Chapter 30
Time out
ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วทั้งกระท่อม คำถามที่ไร้คำตอบยังคงเป็เช่นนั้น จูเลียนมองแววตาของแฟรงค์แล้วเผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาจ้องเขม็งคาดคั้นมัน และแน่นอนว่าคำตอบของคำถามนี้ มันเป็ไปได้แค่เพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
“ผมจะขอถามอีกครั้ง”
เสียงทุ้มลอดไรฟันพร้อมกับร่างสูงที่ค่อยๆลุกยืนขึ้นช้าๆ ความไร้เดียงสาของเด็กหนุ่มถูกบางสิ่งพัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว เท้าก้าวเข้าหาคนตัวเล็กอย่างใจเย็น แม้ห่างเพียงไม่กี่ก้าวแต่สายตาของเขาทำจูเลียนอกสั่นขวัญแขวนไม่น้อย เหลือบมองก็พบว่ามีดพกเปื้อนเืยังคงวางอยู่ที่พื้น ทว่าหยดเืที่แฟรงค์บรรจงวาดบนพื้นไม้เมื่อครู่ทำเอาจูเลียนจ้องตาไม่กะพริบ
สีแดงฉานถูกนิ้วเรียวลากจนเป็รูป
ชายหญิงสองคนยืนข้างกัน
ตัวอักษร F และ J
หัวใจตรงกลางที่ไม่สมประกอบ
ครึ่งหนึ่งของฝั่ง F ถูกวาดลงไปเรียบร้อย
แต่อีกครึ่งหนึ่งของฝั่ง J ยังคงว่างอยู่
“จูล”
คนตัวเล็กสะดุ้งก่อนจะกรีดร้องสุดเสียง หันมาอีกทีแฟรงค์ยืนประจันหน้ากับเขา ห่างกันไม่ถึงคืบ รอยยิ้มที่ส่งมาให้นั้นทำเอาดวงตากลมเบิกกว้าง ขนลุกไปทั่วร่างกาย อยู่ดีๆก็ตัวแข็งทื่อชาวาบไม่กล้าขยับไปไหนทั้งนั้น ดวงตาสีมรกตจ้องมองลึกเข้าไปราวกับจะส่องให้เห็นถึงโครงกระดูก
จู่ๆร่างสูงตรงหน้าก็สวมกอดจูเลียนอย่างไม่ทันตั้งตัว ใบหน้าของเด็กหนุ่มซุกอยู่ที่ไหล่บาง คนตัวเล็กผงะเล็กน้อย ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อไปดี ทว่าจู่ๆเสียงของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นข้างหู มันคือเสียงสะอึกสะอื้นของคนที่กำลังสวมกอดเขาอยู่
“แฟรงค์”
จูเลียนขมวดคิ้วด้วยความสับสน มือเรียวตัดสินใจเอื้อมลูบแผ่นหลังแข็งแกร่งอย่างแ่เบา ถ้าเขายังอารมณ์ไม่คงที่แบบนี้อยู่ อย่างน้อยการพูดคุยหรือรื้ออะไรบางอย่างในใจเขา อาจช่วยซื้อเวลาให้จูเลียนได้มากขึ้น หรือไม่ก็อาจจะพอนึกออกว่าควรจะทำยังไงก่อนที่เอ็ดที่นอนหายใจรวยรินอยู่จะกลายเป็ศพไปจริงๆ
“คุณรู้มั้ย ั้แ่ผมเจอคุณ ผมรู้ดีว่าเขาพาคุณมาทำไม เขา้าจะเล่นาประสาทกับผม ผม ผมไม่ชอบใจเลยที่คุณมาที่นี่ แต่พอผมได้คุยกับคุณ ผมรู้ได้เลยว่าชีวิตมันคือแบบนี้ แค่ผมได้มองเวลาคุณเล่าเื่พวกนั้นให้ผมฟัง มันมีความสุข มันเหมือนกับ เหมือนกับว่าครึ่งหนึ่งของผมมันถูกเติมเต็ม ผมมีความฝัน มีความหวังแบบที่ไม่เคยได้มีมาก่อน แต่ผมเปลี่ยน ผมเปลี่ยนมันไม่ได้เลย ผมเปลี่ยนมันไม่ได้แล้ว ผมกลายเป็สิ่งที่ใครต่อใครเกลียดเต็มตัวแล้ว ผม”
