Chapter 29
He never love me
“มองให้ลึกอย่างนั้นหรอ”
นายตำรวจร่างสูงใหญ่ในชุดนอนสบายตัวกำลังนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้นวมหนานุ่มภายในบ้านเดี่ยวหลังโต ดึกดื่นจนป่านนี้แต่โคมไฟสีส้มยังคงสว่างไสวอยู่บนโต๊ะทำงานไม้มันขลับ ภรรยาและลูกชายวัยสิบสามปีกำลังนอนหลับอยู่กันคนละห้อง ผิดจากคนเป็พ่อที่ยังคงหน้านิ่วคิ้วขมวดและคิดไม่ตกอยู่ในห้องทำงาน
ร็อบถอนหายใจออกมาเบาๆ นิ้วเรียวนวดหว่างคิ้วที่ปวดหนึบ แผ่นกระดาษเ้าปัญหายังคงอยู่ในมือ ข้อความเพียงสั้นๆแต่มันทำให้เขาคิดไม่ออกเลยแม้แต่น้อย อย่างหนึ่งที่มั่นใจคือจดหมายฉบับนี้มันมาจากเอ็ดแน่ๆ เขามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
เื่น่าแปลกอย่างหนึ่งที่มันยังคงรบกวนใจร็อบ เขาไม่เข้าใจเลยว่าถ้าหากเป็เอ็ดจริงๆ หมอนั่นอยู่ที่ไหนและกำลังทำอะไรอยู่ ทิมและเขาเคยออกตามหาเพื่อนคนนั้น หากแต่ทำอย่างไรก็ไม่เคยพบเขาเลย จนทั้งสองคนตีความกันไปเองว่าเอ็ดคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้กับเขาแล้ว แต่จู่ๆจดหมายนี้ก็ถูกจ่าหน้าซองส่งถึงเขาซะอย่างนั้น
มองให้ลึกงั้นหรอ ก็พอจะรู้นะว่าหมอนั่นชอบเื่การไขปริศนา เอ็ดจะมีความสุขมากที่ได้เล่นเกมคอสเวิร์ดในหนังสือพิมพ์ หรืออะไรก็ตามในวารสารรายสัปดาห์ของโรงเรียน แต่นั่นมันก็สมัยก่อน ร็อบเองไม่แน่ใจว่าเอ็ดเองยังคงเป็เหมือนเดิมหรือไม่ แต่ดูจากการเขียนมาหาเขาเพียงไม่กี่ประโยคมันก็น่าแปลก ทั้งที่ความจริงแล้วเขาจะเขียนบอกทุกอย่างเลยก็ได้
“ให้ตายเถอะเอ็ด”
ร็อบส่ายหน้าทันทีที่อยู่ดีๆก็นึกถึงสิ่งที่เพื่อนเก่าชอบขึ้นมา เขายกกระดาษแผ่นนั้นขึ้นและส่องมันกับโคมไฟทันที เป็อย่างที่คิด ร่องรอยบางอย่างปรากฏด้านล่างของแผ่นกระดาษ มันยิ่งทำให้มั่นใจกว่าเดิมว่าจดหมายฉบับนี้มาจากเอ็ดแน่นอน ร็อบคว้าดินสอก่อนจะฝนเบาๆลงไปบนแผ่นกระดาษ ข้อความสั้นๆที่เฝ้าตามหาปรากฏให้เห็นตรงหน้าแล้ว
มีกระท่อมอีกหลัง ไม่ใช่ที่พวกนายเคยมา ฉันอยู่ที่นั่น
แบบนี้นี่เองสินะมองให้ลึก ร็อบจำได้ลางๆว่าในป่าแถวถนนตัดใหม่จะมีกระท่อมหลังหนึ่งอยู่ ซาโตรุรายงานว่าเดวิดกับแมททิวเคยเข้าไปตรวจค้นแต่ก็ไม่พบอะไร แน่นอนว่ามันสร้างความสงสัยไม่น้อยว่าทำไมถึงมีสิ่งปลูกสร้างเช่นนั้นในป่า แต่ภาระงานที่ทับถมเรื่อยๆมันเลยทำให้เื่นี้ถูกดันไว้ภายหลังแทน
ถ้านายว่ามีกระท่อมอีกหลัง มันก็คงจะเป็แบบนั้น และฉันคิดว่านายคงไม่โกหก นายคงจะไม่ใช่คนที่เป็เ้าของผลงานพวกนี้ใช่มั้ย แอบคิดไม่ได้ว่ามันจะเป็แบบนั้น แต่ฉันรู้ดีว่านายคงไม่มีวันทำอะไรแบบนั้น
“แฟรงค์!”
