม่ปล่อยให้มันจบลงง่ายๆ”
“ไปถึงอำเภอจะไม่ใหญ่โตเกินไปหน่อยเหรอ?” เมิ่งไห่หยางกล่าวอย่างลังเล “พวกเราควรจะไปบอกหัวหน้ากองงานก่อนไหม?”
“หัวหน้ากองงานแซ่อะไร? ลู่ใช่ไหม? ก็ต้องเข้าข้างตระกูลลู่อยู่แล้วสิ” อันฉินกล่าว “ยังไงฉันก็ไม่ได้สนใจโควต้านี้อยู่แล้ว แต่ไห่หยางนายเป็คนที่เรียนเก่งที่สุดในกลุ่มเรา ถ้าโควต้านี้ยังไม่ได้ มันน่าโมโหเกินไปแล้ว”
เหตุผลที่เมิ่งไห่หยางฮึกเหิมเมื่อกี้ก็เพราะเื่นี้เช่นกัน
เขาเป็ยุวปัญญาชนที่มีผลการเรียนดีที่สุดในรุ่นนี้
“ตกลง” เมิ่งไห่หยางกัดฟันตอบ “แต่ถ้าพวกเราไม่ไปทำงาน่บ่าย จะต้องขออนุญาตจากหัวหน้ากองงานก่อนใช่ไหม?”
“ขออนุญาตแล้วพวกเราจะได้ออกจากหมู่บ้านเหรอ?” อันฉินย้อนถาม
ก็จริง
“อันฉินพูดถูก” ยุวปัญญาชนอีกคนเออออ “ในกลุ่มพวกเรา มีแค่ไห่หยางกับย่วนย่วนที่มีคุณสมบัติพอจะเป็ครู”
ฟางย่วนย่วนเรียนเก่ง แถมยังเล่นดนตรีได้หลายชนิด วาดรูปก็เก่งอีกด้วย
“ย่วนย่วน” อันฉินหันไปกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เธอจะไปกับพวกเราไหม?”
ฟางย่วนย่วนเหลือบมองเธอด้วยสายตาเ็า “เธอคิดว่าฉันว่างมากเหรอ? หรือคิดว่าฉันอยากจะเป็ครู?”
อันฉินถึงกับพูดไม่ออก แต่ก็รีบยิ้มตอบ “งั้นเธอก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ แต่ย่วนย่วน เื่นี้มันเกี่ยวกับศักดิ์ศรีของพวกเราเหล่ายุวปัญญาชน ฉันคิดว่าเธอก็คงจะอยู่ข้างเดียวกับพวกเราใช่ไหม?”
ฟางย่วนย่วนไม่สนใจอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
สวี่จือจือรู้เื่ที่กลุ่มยุวปัญญาชนไปที่ประชาคมก็ตอนที่ออกไปทำงาน่บ่าย
“ได้ยินว่ายังไม่ได้กินข้าวก็ออกไปแล้ว กลุ่มคนหลายคนเอะอะโวยวายกันออกไป” หลิวเหมียวซุบซิบกับสวี่จือจือเบาๆ พลางส่งสายตาไป้า “หัวหน้ากองงานรู้เื่นี้แล้ว โมโหจนจับแส้หลายครั้งแล้ว”
สวี่จือจือหัวเราะคิกคัก
แส้ที่ลู่หรงฟาเหน็บไว้ที่เอว เป็แส้ที่เลขานุการพรรคคอมมิวนิสต์คนเก่าให้ไว้ใช้ข่มขู่คน เขาไม่เคยใช้มันตีใครเลยสักครั้ง
แต่คิดดูแล้วก็จริง ถ้าเป็เธอ เธอก็อยากจะเอาแส้ฟาดพวกเด็กเหลือขอนั่นเหมือนกัน
“รอดูไปเถอะ” หลิวเหมียวกล่าวอย่างตื่นเต้น “เดี๋ยวพอกลับมา จะมีเื่สนุกให้ดูอีกเยอะเลย”
“เธอรู้อีกแล้วเหรอ?” สวี่จือจือสงสัย
“เธอบอกว่าไม่อยากเป็ครูนี่นา” หลิวเหมียวเข้ามาใกล้แล้วใช้นิ้วแตะที่หน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ “ฉันดูแล้ว หัวหน้ากองงานไม่ได้ห้าม คงอยากจะใช้เื่นี้สั่งสอนพวกยุวปัญญาชนให้หลาบจำ”
“ฉันบอกว่าไม่อยากเป็ครูแล้วเธอก็เชื่อเหรอ?” สวี่จือจือถาม
ตอนนี้หลิวเหมียวกับสวี่จือจือได้สร้างมิตรภาพในการซุบซิบนินทาที่แน่นแฟ้นขึ้นมาแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็ใช้นิ้วแตะที่หน้าผากอีกฝ่าย “เธอบอกว่าเธอไม่ชอบเป็ครูนี่นา?”