เขาพรั่งพรูทุกอย่างออกมาอีกครั้งพร้อมน้ำตานองหน้า จูเลียนเม้มปากแน่น สิ่งที่ไม่ควรรู้สึกในตอนนี้ดันก่อมวลขึ้นในใจเขาช้าๆจนได้ สงสาร ใช่ เขาสงสารเด็กหนุ่มตรงหน้าจับใจ หากแต่ทุกอย่างมันก็เป็แบบที่เขาพูดจริงๆ มันเปลี่ยนไม่ได้อีกแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปได้เลยสักนิด
“ผมรู้ดีว่ามันโง่เง่าเสียเหลือเกินที่ถามออกไป คุณคงไม่รัก ไม่รักคนที่ฆ่าคนอื่นแบบผม คุณคงไม่รักคนแบบนี้ จริงมั้ย ผมรู้ ถึงแม้รู้อยู่เต็มอกแต่ก็ยังหวังแค่เล็กน้อย แค่เล็กน้อยก็ยังดี”
แววตาเขาช่างน่าสงสาร ร้องขอความรักอย่างจริงจังและเ็ป จูเลียนรู้ดีว่าสักวันหนึ่งเด็กหนุ่มตรงหน้าคงต้องพูดกับเขาแบบนี้ และในตอนนี้เมื่อมันถึงเวลานี้แล้ว สิ่งที่จูเลียนจะทำได้ดีที่สุดก็คือ…
“ฉันรักนาย”
แฟรงค์เบิกตากว้างแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง น้ำใสรินไหลอาบแก้มด้วยความดีใจ เด็กหนุ่มบีบมือคนโตกว่าแน่น รอยยิ้มใสซื่อปรากฏบนใบหน้า
“ถ้างั้น ถ้ามันเป็แบบนั้น พระเ้า ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำนั้น ถ้าแบบนั้นเรา เราอยู่ด้วยกันที่นี่นะ จูล นะ”
คำร้องขอของเขาเริ่มบานปลายราวกับไฟลามทุ่ง มือเรียวของแฟรงค์เขย่ามืออีกคนเบาๆด้วยความตื่นเต้น หากเป็ใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้เห็นทีคงต้องปฏิเสธและรีบหนีให้ไกล แต่แน่นอนว่าโลกภายนอกมันย่อมหล่อหลอมบางสิ่งให้แข็งแกร่งกว่า ปราการที่เปราะบางไม่อาจจะทัดเทียมความแ่าของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดได้
“ที่นี่มันจะดีหรอ”
“ทำไมล่ะ มัน มันไม่ดีตรงไหนหรอ ผมมี มีเงินนะ เราสร้างให้กระท่อมหลังนี้มันดีกว่าเดิมก็ได้” เขาผายมือไปรอบๆอย่างตื่นเต้น ดวงตาสีมรกตฉายแววประกายอย่างท่วมท้น
“ไม่คิดหรอว่าสักวันต้องมีคนหาเราเจอ ทำไมเราไม่ไปที่อื่นล่ะ ที่ที่มีแต่เราเท่านั้น”
เสียงอ่อนของจูเลียนทำเอาอีกคนพยักหน้ารับหลังจากคิดตาม เขาช่างดูมีความสุขเหลือเกิน แฟรงค์แทบลืมสิ้นทุกอย่างในตอนนี้ เขาคิดเพียงว่าวันต่อๆไปมันคงน่ารอคอยยิ่งกว่าวันไหนๆในชีวิต มีจูเลียนอยู่เคียงข้างเขาคงไม่้าอะไรอีก
“นายจะไม่ทำร้ายฉัน แบบที่ทำกับเขาใช่มั้ยแฟรงค์”