จูเลียนกรีดร้องสุดเสียง ของเหลวสีแดงก่ำซึมไหลเปื้อนเสื้อที่เอ็ดสวมอยู่เป็ดวง เด็กหนุ่มชักมีดออกจากร่างผู้เป็พ่อ ปลายแหลมที่เคยสีเงินวับถูกย้อมให้แดงฉาน รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้าขณะมองคนเป็พ่อนิ่วหน้าด้วยความเ็ป เอ็ดกุมท้องของตัวเองขณะเืแดงก่ำไหลอาบออกมาตามร่องนิ้ว
“ฉันคิดไว้แล้ว ทำไมอยู่ดีๆแกถึงจับตัวจูลมา ทั้งๆที่แกเอาแต่ระวังไม่ให้ฉันจะทำแบบที่ฉันอยากทำ แกมันแผนสูงจริงๆ”
แฟรงค์ตะคอกจนตาถลน ดวงตาเขาช่างน่ากลัว เอ็ดยังคงกุมแผลและนิ่วหน้าด้วยความเ็ปที่เริ่มแผ่ซ่านทั่วร่างกาย ร่างสูงค่อยๆทรุดตัวลงนั่งกับฟูกที่นอน สีมออันแสนสกปรกในตอนนี้แปดเปื้อนไปด้วยสีแดงฉานของเืที่หยดลงจากาแเรียบร้อย
“ฉันกลายเป็แบบนี้ ต้องเป็แบบนี้ก็เพราะแก แกบังคับให้ฉันทำในสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ทำไมตอนนี้แกถึงไม่ชอบแล้วล่ะ ฉันก็ทำแบบที่แกบอกไง เป็ลูกที่ดี เป็เด็กดีแบบที่แกบอกไง!!”
เด็กหนุ่มน้ำตาไหลอาบแก้ม พรั่งพรูทุกอย่างในใจออกมาทีละนิด คนเป็พ่อทำได้แต่เพียงส่ายหน้าพร้อมมองเด็กหนุ่มที่เลี้ยงมากับมือด้วยแววตาที่เ็ปไม่ต่างกัน
“แกไม่เคยแม้แต่แตะตัวฉันด้วยความรัก แกไม่เคยกอดฉัน ไม่เคยเลย ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแบบไหนที่เรียกว่าความรัก ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าฉันมีความสุข”
“ฉันไม่เคยมีเพื่อน ฉันมองไปทางไหนก็มีแต่ป่า ฉันกลัวแค่ไหนแกก็ไม่เคยสนใจ แกทิ้งฉันที่อายุแค่สี่ขวบให้นอนในกระท่อมกลางป่าคนเดียว ในขณะที่แกหายหัวไปไหนก็ไม่รู้”
“ฉันไม่เคยได้กินอย่างอื่นนอกจากไข่ เบคอน นม แครอท ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอศกรีมหน้าตาเป็ยังไง ฉันได้แต่คิดว่าเด็กคนอื่นก็คงกินแบบที่ฉันกิน ฉันไม่เคยมีผ้าหนาๆให้ห่ม ฉันไม่เคยได้อะไรดีๆจากแกเลย”
“แกไม่เคยชมฉันเวลาอื่น แกชมฉันก็ต่อเมื่อฉันยิงกวางในป่าให้แกได้ หรือวันไหนฉันกลับมาพร้อมกับกระต่ายหรือกระรอกที่ฉันยิงมาได้ แกจะพูดกับฉันดีมาก ฉันไม่เคย ไม่เคยคิดว่าแกจะพูดดีกับฉันแบบนั้นเลย”
เสียงของเขาช่างแหลกสลายไร้ชิ้นดี มือสั่นเทาทำเอาปลายมีดส่ายไปมา แฟรงค์ปล่อยโฮและพรั่งพรูทุกอย่างออกมาจนหมด จูเลียนได้แต่เอื้อมมือปิดปากตัวเองไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้น เพราะแบบนี้นี่เองสินะเขาถึงเป็แบบนี้ เพราะแบบนี้เองใช่มั้ย
“ฉันขอโทษ” หลังจากเงียบอยู่นาน เอ็ดพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
