สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ สำนักฝึกยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดในแคว้นจื่อจิน มีประวัติศาสตร์ความเป็มานานนับพันปี
ทว่าสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ไม่ได้เป็ของแคว้นจื่อจิน แต่ถูกสร้างขึ้นโดยนิกายระดับสามหรือนิกายอัคคี์ ตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาจื่อ อวิ๋นทางชายฝั่งตะวันออกของเมืองหลวง
สามารถกล่าวได้ว่าสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์เป็สถานที่ที่ตระกูลในแคว้นจื่อจินไปจนกระทั่งถึงตระกูลยุทธ์โบราณที่อยู่รอบแคว้นต่างก็ใฝ่ฝันถึง ทว่าการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายอย่างยิ่ง หากไม่ใช่อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ สัตว์ประหลาดในหมู่สัตว์ประหลาด ก็ยากจะผ่านการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ไปได้ และไม่อาจเข้าไปฝึกฝนเป็ศิษย์ภายในได้
แต่หากได้เข้าไปศึกษาในสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ ก็จะสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวิชาที่สืบทอดต่อกันมาหลากหลายแขนงได้ การทะลวงผ่านถึงเขตแดนจอมพลอสูรโลกาจะไม่ใช่เพียงความฝันอีกต่อไป
ที่สำคัญไปกว่านั้น สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์เป็ดั่งสะพานที่เชื่อมสู่นิกายอัคคี์ หากมีวาสนาได้เข้าไปอยู่ในนิกายอัคคี์ ก็จะมีโอกาสได้ก้าวเข้าสู่เขตแดนในตำนานที่เล่าขานต่อกันมา และเป็บุคคลที่ได้รับการยกย่องบูชายิ่งกว่ากษัตริย์ของแคว้นใดใด
หลังจากพักผ่อนอยู่สามวัน เยี่ยเฉินเฟิงที่เช่าบ้านหลังเล็กๆ อยู่อย่างลำพังก็ปรับสภาพร่างกายตัวเองให้สมบูรณ์ดีที่สุด ก่อนจะเดินเท้าไปยังจุดทดสอบที่สำนักฝึกยุทธ์อัคคี์จัดขึ้น ซึ่งอยู่บริเวณด้านนอกหุบเขาจื่ออวิ๋น
เมื่อเดินมาจนถึงบริเวณด้านล่างของูเาจื่ออวิ๋น เยี่ยเฉินเฟิงก็มองเห็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายตำหนักแบบโบราณเรียบง่ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ตรงกลางตำหนักมีป้ายขนาดใหญ่แขวนเอาไว้ บนป้ายมีตัวอักษรหงส์ฟ้อนัทะยานเขียนไว้สามคำ---เซิงเซียนถัง
“เซิงเซียนถัง เมื่อเข้าสู่ห้องโถงไป ก็จะติดปีกบินได้ดั่งเซียน เป็ชื่อที่ทรงพลังชะมัด”
เยี่ยเฉินเฟิงมองดูตัวอักษรเซิงเซียนถังทั้งสาม พลันรู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่ปะทะเข้าใส่ใบหน้า
ในขณะที่เขากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศเรียบง่ายโบราณของเซิงเซียนถังอยู่นั้น น้ำเสียงคุ้นหูก็พลันลอยมากระทบโสตประสาท
“เยี่ยเฉินเฟิง เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ได้ยินเสียงดังกล่าว เยี่ยเฉินเฟิงก็หันกลับไปมองอย่างไม่รีบร้อน พบว่าเป็จีชิงเสวี่ยที่เดินทางมาพร้อมกับยอดฝีมือคนหนึ่งของตระกูลจี ในวันนี้นางสวมชุดกระโปรงยาวทอจากผ้าแพรต่วนสีเขียวเข้ม ผิวขาวเนียนนุ่มลื่นดุจน้ำนม ดูมีเสน่ห์ดึงดูดใจั้แ่หัวจรดเท้า
เพราะอาการาเ็เรื้อรังของจีเหยียนเจิ้งกำเริบหนัก ตระกูลจีจึงวุ่นวายกันยกใหญ่ จีชิงเสวี่ยจึงไม่ทราบเื่ที่เยี่ยเฉินเฟิงได้ที่หนึ่งในการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้
“ทำไม เ้ายังมาได้ทำไมข้าจะมาไม่ได้ล่ะ?”
เยี่ยเฉินเฟิงสังเกตเห็นความตื่นตระหนกและความเกลียดชังที่แอบซ่อนอยู่ในแววตาของจีชิงเสวี่ยแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขาเพียงเอ่ยกลับไปเสียงเรียบ
จบประโยค เยี่ยเฉินเฟิงก็เมินเฉยต่อจีชิงเสวี่ย ล้วงหยิบป้ายคำสั่งสำหรับยืนยันสถานะของผู้เข้าร่วมการทดสอบออกมาจากอกเสื้อ ยื่นให้ชายชราผู้หนึ่งที่ประจำการอยู่ตรงหน้าประตูโถงตำหนักตรวจสอบ และผ่านเข้าสู่เซิงเซียนถังไปได้อย่างราบรื่น
“เป็ไปได้อย่างไรกัน เขามีป้ายคำสั่งเข้าร่วมการทดสอบจริงๆ ด้วย เขาเป็แค่คนไร้ค่าไม่ใช่หรือไง? หรือว่าเขาจะปลุกจิตอสูรขึ้นมาได้แล้ว?”