อืม ก็เลยเชื่อเหรอ?
สวี่จือจือรู้สึกซาบซึ้งใจเล็กน้อย
ยังไม่ทันเลิกงาน่บ่าย ก็เห็นกลุ่มยุวปัญญาชนกลับมาที่หมู่บ้านผานสือพร้อมกับเ้าหน้าที่จากประชาคม ทุกคนหน้าเซื่องซึม
ลู่หรงฟายืนอยู่บนคันนา ไม่ได้มองพวกนั้นเลยสักแวบ
เ้าหน้าที่จากประชาคมกลับยิ้มให้ลู่หรงฟาแล้วกล่าวว่า “เด็กๆ ไม่รู้เื่รู้ราว นายช่วยอบรมสั่งสอนให้ดีๆ หน่อยนะ”
“ไม่กล้าหรอก” ลู่หรงฟาตอบเสียงเรียบ “ฉันจะกล้าอบรมสั่งสอนใครกัน พวกคนไร้ประโยชน์พวกนี้นายเอากลับไปเลย หมู่บ้านผานสือของฉันเล็กเกินไป”
“เหล่าลู่” เหล่าจางทำหน้าเคร่งขรึม “คำพูดแบบนี้ไม่เหมือนคนที่ตื่นตัวอย่างนายเลยนะ ไว้หน้าพี่ชายหน่อยได้ไหม หืม?
“แล้วก็พวกเขาด้วย” เหล่าจางหันไปดุพวกยุวปัญญาชนด้วยสีหน้าถมึงทึง “อย่าฟังความข้างเดียว พวกเธอไม่ลองสืบดูบ้างเหรอว่าทั้งประชาคมชีหลี่ ที่ที่ดีที่สุดคือหมู่บ้านผานสือของพวกเรา”
ลู่หรงฟาเป็คนที่ยุติธรรมและเป็คนที่ทำจริง แค่ทำงานให้ดีก็พอแล้ว เขาจะไม่ตั้งใจกลั่นแกล้งพวกยุวปัญญาชนเหล่านี้ แต่คนพวกนี้แต่ละคนไม่รู้จักเจียมตัว ถึงกับรวมตัวกันไปร้องเรียนลู่หรงฟาที่ประชาคม ว่าเขาใช้อำนาจในทางที่ผิด ยัดเยียดคนเข้าไปในโรงเรียนประถมของประชาคม
โรงเรียนประถมของประชาคม้าครูสองคนก็จริง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป แล้วพวกนี้แต่ละคนก็เริ่มะโโลดเต้นกันแล้ว
ตระกูลลู่หาคนฝากฝังให้สวี่จือจือเข้าทำงานเหรอ? เขาไม่เคยรู้เื่นี้มาก่อนเลย
ตอนนี้ยังต้องพาคนมาขอโทษลู่หรงฟาอีก เขาทำอะไรผิด?