ดวงตาคมเพ่งมองเด็กหนุ่มที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินไปทั้งตัว เพราะเอ็ดรู้ดีมาเสมอ เขานั่นแหละที่ทำให้แฟรงค์ต้องกลายเป็แบบนี้ ที่ลูกพูดมาไม่เคยมีตรงไหนผิดเลยสักนิด เขาเองนั่นแหละที่สาดสีดำลงไปบนผ้าขาวผืนนี้
เอ็ดยังจำได้ดี วันที่ลูกโตพอจะเดินเข้ามาถามเขา แฟรงค์ถามหนึ่งคำถามที่มันยังคงฝังแน่นในใจเขาจนถึงทุกวันนี้ และแน่นอนว่าคำตอบที่เอ็ดเลือกพูดออกไปนั้น มันทำให้ทุกอย่างไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป แฟรงค์ไม่เหลืออะไรให้รู้สึกผูกพันกับเอ็ดอีก ในขณะที่เอ็ดเองก็เรียกอะไรกลับมาจากคำพูดของตัวเองไม่ได้อีกแล้ว
“ผมไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อใช่มั้ย”
“อะไรทำให้แกคิดแบบนั้น”
“ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเอง”
“แกคิดถูกแล้ว ฉันเจอแกนอนร้องไห้อยู่กลางป่าตอนยังเล็กกว่านี้มาก”
“พ่อ”
“…”
“ถ้าผมเป็ลูกแท้ๆของพ่อ พ่อคงไม่ทำกับผมแบบนี้ใช่มั้ย”
“ก็คงงั้น”
มันเป็เพียงการตัดความรำคาญให้เด็กชายในตอนนั้นเลิกถามเขาไปเสียที แต่ใครจะรู้กันว่าแฟรงค์ล่ามมันไว้ราวกับโซ่ตรวนและลากมันติดตัวมาตลอดจนโต เพราะเขาไม่ใช่ลูก เพราะเอ็ดไม่ใช่พ่อ มันจึงไม่ใช่แบบที่เขาอยากได้
ทั้งที่แท้จริงแล้วเขาอยากจะเลี้ยงเด็กคนนี้ให้ดีกว่านี้แทบตาย เขาอยากจะเลี้ยงแฟรงค์ให้ดีเหมือนกับที่แม่เลี้ยงเขามาเหลือเกิน แต่มันคงเป็เพราะเอ็ดไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าควรจะต้องทำยังไงให้เหมือนกับที่แม่ทำ ยิ่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต่างจากตอนตัวเองยังเด็กลิบลับแล้ว บางครั้งเขาเผลอคิดกับตัวเองด้วยซ้ำ
ถ้าหากเป็คนอื่นที่เจอแฟรงค์แทนที่จะเป็เขา
เด็กคนนี้จะกลายเป็ปีศาจร้ายแบบในวันนี้มั้ย
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ฉันเองต้องขอบคุณแกซะมากกว่าที่ทำให้ฉันรู้ว่าความสนุกมันคืออะไร”
แฟรงค์ยกหลังมือขาวปาดหยดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้า จูเลียนมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาของแฟรงค์ด้วยแววตาตระหนก คนตัวเล็กมองร่างของเอ็ดที่เริ่มหายใจแ่ลง ควรจะทำยังไงกับตอนนี้ดีนะ มันต้องมีสักทางสิที่ทำให้ขึ้นไปข้างบนแล้วหาทางหนีได้ ถ้าอยู่ข้างล่างต่อไปแบบนี้มีแต่ตันและตายแน่นอน
“เอ็ด หายใจเข้าลึกๆนะ”