“เขาสมควรโดนแบบนั้นแล้ว ผมจะไม่ทำร้ายคุณ ถ้าคุณไม่ทำร้ายผม เราจะไม่ทำร้ายกัน ตกลงมั้ย”
“เราขึ้นไปข้างบนกันได้มั้ย ฉันเริ่มหายใจไม่ค่อยออกเท่าไหร่เลย”
จูเลียนเริ่มเอ่ยบางอย่าง สังเกตท่าทางคนตรงหน้าที่นิ่งไปเล็กน้อย แฟรงค์เงียบ เหมือนกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอยู่ ไม่อาจรู้ว่าเขาคิดอะไร จูเลียนเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออกอย่างที่ว่าจริงๆ ไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวตอนนี้มันจะมาถูกทางหรือเปล่า
“หรือถ้า…”
“คุณไม่ได้กำลังจะพยายามทำอะไรใช่มั้ยจูล”
จูเลียนส่ายหน้า เด็กหนุ่มจ้องหน้าเขาด้วยสายตาที่ดูแล้วไม่ไว้วางใจซะเหลือเกิน แฟรงค์ละสายตามองที่เอ็ด เขากะพริบตามองคนทั้งสองสลับกันไปมา เด็กหนุ่มคาดเดาจากสายตาแล้ว คนเป็พ่อคงไม่มีฤทธิ์เดชขนาดจะลุกขึ้นมายิงเขาตายหรอก
“ถ้างั้นก็ตามผมมา”
เขาเดินนำไปยังบันไดก่อน จูเลียนสบโอกาสหันมาสบตากับเอ็ด เขาพยักหน้า จูเลียนตบที่กระเป๋าสเวตเตอร์เบาๆ แปลว่าทุกอย่างกำลังลงล็อก และห่อผ้านั้นอยู่ที่ตัวเขาแล้วเรียบร้อย แม้จูเลียนเองจะดูไม่ออกว่าอาการแผลที่ท้องเขาจะแย่ลงกว่านี้มั้ย แต่อย่างน้อยในตอนนี้ทุกอย่างมันเริ่มเป็ไปอย่างที่ตั้งใจแล้ว
ทำยังไงก็ได้ให้มันเสียหลักจนซื้อเวลาพาเอ็ดออกมา ฟังดูยากเหลือเกิน แค่คิดก็เป็ไปได้ยากจนน่าใจหาย แทบอยากสลัดความคิดนี้ออก แต่เหมือนมันจะมีเพียงทางเดียวเท่านั้น เพราะจูเลียนคิดทางที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว
เท้าก้าวตามคนข้างบน แฟรงค์เหลือบมามองเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าจูเลียนก้มหน้ามองบันไดก็วางใจ แต่หารู้ไม่ว่าในตอนนี้ในหัวของจูเลียนคิดแต่เพียงแผนการเท่านั้น กระทั่งทั้งสองคนก้าวขาถึงบันไดขั้นสุดท้าย แฟรงค์เขยิบตัวหลีกทางให้จูเลียนเดินนำไปก่อน จากนั้นเขาจึงปิดประตูชั้นใต้ดินลง
“หายใจหายคอสะดวกขึ้นมั้ย” แฟรงค์เอ่ยถาม
“อื้อ”
จูเลียนตอบเพียงสั้นๆ เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะกินข้าว ดูเหมือนว่าเช้านี้จะไม่ได้มีใครกินมื้อเช้าทั้งนั้น เพราะล่วงเลยั้แ่รุ่งสางยันแดดออก เหตุการณ์ชุลมุนใต้ดินนั่นก็กินเวลามากโข แฟรงค์วางมีดพกเปรอะเืลงบนโต๊ะ เขาดูมีท่าทางผ่อนคลาย คล้ายกับว่าวางใจอะไรบางอย่าง ผิดกับอีกคนที่ในตอนนี้ดูนิ่งเงียบใช้ความคิดชอบกล
“เป็อะไรหรือเปล่า”