ลู่หรงฟาไม่มีทางปล่อยเื่นี้ไปง่ายๆ อยู่แล้ว ในตอนนั้นเขาจึงดุพวกยุวปัญญาชนอย่างเสียๆ หายๆ ในเมื่อมีแรงกันมากขนาดนี้ ต่อไปก็ให้พวกเขาไปทำงานในคอกหมูทั้งหมด ถึงแม้ว่าอากาศจะไม่ร้อนเท่าเดือนก่อน แต่กลิ่นในคอกหมูมันไม่เคยหอม
ผ่านไปไม่กี่วัน คนพวกนั้นก็ผอมลงไปเยอะ โดยเฉพาะอันฉิน เธอไม่เคยเจอเื่แบบนี้มาก่อน จะทนได้ยังไง? ทำไปได้ไม่กี่วันก็ทนไม่ไหวแล้ว
อีกคนที่ทนไม่ได้เหมือนกันก็คือเด็กสาวอีกคน มีข่าวลือว่าวันหนึ่งตอนเลิกงานเย็น เธอพูดจาไม่ดีกับอันฉิน ทั้งสองคนก็เลยทะเลาะกัน
“จุ๊ๆ...” หลิวเหมียวกินแตงพลางซุบซิบนินทากับสวี่จือจือ “ฉันเคยคิดว่าพวกคนมีการศึกษาจะไม่ด่าคน แต่ไม่คิดเลยว่าเวลาพวกเขาจะด่าคน คำหยาบคายมันจะน่าเกลียดกว่าพวกผู้หญิงปากร้ายในหมู่บ้านเราด่ากันอีก”
ทั้งสองคนไม่เพียงแต่ขุดเื่ในอดีตมาแฉกันเท่านั้น แต่ยังลงไปคลุกฝุ่นตีกันอีกด้วย
ส่วนที่โดนตีน่ะเหรอ เธอเอามือปิดตาดูตลอด ล้วนแต่เป็ส่วนที่อ่อนโยนและเ็ปที่สุดของร่างกายทั้งนั้น
“ปิดตา?” สวี่จือจือหัวเราะ “แล้วจะดูยังไง?”
“ดูแบบนี้” หลิวเหมียวทำท่าทาง “แอบมองตามซอกนิ้ว”
สวี่จือจือหัวเราะออกมาดังลั่น
“แต่ว่า” หลิวเหมียวลดเสียงลง “ตอนที่ฉันมาที่บ้านเธอเมื่อกี้ เหมือนจะเห็นแม่สามีเธอ...ก็คือเหอเสวี่ยฉินกำลังคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง”
“ผู้หญิง?”
“มองไม่เห็นหน้าตาชัดเจน” หลิวเหมียวกล่าว “แต่ฉันดูจากรองเท้ากับกางเกงแล้ว เหมือนจะเป็อันฉิน”
ตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังบ้าน เธอเลยมองไม่เห็นชัดเจน
“สองคนนี้ผิดใจกับเธอทั้งคู่” เธอกล่าวเตือน “เธอยังต้องระวังตัวหน่อยนะ”
ถ้าเป็คนอื่น เธอคงไม่พูดแบบนี้หรอก
“หลิวเหมียว ขอบใจนะ” สวี่จือจือกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
สองคนนี้มารวมตัวกันต้องไม่มีเื่ดีแน่ แต่ในไม่ช้าสวี่จือจือก็รู้ว่าคนสองคนนี้รวมตัวกันเพื่ออะไร
อันฉินกำลังจะแต่งงานกับโจวเป่าเฉิง ต้องบอกว่าเหอเสวี่ยฉินทุ่มเทให้กับการแต่งงานของลูกชายจริงๆ
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายสัญญาว่าจะให้อะไรกับอันฉิน ถึงทำให้อันฉินตกลงแต่งงานกับโจวเป่าเฉิงที่ไม่เอาไหนคนนั้นได้?
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้