จูเลียนทำทีปรี่เข้าประกบข้างตัวเอ็ด ร่างเล็กนั่งทับลงไปบนหมอนอย่างจงใจ ใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่นของชายวัยกลางคนเริ่มจะซีดเผือดเล็กน้อย จูเลียนเห็นท่าไม่ดีจึงถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะลงมือฉีกมันและพันรอบตัวของเอ็ดเพื่อกดห้ามเืไว้
“เขาสมควร เขาสมควร สมควรโดนแบบนั้นแล้ว มันต้องโดนแบบนั้นนั่นแหละ ใช่”
เสียงของเด็กหนุ่มส่ายไปมา เขาพูดจาวกไปวนมาไม่เป็ภาษา แฟรงค์กำลังนึกถึงเื่เก่าๆ มันช่างเ็ปเหลือเกินในความทรงจำ มันมีแต่สิ่งที่อยากจะลืมเลือนไปให้หมด ถ้ามีใครสักคนถามเขาในตอนนี้เื่ที่เขาลงมือทำลงไป แฟรงค์คงไม่สามารถเล่าให้ฟังได้เลย เขาไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น
เ้าของดวงตาสีมรกตรู้เพียงแค่ว่า แววตายามใกล้หมดลมหายใจนั้นมันช่างดึงดูดเสียจนละสายตาไม่ได้ ไม่ว่าจะคนหรือสัตว์ แต่แฟรงค์ออกแนวจะชอบไปทางคนมากกว่า น้อยครั้งที่สัตว์จะสู้กลับ กลับกันหากเป็คนนั้นต่างกันออกไปอยู่มาก ทุกคนล้วนต่อสู้ให้ตัวเองมีชีวิตรอด หากแต่สุดท้ายปลายทางก็ไม่ต่างกันนัก
“แฟรงค์ ฉันไม่ได้รู้เห็นอะไรกับเขาทั้งนั้น นายกำลังเข้าใจผิดนะ”
“อย่ามาโกหกผม ผมไม่ได้โง่นะจูล” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มดูอ่อนลง หากแต่แววตาของเขาก็ยังไม่ไว้วางใจจูเลียนแบบที่เขาว่า
“ผมรู้หมดแหละว่าเขาพยายามจะทำอะไรอยู่ ผมรู้ทุกอย่าง”
“แล้วทำไมนายถึงแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่ที่นายทำท่ายิงปืนไม่เป็ นายเองก็โกหกฉันไม่ใช่หรอ”
จูเลียนลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัว เขารู้ดีว่าแฟรงค์ไม่ทำอะไรเขา หรือถ้าจะทำจริงๆก็คงไม่ร้ายแรงจนถึงขนาดที่เอาตัวรอด จูเลียนทำท่าว่าถือไพ่เหนือกว่า และเป็ดังที่คาด แฟรงค์หลบตา เขายืนนิ่งไม่กล้าเงยมองหน้าจูเลียนเสียด้วยซ้ำ
“ผมก็แค่…”
“ถ้าคุณเห็นว่าจริงๆแล้วผมเป็ยังไง คุณยังจะอยากยุ่งกับผมหรอ”
แฟรงค์เงยหน้ามองจูเลียนอย่างช้าๆ แววตาของเด็กหนุ่มใสซื่อดังวันแรกที่เจอกัน จูเลียนเม้มปากแน่น สงสารเขาจับใจแต่สิ่งที่แฟรงค์ทำมันเลยเถิดไปไกลเหลือเกิน
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็อยากจะเป็ปกติเหมือนกัน ไม่ใช่แบบนี้เลยสักนิด”
. จู่ๆเขาก็ปล่อยมีดพกในมือลงกับพื้น เด็กหนุ่มค่อยๆนั่งขัดสมาธิ นิ้วชี้เรียวจิ้มหยดเืของคนเป็พ่อที่หยดลงบนพื้น วาดมันเป็รูปขณะพูดอย่างเชื่องช้า
“ผมไม่เคยคิดว่าผมแตกต่าง ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำ คงไม่มีใครอีกฟากหนึ่งตรงถนนใหญ่เขาทำกันหรอก”