“แค่ แค่ในิดหน่อย เมื่อกี้นี้มันมีหลายอย่างเกิดขึ้นจนฉันไม่ทันตั้งตัว” จูเลียนแสร้งเอ่ยเสียงอ่อน ทำทียกมือนวดหว่างคิ้วราวกับว่าเครียดเสียเต็มประดา
“ผมขอโทษ คุณคงรับมือกับอะไรพวกนี้ไม่ทัน แต่ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นอีก”
“นายทำได้จริงๆใช่มั้ยแฟรงค์”
แววตาคาดหวังและน้ำเสียงจริงจังจากอีกคนเปรียบดังเข็มนับพันทิ่มแทงใจดำเขาเข้าอย่างจัง น้ำลายอึกใหญ่ถูกกลืนลงลำคอแห้งผาก อย่าว่าแต่มีคำตอบให้จูเลียนเลย แม้แต่ตัวเองเขายังตอบมันไม่ได้
ถ้าหากบางสิ่งที่กัดกินเนื้อในเขาไปจนแทบหมดร่างมันยั้งเอาไว้ได้จริง ทุกอย่างที่ยุ่งเหยิงมันคงจบไปนานแล้ว แฟรงค์รู้ดี เขาเปลี่ยนมันไม่ได้แบบที่บอก เขายังคงหลงไหลในของเหลวแดงก่ำที่ไหลรินจากร่างใครสักคน แววตาสุดท้ายก่อนสิ้นลมหายใจยังคงงดงามราวกับภาพวาดสำหรับเขาเสมอ เสียงกรีดร้องและทุรนทุรายมันยังคงเพราะพริ้งราวกับบทเพลงจากกวีเอก ทว่า…
“เพื่อคุณ ผมทำได้ทุกอย่าง”
“ทุกอย่างจริงๆหรอ”
“จูล คุณทำบ้าอะไรน่ะ”
แฟรงค์ลุกพรวดจากเก้าอี้ตามจูเลียนทันทีที่อีกคนฉวยเอามีดพกบนโต๊ะมาถือไว้ในมือ ปลายแหลมเปื้อนเืถูกชี้มายังเขาแทน สถานการณ์ตรงหน้าพลิกผันจากหน้ามือเป็หลังมือ
“ถ้าแกทำได้ทุกอย่างเพื่อฉันจริงๆ ก็ช่วยตายห่าไปจากโลกใบนี้ซะ ไอ้สวะ!”
ร่างเล็กพุ่งกระโจนเข้าหาอีกคนหมายจะปักมีดลงกลางอก จูเลียนคร่อมอยู่บนร่างสูงอย่างถือไพ่เหนือกว่า ทว่าด้วยขนาดตัวและพละกำลัง แฟรงค์เป็ต่อเสมอ เด็กหนุ่มกำข้อมือต้านแรงของอีกคนเอาไว้ จูเลียนพยายามรวบรวมแรงทั้งหมดกำด้ามจับให้มั่นและหมายจะปักมันลงไปอย่างที่คิด
“ฉันกะแล้วว่าแกต้องเล่นไม่ซื่อ”
แฟรงค์กัดฟันกรอดด้วยความโมโห คนทั้งคู่ยื้อยุดกันอยู่พักหนึ่ง ดวงตาสีมรกตในตอนนี้เดือดดาลไปด้วยโทสะอย่างเต็มเปี่ยม จนในที่สุดด้วยแรงที่มากกว่า แฟรงค์กำข้อมือเล็กเบี่ยงไปทางขวาและเป็ฝ่ายขึ้นคร่อมเสียแทน
“เ้าเล่ห์นักนะมึง”
เข้าตาจนอย่างเห็นได้ชัด จูเลียนเสียท่าเข้าให้แล้ว ร่างเล็กพยายามดิ้นให้หลุดจากพันธนาการใต้หล้า ทว่าปลายมีดที่จ่ออยู่ในระยะนี้มันอันตรายเสียเหลือเกิน อีกเพียงแค่นิดเดียวมันก็จะจมหายเข้าไปในหลอดลมเข้าอย่างสมบูรณ์
“ขอให้ฉันตายอย่างนั้นหรอ แกนั่นแหละที่ต้องตาย ไอ้สารเลว”
“ไม่นะ”
ปลายมีดถูกกดลงมาที่ลำคอของจูเลียนจนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบ คนตัวเล็กหลับตาลงอย่างช้าๆ เขาคงตายอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ มันไม่มีแรงอะไรอีกทั้งนั้น สติคล้ายจะดับวูบลงไป แรงที่ต้านข้อมือของอีกคนเอาไว้เริ่มผ่อนลง ทว่าจู่ๆก็รับรู้ได้ถึงเสียงอะไรบางอย่างดังก้องในหู ก่อนที่ร่างสูงที่คร่อมอยู่บนตัวจะล้มลงมานอนข้างๆเขาแทน