เมื่อจีชิงเสวี่ยเห็นเยี่ยเฉินเฟิงเดินเข้าเซิงเซียนถังไป ความประหลาดใจบนใบหน้าก็ยิ่งฉายชัด นางไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะสามารถปลุกจิตอสูรได้เป็ครั้งที่สองตอนที่อายุล่วงเข้าสิบห้าปีไปแล้ว
ทว่านางไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิดว่าเยี่ยเฉินเฟิง ท่านหมอเฉินและคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ในคืนนั้น ผู้ชายเ็าเยี่ยอหยิ่งที่สั่นคลอนดวงใจของนางได้จะเป็คนคนเดียวกัน สำหรับนางแล้วเยี่ยเฉินเฟิงไม่มีความสามรถและพลังที่แท้จริงมากถึงขั้นนั้น
หลังจากเดินเข้ามาในเซิงเซียนถัง เยี่ยเฉินเฟิงก็เห็นคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยที่ยืนอยู่ภายในห้องโถง พวกเขาล้วนสวมใส่ชุดหรูหรางดงาม หากไม่ใช่ตระกูลเศรษฐีก็ต้องเป็ตระกูลผู้ดีเป็แน่ อีกทั้งกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของคนเ่าั้โดยไม่ได้ตั้งใจก็บ่งบอกได้เป็อย่างดีว่าพวกเขาไม่ใช่ธรรมดาสามัญ ต่างก็เป็ผู้มีพร์ระดับสูงกันทั้งสิ้น
“เขาอยู่นั่นพี่สาม คนที่ว่าร้ายตระกูลเซินถูของพวกเราในวันนั้น ซ้ำยังทุบตีข้าอย่างไร้ความผิดก็คือเขาคนนั้น”
ในขณะที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังชื่นชมกลิ่นอายความเก่าแก่โบราณของเซิงเซียนถัง พร้อมกับสังเกตการณ์คู่แข่งของตนเองไปด้วยอยู่นั้น น้ำเสียงกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยวก็ดังขึ้น เด็กสาวรูปร่างสูงเพรียว รูปโฉมงดงามอยู่บ้างผู้หนึ่งก็ชี้นิ้วใส่เขาอย่างเดือดดาลด้วยความแค้นจนแทบอยากจะสับเขาเป็ชิ้นๆ
เด็กสาวนางนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็เด็กสาวนิสัยเสียจากตระกูลเซินถูที่กำลังหวาดผวาหลังจากถูกเยี่ยเฉินเฟิงต่อยกระเด็นไปเมื่อสามวันก่อน
“ในที่สุดก็หาตัวเ้าพบสักที ไอ้เด็กเวร เ้าใจกล้าไม่เบาเลยนี่ แม้แต่น้องสาวของข้าก็ยังกล้ารังแก ข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเ้าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน”
ข้างกายของเด็กสาวนิสัยเสียคือชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งในชุดหรูหราราคาแพง ดวงตาฉายแววโเี้ เขาไปยืนขวางทางของเยี่ยเฉินเฟิงเอาไว้พร้ะคอกถามอย่างดุร้าย
“ทำไมล่ะ เ้าอยากแก้แค้นแทนน้องสาวหรือไง? แต่ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลเซินถูของเ้านะ คิดจะลงมือกับข้าตรงนี้เ้าก็คิดถึงผลที่จะตามมาให้ดีก็แล้วกัน”
เยี่ยเฉินเฟิงรู้ว่าต่อให้ตนเองจะอธิบายจนปากเปียกปากแฉะอย่างไร ชายชุดหรูหราตรงหน้าก็คงไม่เชื่อคำพูดของเขาหรอก ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาไปอธิบายเขาจึงกล่าวข่มขู่เสียงเย็นะเืออกไปแทน
อีกทั้งการมีปากเสียงกันของเยี่ยเฉินเฟิงและสองพี่น้องก็ทำให้คนรอบข้างจำนวนไม่น้อยหันมาสนใจเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนตั้งท่าจะวิวาทกันกลางโถง จีชิงเสวี่ยก็ได้แต่ส่ายศีรษะ ความเกลียดชังในแววตายิ่งฉายชัด
“เ้า...”
เมื่อคิดถึงกฎของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ที่ห้ามไม่ให้มีการทะเลาะวิวาทกันนอกสนามประลองโดยเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์เข้าร่วมการประเมิน ชายหนุ่มในชุดหรูหราจึงไม่กล้าลงมือขึ้นมาจริงๆ ได้แต่กัดฟันกลืนความโกรธลงท้อง จ้องเยี่ยเฉินเฟิงเขม็งราวกับหมาป่าหิวโซ “ไอ้เด็กเวร ฝากไว้ก่อนเถอะ การทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์จบลงเมื่อไหร่ข้าไม่ปล่อยเ้าเอาไว้แน่”
“อะไรกัน เ้าจะนัดประลองกับข้าหรือ?”