“ข้างนอกนั่นจากที่คุณเล่ามา ฟังดูแล้วผมอยากจะไปเห็นด้วยตาตัวเองเหลือเกิน คุณบอกว่าถ้ามีวันสำคัญคุณก็จะได้ของขวัญ ได้กินอาหารอร่อยๆ คุณบอกผมว่าไอศกรีมรสช็อคโกแลตอร่อยมาก คืนนั้นผมเก็บไปฝันเลย ผมเอาแต่จินตนาการว่ารสชาติของมันจะเป็ยังไงนะ มันจะเป็แบบที่ผมคิดมั้ย ผมหลับไปทั้งที่ยังคิดเื่นั้นในหัวด้วยซ้ำ”
“จูเลียน” ดวงตาสีมรกตค่อยๆสบกับดวงตากลมอย่างช้าๆ
“ผมให้โอกาสคุณตอบอีกครั้ง และมันอาจจะเป็ครั้งสุดท้ายที่ผมจะถาม”
“ตลอดเวลาที่คุณอยู่ที่นี่มา มีสักห้วงหนึ่งในความคิดของคุณบ้างมั้ย ที่คุณรู้สึก” เด็กหนุ่มเงียบไปสักพัก เขาสบตาจูเลียนแน่นิ่ง คนตัวเล็กเม้มปากแน่น รู้ดีว่าเขาจะถามอะไรออกมา
“คุณรักผมบ้างมั้ย”
“กระท่อมหลังอื่นงั้นหรอ”
แมททิวอุทานด้วยความใ เขาหันมองหน้ากันกับเดวิดโดยอัตโนมัติ นายตำรวจหนุ่มผิวแทนเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน หากแต่จดหมายฉบับเดิมตรงหน้าร็อบที่นั่งอยู่หัวโต๊ะมันว่าแบบนั้น เห็นทีอาจเป็เื่จริง
“คุณว่าเพื่อนคุณเป็คนเขียนจดหมายฉบับนี้มาหรอครับ”
ร็อบพยักหน้าตอบคำถามของเดวิดสั้นๆ ท่าทางเขาดูมั่นใจไม่น้อย และคงเป็ไปได้ยากที่จะขัดคำสั่งของเขา เพราะในตอนนี้คริสกำลังโทรตามนักเดินป่ามืออาชีพอยู่ที่อีกมุมของห้องประชุมมือเป็ระวิง ร็อบเอาจริงแน่ๆ และดูท่าจะไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขาแม้แต่คำเดียว
“เขาว่าอีกสิบนาทีจะถึงครับ” คริสลุกพรวดจากเก้าอี้ ชูโทรศัพท์ในมือไปมา ก่อนจะแจ้งข่าวสำคัญให้ทุกคนในห้องประชุมทราบ
“ถ้างั้นเราก็เตรียมลงพื้นที่กันให้เรียบร้อย ซาโตรุ เดวิด แมททิว คริส แดน หากำลังเสริมอีกสามถึงสี่นาย ทั้งหมดต้องเสร็จภายในสิบนาที”
“ครับ” ทั้งหมดประสานเสียงตอบรับเกือบจะพร้อมเพรียงกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง
“หวังว่านายจะไม่หลอกฉันนะเอ็ด”
“เอ็ด?” เดวิดอุทานอย่างลืมตัว ร็อบสะดุ้งเล็กน้อย เขาหรี่ตาและขมวดคิ้วมองหน้าลูกน้องด้วยความสงสัย ทำไมมันถึงยังมาอยู่ตรงนี้ได้กันนะ
“อะไรของนาย”
“เมื่อกี้คุณอุทานเหมือนกับว่าเพื่อนคุณชื่อเอ็ดหรอครับ” ร็อบพยักหน้า เดวิดตาเป็ประกายและใจเต้นระส่ำ ชื่อนี้มันวนเวียนอยู่ในหัวเขามาสักพัก แม้ไม่รู้ว่าจะใช่คนเดียวกันหรือเปล่า แต่เดวิดก็อดจะสงสัยไม่ได้
“มีอะไร”
“ก็คดีของลูกชายทิมเพื่อนคุณน่ะ ผมกำลังสืบสวนและตามหาชายคนหนึ่งอยู่ เขาชื่อเอ็ดเหมือนกันเลย” ร็อบเอียงคอด้วยความสงสัยไม่แพ้เดวิดแล้วในตอนนี้
“เอ็ดวิน สมิธ?”