“จูเลียน จูล”
แรงตบเบาๆที่ใบหน้าปลุกให้เขามีสติลืมตามองขึ้นอีกครั้ง เอ็ดที่ก้มตัวกุมท้องอยู่กำลังมองหน้าเขาด้วยสีหน้าวิตก หันไปมองข้างๆก็พบว่าร่างของแฟรงค์แน่นิ่งไปแล้ว เืไหลซึมจากตัวเขาไปยังพื้นกระท่อมเป็วงกว้างทีละน้อย
“ไปที่รถ เร็ว”
จูเลียนลุกขึ้นทันทีเมื่อได้สติ เอ็ดนิ่วหน้าเล็กน้อยจากความเ็ปที่าแ จูเลียนมองดูปืนพกในมือเขา นี่เองสินะที่เป็ระฆังดังช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แม้ในตอนนี้าแที่ลำคอของเขาเองก็เจ็บแสบไม่น้อย
“คุณไหวมั้ย”
คนตัวเล็กเข้าไปประคองเอ็ดไว้ สีหน้าเขาดูดีกว่าเมื่อครู่ที่อยู่ห้องใต้ดิน ทว่าเขาดูเ็ปขึ้นกว่าเดิม คนทั้งคู่ค่อยๆเดินไปที่รถ ที่จริงแม้อยากเร่งรีบมากแค่ไหน แต่สังขารของทั้งคู่ที่มีาแอยู่ก็ไม่อำนวยเลยสักนิด
“ฉันขับเอง”
จูเลียนปรี่ไปยังฝั่งคนขับทันที ดูท่าแล้วเอ็ดไม่น่าจะไหว อันที่จริงจูเลียนไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะบังคับมันได้หรือไม่ แต่สถานการณ์ที่บีบบังคับเช่นนี้คงไม่มีเวลาให้เลือกมากนัก ต้องรีบพาเอ็ดไปส่งโรงพยาบาลให้ไวที่สุด
“กุญแจล่ะ”
จูเลียนเอ่ยถาม เอ็ดขยับตัวอย่างยากลำบาก เขาล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะพบกับความว่างเปล่า เลื่อนมาที่กระเป๋าเสื้อที่สวมอยู่ก็ไม่พบ
“บ้าเอ๊ย คุณรอบนนี้แหละ ฉันจะกลับเข้าไปหาเอง”
“มันน่าจะอยู่ตรงโต๊ะใต้ที่แขวนปืนลูกซอง รีบเลยนะ”
คนตัวเล็กพยักหน้าก่อนจะก้าวลงจากรถ จูเลียนสังเกตว่าคอเสื้อตัวเองมีบางอย่างผิดปกติ เอื้อมมือไปแตะที่ลำคอก็พบว่าเืไหลออกมาพอสมควร ถ้างั้นคงต้องรีบกว่าเดิมแล้ว
ทว่าทันทีที่เปิดประตูกระท่อมกลับเข้าไป ร่างที่คิดว่าคงนอนจมกองเือยู่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้ก็แต่เพียงกองเืเท่านั้น จูเลียนเบิกตากว้าง พลันแรงกระชากที่เรือนผมทำเอาคนตัวเล็กเกือบหน้าหงายโดยไม่ทันตั้งตัว
“แกจะหนีฉันไปไหน”
แฟรงค์ในสภาพที่งอตัวกุมท้องเอาไว้พร้อมกับเสื้อที่สวมอยู่เปรอะเืเป็ดวงมองจูเลียนด้วยสายตาโกรธแค้น คนตัวเล็กรีบถอยให้ห่างจนมือไปปัดเอาเข้ากับตะเกียงน้ำมันหล่นกระจายเสียงระงมบนพื้น แฟรงค์ย่างสามขุมเข้ามาใกล้ทันที
“แกต้องอยู่กับฉันที่นี่ อยู่กับฉัน!!”