เมื่อได้ยินชายชุดหรูหราพูดข่มขู่ เยี่ยเฉินเฟิงที่ไม่ได้เกรงกลัวสักนิดจึงแสร้งเอ่ยถามเสียงดัง
“มิผิด ข้าจะนัดประลองกับเ้า เ้ากล้ารับคำท้าไหมล่ะ?” ชายในชุดหรูหราเลิกคิ้วขึ้น สีหน้าแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย เอ่ยถามขึ้นเสียงดัง
ในฐานะที่เป็อัจฉริยะระดับสูงของตระกูลเซินถู เขาจึงแทบไม่เห็นอัจฉริยะของแคว้นจื่อจินอยู่ในสายตา และยิ่งไม่เห็นค่าของเยี่ยเฉินเฟิงเลยด้วยซ้ำ
“ได้ การทดสอบของสำนักอัคคี์จบลงเมื่อไหร่ ข้ากับเ้าจะประลองฝีมือกัน ว่าแต่พวกเ้าไม่คิดจะพนันอะไรหน่อยหรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงเผยรอยยิ้มบางๆ ยามเอ่ยถาม
“เ้าอยากพนันอะไรล่ะ?” เซินถูเหยี่ยเอ่ยถามด้วยแววตาทอประกายดุร้าย
“ก็พนันด้วยของรางวัลที่ได้จากการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์อย่างไรล่ะ ถ้าหากไม่ได้รับรางวัลจากการทดสอบ ก็มอบเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงให้อีกฝ่ายเป็ค่าชดเชยแทน” เยี่ยเฉินเฟิงเสนอขึ้น
“ดูเหมือนเ้าจะมั่นใจในการสอบครั้งนี้เหลือเกินนะ แต่ข้ายอมตกลงตามที่เ้า้า ข้าจะพนันกับเ้า” เซินถูเหยี่ยตกปากรับคำ
“เมื่อถึงตอนนั้นหวังว่าเ้าจะไม่บิดพลิ้วสัญญานะ มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เ้าต้องเสียใจแน่”
กล่าวจบ เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่สนใจใยดีชายหนุ่มในชุดหรูหราที่ยืนหน้าถมึงทึงอีก เขาแยกตัวเดินจากไปเพียงลำพัง
“เวรเอ๊ย ข้าไม่รู้หรอกว่าเ้าเป็ใครแต่ถ้าการทดสอบของสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์จบลงเมื่อไหร่ ข้าจะตัดขาของเ้าแน่ ให้เ้าต้องคลานบนพื้นวิงวอนขอให้ข้าไว้ชีวิตไม่ต่างอะไรกับสุนัข” ชายหนุ่มในชุดหรูหราจ้องแผ่นหลังของเยี่ยเฉินเฟิงจนลับสายตา กัดฟันกรอดๆ สบถสาบานอยู่ในใจ
“เซินถูเหยี่ย ข้าว่าเ้านี่นับวันยิ่งถดถอยรั้งท้าย ช่างเสียหน้าตระกูลยุทธ์โบราณของพวกเราจริงๆ”
ในตอนที่ชายหนุ่มชุดงดงามกำลังลอบสาบานอยู่ในใจ ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำยำ เส้นผมดกดำถูกปล่อยประบ่าทั้งสองข้าง ท่าทางคล้ายคนชอบทำตามอำเภอใจไปเสียทุกอย่างผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาใกล้เขา เอ่ยถากถางด้วยน้ำเสียงเ็า
เมื่อได้ยินวาจาถากถางที่ข้างหู โทสะในใจของเซินถูเหยี่ยก็ะเิออกโดยพลัน ทว่าเมื่อเขาเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาใหม่คือใครและััได้ถึงความกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา ความโกรธเคืองบนใบหน้าก็มลายหายไปทันที
“ซั่งกวนเผิง เ้าทะลวงเขตแดนใหม่แล้ว...”
“ใช่แล้วล่ะ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้ทะลวงผ่านเขตแดนปรมาจารย์อสูรมายาขั้นที่สองแล้ว” ซั่งกวนเผิงพยักหน้ารับ ความเยี่ยอหยิ่งฉายชัดบนใบหน้า กล่าวว่า “อันดับหนึ่งในการสอบเข้าสำนักฝึกยุทธ์อัคคี์ครั้งนี้เป็ของข้า เ้าหมดโอกาสแล้วล่ะ”
จบประโยค ซั่งกวนเผิงก็หัวเราะเยาะอย่างอวดดีก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ทว่าในครานี้สองพี่น้องเซินถูเหยี่ยไม่ได้แสดงความโกรธเคืองออกมา เห็นชัดว่าพวกเขาทั้งสองเกรงกลัวต่อพลังที่แท้จริงของซั่งกวนเผิง จึงไม่อยากจะหาเื่ใส่ตัวด้วยการทำให้เขาโกรธ