“โอ้ พระเ้า”
เดวิดอ้าปากค้างแทบไม่เชื่อสายตา เขาเผลออุทานออกมาด้วยความใ เท่ากับว่านายตำรวจตัวสูงใหญ่ที่หญิงชราคนนั้นบอกว่าเคยมาตามหาเอ็ดที่บ้านบ่อยๆก็คือร็อบเองอย่างงั้นสิ แบบนี้คดีทั้งหมดมันกำลังผูกปมเข้าหากันชัดๆ
“ไม่ได้การแล้ว ผมต้องบอก ต้องบอกเจย์ลีน”
เดวิดกระวีกระวาดวิ่งแจ้นออกไปจากห้องประชุมทันที ทิ้งให้ร็อบยืนนิ่งแทบตั้งสติไม่อยู่ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่าคนที่หายไปร่วมยี่สิบกว่าปีแบบเอ็ด อยู่ดีๆจะปรากฏตัวกะทันหันแบบนี้ ร็อบได้แต่ภาวนา ไม่ว่ายังไงก็ขอให้เพื่อนไม่ได้เป็คนทำเื่อะไรแบบนี้ ขอเพียงแค่นั้นเถอะ
“ฮัลโหล เจย์ ผมเจอเอ็ดวินแล้ว เอ็ดวิน สมิธ ไม่ คุณไม่ต้องมา อีกสิบห้านาทีผมจะเข้าไปในป่า เจย์มันอันตราย ผมรู้ โอเค ถ้างั้นคุณรีบมาก็แล้วกันนะ”
เดวิดกดวางสาย คิดอีกทีไม่น่าบอกเจย์ลีนเลย เพราะตอนนี้อีกคนกำลังบึ่งรถมาที่กรมตำรวจและอีกไม่กี่นาทีคงถึง เดวิดไม่ได้อยากให้เจย์ลีนมาเสี่ยงถึงขนาดต้องตามไปด้วยเลย มันมีทั้งความปลอดภัย และไหนจะการทำงานของเ้าหน้าที่อีก มันคงเป็เพราะความตื่นเต้นมากกว่าเดวิดเลยตัดสินใจกดโทรไป
เพราะเขากับอีกคนอยู่กับเื่นี้มานานเหลือเกิน ร่วมหัวจมท้ายมาั้แ่ยังทำงานเข้าขากันไม่ได้ด้วยซ้ำ เดวิดไม่เห็นความจำเป็ที่จะต้องมีเจย์ลีน จนมาถึงวันที่ต้องปลอบอีกคนที่ร้องไห้ราวกับเด็กๆ หรือตอนที่แวะไปหาพ่อกับแม่ของตัวเองในรอบปี เจย์ลีนเองก็อยู่ตรงนั้นกับเขาด้วยซ้ำ
และในบางครั้งตอนดึกดื่นที่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายนั่งจัดตู้เสื้อผ้าในเวลาที่คนอื่นหลับนอนกันหมดแล้วนั้น เดวิดกลับรู้สึกว่ามันเป็เวลาที่เหมือนมีแค่เขากับเจย์ลีนอยู่ด้วยกันเพียงเท่านั้น บางทีเขาเองก็ทำเพียงนั่งนิ่งฟังมันอย่างนั้น ในขณะที่อีกคนสรรหาเื่ราวมากมายมาพูดจ้อไม่หยุด แต่เขาไม่เคยรู้สึกรำคาญสักนิด เขากลับเฝ้ารอ่เวลาพวกนี้มากกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ
เดวิดสะบัดไล่ความคิดเพ้อเจ้อออกไปจากหัว บ้าอะไรอยู่ดีๆถึงมาคิดเื่ไร้สาระใน่หน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้กันนะ นายตำรวจผิวแทนก้าวเท้าอย่างเร่งรีบเข้าไปในห้องของทีมสามทันที เขาพบว่าเจย์ลีนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว นี่ยืนคิดเื่เขานานขนาดนี้เลยหรอเรา
“เจย์ ผมขอร้อง” เดวิดปรี่เข้าไปหาทันที แน่นอนว่าอีกคนลุกพรวดและส่ายหน้าพร้อมกอดอก เขารู้ได้เลยว่าคิดผิดแล้วที่โทรไปบอกเจย์ลีน
“เดฟ แต่นั่นน้องเจย์นะ”
“เดฟกับเจย์ว่ะคริส”
สถานการณ์ที่ตึงเครียดกลายเป็ว่ากลับตาลปัตร แมททิวและคริสที่กำลังเตรียมตัวอยู่นั้นยิ้มจนแก้มปริ และแน่นอนว่าเสียงแซวนั่นก็ต้องมาจากไอ้ตัวกวนประสาทอย่างแมททิวแบบไม่ต้องเดา
“ผะ ผมหมายถึง นั่นน้องของผมนะเดวิด ถ้าคุณไม่ให้ผมไปผมคงร้อนใจแน่ๆ”