เด็กหนุ่มะโกร้าวอย่างควบคุมสติไม่อยู่ จูเลียนถอยหลังหนีก่อนจะชนเข้ากับโต๊ะตัวที่เอ็ดว่า หันซ้ายขวาก็พบว่าเขาจนมุมเข้าอย่างจัง ไม่มีทางให้หนีเลยสักนิด แฟรงค์ก้าวเข้ามาประจันหน้าจนห่างกันไม่กี่คืบ เด็กหนุ่มนิ่วหน้าด้วยความเจ็บแปลบ ะุปืนแบบเดียวกันกับที่เขายิงคนอื่นกำลังเล่นงานเขาเข้าอย่างจัง
“แกไม่มีวันหนีฉันพ้น ไม่มีวัน” แฟรงค์ทำท่าจะเอื้อมมือมาคว้าตัวจูเลียนไว้
“ใครว่าล่ะ”
จูเลียนยกขาถีบเข้าที่ท้องอีกคนเข้าอย่างจัง เสียงร้องด้วยความเ็ปพร้อมกับร่างที่เสียหลักลงไปกองกับพื้นเบิกทางให้เขามีทางหลีกออกมา จูเลียนกำกุญแจรถที่แอบหยิบเอาไว้ในมือแน่น แฟรงค์ทำท่าจะลุกและตะเกียกตะกายไล่ตาม
“ไม้ขีด เอ็ด! ไม้ขีด”
เอ็ดที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกและตัดสินใจลงจากรถหมายจะเปิดประตูเข้ามา เมื่อได้ยินเสียงจูเลียนะโเขารีบโยนกล่องไม้ขีดให้ทันที ชายหนุ่มรับมันได้อย่างพอดี เขาจุดไฟและโยนมันเข้าไป น้ำมันจากตะเกียงลุกพรึบกลายเป็เปลวไฟขวางหน้าแฟรงค์เอาไว้ ไม่นานมันก็ลุกลามภายในกระท่อมที่ทำหน้าที่เป็เชื้อเพลิงอย่างดี
เร็วกว่าความคิด เสียงโหวกเหวกโวยวายของฆาตกรต่อเนื่องข้างในดังขึ้นพร้อมกับเสียงของแผ่นไม้ที่หล่นลงมาจากชายคา จูเลียนถอยออกมาและมองกระท่อมทั้งหลังค่อยๆติดไฟทีละน้อย
“แกไม่มีวันหนีฉันพ้น!!”
เสียงะโของมัน เสียงสุดท้ายก่อนที่ควันและเปลวไฟจะแย่งกันทำหน้าที่เผามอดกระท่อมทั้งหลัง เปลวไฟโหมกระหน่ำ ไม่นานนักเสียงฝีเท้าของคนหลายคนก็ดังขึ้นข้างหลัง
“เอ็ด!”
“ร็อบ!”
“ปิดคดีลงได้สำเร็จเป็ที่เรียบร้อยนะครับ สำหรับคดีฆาตกรต่อเนื่องในป่าหลังถนนตัดใหม่ จากคำแถลงข่าวของกรมตำรวจเมื่อบ่าย ฆาตกรได้เสียชีวิตลงในกระท่อมกลางป่าสาเหตุจากไฟไหม้จนเหลือแต่ซาก รถดับเพลิงสามารถคุมเพลิงไม่ให้ลุกลามได้อย่างปลอดภัย ผู้รอดชีวิตสองราย เอ็ดวิน สมิธ และจูเลียน เมอติเนซ ลูกชายฝาแฝดของมหาเศรษฐี ทิม เมอติเนซ ซึ่งขณะนี้ทั้งสองพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ทางตำรวจไม่ได้เอ่ยชื่อเพื่อความเป็ส่วนตัวของทั้งคู่ และจะทำการสอบสวนรายละเอียดเป็ขั้นตอนต่อไป"
เสียงผู้ประกาศข่าวจากดังแว่วจากในจอทีวีของโรงพยาบาล เจย์ลีนหันไปมองร่างเล็กบนเตียงที่ขยับเล็กน้อยจึงหยิบรีโมทลดเสียงลง ดวงตากลมของคนเป็น้องค่อยๆเปิดขึ้น จูเลียนขยับตัวด้วยความเมื่อยล้า เมื่อหันมาเห็นคนเป็พี่ก็ส่งยิ้มให้บางๆ
“ตื่นแล้วหรอ”