เจย์ลีนตะกุกตะกักและใบหน้ากลมร้อนผ่าว มันแดงก่ำไม่ต่างจากใบหน้าคมของนายตำรวจตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
“มันอันตรายนะคุณ มันไม่เหมือนกับวันอื่นๆที่เราเข้าไปกันหรอก ไม่เชื่อก็ลองถามแมทกับคริสดูสิ” เดวิดพยักพเยิดไปทางตำรวจอีกสองนายที่เหลือ
“มันลำบากและอันตรายจริงๆอย่างที่เดฟมันว่าแหละครับ เชื่อสิว่ายังไงมันก็อยากอยู่ใกล้ๆคุณอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้สถานการณ์มันคาดเดายากเหลือเกิน ลำพังพวกเราเข้าไปกันเองก็ไม่รู้เลยว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง” แมททิวอธิบายอย่างยืดยาวแต่ครบจบทุกประเด็น ไม่วายที่จะแอบแซวเพื่อนตัวเองเล็กน้อย แน่นอนว่าได้ผล เดวิดหน้าหงิกเป็ที่เรียบร้อย
“แต่…”
“เจย์ คุณรออยู่ที่กรมกับพอลก็ได้ ยังไงซะหมอนั่นก็ต้องคอยสแตนบายฟังวิทยุสื่อสารเผื่อจะขอกำลังเสริมเพิ่ม” เดวิดทำเสียงขรึมมากขึ้นให้อีกคนรู้ว่าเขาจริงจัง และนี่มันไม่สามารถจะตัดสินใจตามอำเภอใจได้
“พอลมานู่นละ” คริสว่า ก่อนจะกำมือและชี้นิ้วโป้งไปข้างหลังทันทีที่อีกประตูหนึ่งเปิดออก
“นักเดินป่ามาหรือยังคริส” พอลเอ่ยถามทันทีที่หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ เขาคว้าเอาวิทยุสื่อสารมาตรงหน้า เจย์ลีนมองท่าทางคล่องแคล่วของเขาแล้วก็หันมามองเดวิดตาละห้อย
“คุณอยู่ที่นี่ เชื่อผมนะ เพราะผมเป็ห่วง ผมถึงต้องขอร้องให้คุณรออยู่ตรงนี้ จริงๆนะ”
เดวิดเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เจย์ลีนรู้ทันทีว่าถ้าหากเดวิดใช้น้ำเสียงนี้มันแปลว่าเขาจริงจังและหมายความว่าแบบนั้นจริงๆ คนตัวเล็กยอมนั่งลงที่เก้าอี้ไม่ห่างจากพอล
“ไม่รู้ว่าจะเป็ยังไง แต่สัญญานะว่าจะพาจูลกลับมาหาเจย์ให้ได้”
“ผมสัญญา”
เดวิดเอื้อมมือไปจับมือเล็กที่วางอยู่บนตัก นิ้วโป้งเรียวลูบหลังมือของเจย์ลีนเบาๆ เขาส่งยิ้มบางๆให้ ดวงตาคมสบตากับดวงตากลมเนิ่นนาน ราวกับว่าคนทั้งคู่อยู่เพียงลำพังภายในห้องนี้ สักพักเสียงโทรศัพท์ของใครบางคนก็ดังขึ้น เป็คริส เขาล้วงมันออกจากกระเป๋า เอ่ยสองสามคำและกดตัดสาย
“เขามาถึงแล้ว”
คริสเอ่ยเพียงสั้นๆ ก่อนจะผลักประตูและรีบร้อนออกไปไม่ต่างจากคนอื่น เดวิดปล่อยมือจากเจย์ลีน คนตัวเล็กพยักหน้าน้อยๆ และแผ่นหลังของเดวิดจึงค่อยๆลับหายไปจากสายตา
“อยู่ที่นี่แหละปลอดภัยกว่าอย่างที่เขาว่า” พอลเอ่ยสั้นๆ เขาส่งยิ้มบางๆให้ หันไปกดบางอย่างบนแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊ค
“เขาไม่เคยห่วงใครนอกจากตัวเองมาสักพักแล้ว คุณคนแรกเลยนะ”
เจย์ลีนก้มหน้างุด ใบหน้าร้อนผ่าวแบบที่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเป็อะไรอยู่ สักพักจึงเงยหน้าขึ้นดังเดิม สลัดทิ้งเื่ส่วนตัวของตัวเองไปก่อน เพราะในตอนนี้มีเื่ให้ต้องห่วงมากกว่านั้นอีก ภาวนาขอให้เจอจูเลียนที่นั่นด้วยเถอะ หรืออย่างน้อยให้พอมีอะไรตามตัวเขาได้ต่อก็ยังดี
“ลองเช็กในแผนที่แล้วไม่พบครับ”
นักเดินป่าที่ชำนาญเงยหน้าบอกกับทุกคนในทีมที่ล้อมเขาอยู่ แอนดริวเป็คนคุ้นเคยที่ทีมสามชอบเรียกใช้งานเสมอ กระท่อมหลังแรกก็เขานั่นแหละที่เป็คนบอกพิกัดมา
“แต่ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีถูกมั้ยแอนดี้”
เดวิดเรียกเขาด้วยชื่อเล่น ทีมสามคนอื่นเองก็เรียกเขาแบบนี้ แอนดริวพยักหน้า ไม่ใช่เื่แปลกที่จะไม่พบ ผืนป่ามันสลับซับซ้อนเกินกว่าใครจะคาดเดาได้ เพราะงั้นบางทีการเชื่อในเครื่องมือที่ถืออยู่อาจต้องปัดตกออกไป
“ทุกคนคิดว่ายังไง”
ร็อบเอ่ยถาม นายตำรวจร่างสูงใหญ่กวาดสายตามองไปรอบตัว มีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ และยิ่งมองลึกเข้าไปก็รังแต่จะพบเพียงแต่สิ่งที่เหมือนๆกันเพียงเท่านั้น
“ผมคิดว่าเราควรจะเริ่มจากกระท่อมที่เก่า เพราะถ้าเขารู้ว่าเรารู้เื่กระท่อมหลังนั้น แปลว่าเขาเองก็อาจเกี่ยวอะไรสักอย่างกับมันเหมือนกัน”
เดวิดโพล่งขึ้นยาวเหยียด แน่นอนว่าคนอื่นในทีมเห็นด้วยอย่างแน่นอน จุดหมายของทุกคนในตอนนี้จึงเป็กระท่อมหลังนั้นที่เคยสำรวจมาแล้วรอบหนึ่ง แอนดริวพยักหน้ารับ เขาออกเดินนำโดยมีนายตำรวจคนอื่นเดินตามไปติดๆ
กระทั่งตรงหน้าของทั้งหมดคือกระท่อมหลังนั้น ร็อบเดินนำไปโดยทันที เขาจับกระบอกปืนที่เหน็บเอวเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆออกแรงผลักเบาๆที่ประตูไม้ มันเปิดออกอย่างง่ายดาย
“แยกกันไปดูให้รอบ ฉันดูข้างในเอง”
“ครับ”
นายตำรวจที่เหลือปฏิบัติตามที่ร็อบสั่ง คนยศใหญ่สุดก้าวเท้าเหยียบภายในกระท่อม มันเต็มไปด้วยใบไม้แห้งบนพื้น ฝุ่นฟุ้งกระจายทุกอณูของด้านใน หยากไย่ตรงมุมเพดานมีให้เห็นบางตา สิ่งของภายในมีเพียงเก้าอี้และโต๊ะไม้อย่างละตัวเท่านั้น สภาพไม่ต้องพูดถึง แน่นอนว่าเก่าเสียเต็มประดา
“ได้เื่อะไรมั้ยซาโต้” ร็อบเดินออกมาจากในกระท่อม เขาไม่พบอะไรผิดปกติ คนอื่นก็เช่นกัน คราวนี้ดูเหมือนว่าบรรยากาศจะเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
“ไม่เจออะไรน่าสงสัยเลยครับ เหมือนว่ามันถูกทิ้งร้างอย่างสมบูรณ์แล้ว”
คนเป็หัวหน้าพยักหน้ารับ เขาลอบถอนหายใจ นึกก่นด่าเอ็ดในใจ อย่างน้อยน่าจะบอกกันสักหน่อยว่านายอยู่ตรงไหน แต่อย่างว่า ที่ตรงนั้นอาจลึกจนอธิบายไม่ถูก ร็อบเดินสำรวจรอบๆด้วยตัวเองอีกครั้งก็ไม่พบอะไรอย่างที่ว่าจริงๆ อีกอย่าง ระดับทีมสามแล้วเื่จะเล็ดลอดไปน่ะคงยาก
ระหว่างที่กำลังจับต้นชนปลายกันอยู่ และดูเหมือนว่าทุกคนในทีมเองจะไม่กล้าแตกออกจากกลุ่มกันมากนัก เพราะไม่ใช่ที่ที่คุ้นชินเอาซะเลย เสียงหนึ่งที่ดังลั่นระงมก็ทำเอาทั้งหมดหันมองหน้ากันพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง
ปั้ง!
“เสียงปืน!”
“แอนดี้นำเลย”
แอนดริวพยักหน้าและเริ่มกึ่งเดินกึ่งวิ่งทันที มันไม่ปกติแน่ๆ อย่างน้อยถ้าหากเป็นายพรานหรือใครก็ตามอาจมีประโยชน์ในตอนนี้ก็ได้ นายตำรวจทั้งหกและนักเดินป่าอีกหนึ่งจึงกรูกันไปยังต้นเสียงทันที