เจย์ลีนเอ่ยถามด้วยความเป็ห่วง จูเลียนพยักหน้าเบาๆ าแที่ลำคอถูกแปะด้วยผ้าก๊อซ หมอว่ายังดีที่ไม่เป็แผลใหญ่มากเท่าไหร่ ใช้เวลาไม่ถึงอาทิตย์ก็จะสมานเหมือนเดิม แต่อาจทิ้งรอยแผลเป็ไว้ให้เห็นบางๆ
“น้ำหน่อยมั้ยจูล”
คนถูกถามพยักหน้ารับ คนเป็พี่ลุกขึ้นก่อนจะคว้าเหยือกน้ำและรินน้ำดื่มใส่แก้ว ปรับเตียงคนไข้ให้สูงขึ้นเล็กน้อยและส่งแก้วใบใสให้จูเลียน เขารับมาถือในมือและจิบมันอย่างช้าๆ
“มองอะไร”
จูเลียนส่งแก้วคืนก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เจย์ลีนส่ายหน้าช้าๆ ทว่าดวงตากลมยังคงจดจ้องใบหน้าที่ไม่ได้พบมาเกือบเดือนอยู่แบบนั้น สักพักมือเรียวจึงเอื้อมไปลูบใบหน้าแฝดน้องเบาๆ พลันน้ำใสเอ่อคลอดวงตาของผู้เป็พี่อย่างห้ามไม่ได้
“พี่คิดว่าจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้าจูลอีกแล้ว”
หยดน้ำใสไหลอาบแก้มทันทีที่จบประโยค จูเลียนเม้มปากแน่น สะกดกลั้นก้อนสะอื้นลงในคอ ก่อนจะส่งยิ้มบางๆให้ เอื้อมมือจับมือแฝดพี่เบาๆ
“จูลเก่งอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องกลับมาป่วนพี่ให้ได้”
“ยังจะติดตลกอีกนะ”
สองแฝดสบตากันก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ เจย์ลีนมองดวงหน้าของคนที่ผ่ายผอมลงไปแล้วรู้สึกสะท้อนในใจ ไม่รู้เลยว่าน้องต้องเจอกับอะไรบ้าง ลำตัวมีรอยจ้ำเชียวช้ำเต็มไปหมดตอนที่แอบเช็ดตัวให้ขณะหลับ ต้องแข็งแกร่งแค่ไหนกันนะถึงเอาตัวรอดออกมาได้ ถ้าหากเป็ตัวเองล่ะก็ เขาคงตายไปั้แ่วันแรกเพราะความขี้ขลาดแล้ว
“อาเอ็ดเป็ยังไงบ้างหรอ” จูเลียนเอ่ยถามถึงอีกคนที่อยู่ในตึกเดียวกันทันทีที่นึกออก
“ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเขาเหมือนกัน เห็นพ่อบอกว่าจะไปเยี่ยมพร้อมอาร็อบ” คนน้องพยักหน้าเบาๆ สีหน้าไม่สบายใจจนเจย์ลีนต้องเอ่ยถาม
“มีอะไรหรือเปล่าจูล”
“เปล่าหรอก ก็แค่เป็ห่วงเขาเฉยๆ”
“เจย์รู้มั้ย จูลคงรอดมาไม่ได้ถ้าไม่มีเขา”
แม้อันที่จริงความยุ่งเหยิงทั้งหมดและคนที่ทำให้จูเลียนต้องหายตัวไปก็คือเขา แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาเองก็หมาจนตอกไม่ต่างจากตัวเองสักเท่าไหร่ จูเลียนทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อยอมรับ แม้กระทั่งเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อให้ได้ข่าวนั้นมา ถ้าหากเขียนมันสำเร็จจนโด่งดัง พ่อคงภูมิใจในตัวเขามากกว่านี้
เอ็ดวินก็เช่นกัน เขาไร้ปัญญาเสียจนจับลูกของเพื่อนมาเพื่อช่วยเหลือตัวเอง โง่เขลาและไร้สติ เกือบเอาชีวิตไม่รอดกันทั้งคู่เพราะแค่อยากหาทางใดก็ได้ที่ไม่ใช่ส่งเด็กที่ตัวเองเลี้ยงมาั้แ่แบเบาะส่งตำรวจ แต่สุดท้ายก็ต้องสังเวยชีวิตอันบิดเบี้ยวให้มอดลงในกองเพลิง
วิธีแก้ไขปัญหาของมนุษย์แต่ละคนช่างต่าง เื่ที่ง่ายที่สุดกลับแปรเปลี่ยนให้มันยากเย็นเสียจนเอาชีวิตตัวเองเข้าไปแลก ผลลัพธ์สุดท้ายไม่อาจเป็ดั่งใจหมายทุกประการ และวิธีการบางอย่างที่ตัดสินใจลงไปก็ไร้ปัญญาเสียจนไม่น่าให้อภัย
“เคน”
คนมาใหม่ยืนนิ่งงันอยู่หน้าประตูมาสักพัก ก่อนจะตัดสินใจเปิดมันเข้ามาอย่างทะเล่อทะล่า เป็จูเลียนที่เห็นเขาก่อน เจย์ลีนผละตัวออกจากเตียงอย่างรู้งาน ท่าทางคงมีเื่ให้สะสางกันยาวเหยียด อาจต้องเดินลงไปร้านกาแฟข้างล่างที่มีนายตำรวจผิวแทนสิงสถิตอยู่ที่นั่น
“พี่ลงไปร้านกาแฟนะ” เจย์ลีนคว้ากระเป๋า ก่อนเดินออกไปเขาตบบ่าเคนโตะเบาๆและส่งยิ้มให้
“เอ่อ”
คนมาใหม่ก้าวเท้าเข้ามาใกล้เตียงช้าๆหลังเสียงปิดประตูเงียบลง จูเลียนมองเขาตาไม่กะพริบ ความรู้สึกโหยหาก่อมวลฟุ้งบางๆในอก เคนโตะยื่นดอกทานตะวันดอกโตที่ซ่อนอยู่ข้างหลังให้ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำเอาคนบนเตียงน้ำตาคลอ
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ จูล”
เคนโตะยังไม่ทันจะวางดอกไม้โปรดลงบนตักของอีกคน จูเลียนก็โผเข้ากอดเขาทันทีพร้อมเสียงสะอึกสะอื้นของหยดน้ำตาที่อัดกลั้นมานาน เคนโตะลูบแผ่นหลังบางเบาๆ ก่อนจะย้ายไปที่เรือนผมอ่อนนุ่มที่เขาคิดถึงสุดหัวใจ
“ฉันน่าจะเชื่อ น่าจะเชื่อนายั้แ่แรก” เสียงอู้อี้ไม่เป็ภาษาเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก
“ไม่เป็ไร เธอปลอดภัยแล้วนะ ฉันอยู่นี่ ไม่ต้องกังวลอะไรแล้ว”
น้ำเสียงอบอุ่นเอ่ยตอบ ััของเขายังคงปลอบประโลมจูเลียนได้ดีเหมือนเดิม ร่างเล็กผละจากอ้อมกอด นิ้วเรียวของอีกคนเกลี่ยไล้หยดน้ำตาบนพวงแก้ม ก่อนที่ดวงตาคมจะสังเกตเห็นบางอย่างบนลำคอระหง
“ฉันขอโทษ”
เคนโตะเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือหลังจากเห็นแผลที่ถูกปิดด้วยผ้าก๊อซบนลำคอของจูเลียน ความรู้สึกผิดและเ็ปกัดกินเขาเข้าอย่างจัง
“ถ้าฉันห้ามเธอให้เด็ดขาดกว่านี้ เื่แบบนี้มันก็คงไม่เกิด เจ็บมากมั้ย ฉันขอโทษนะจูล”
“ฉันต่างหากที่ไม่ยอมฟังสิ่งที่นายบอก ทั้งๆที่นายเป็ห่วงฉันจะแย่ แต่ฉันไม่เป็ไรแล้ว ไม่เป็อะไรแล้วจริงๆ”
มือทั้งสองกอบกุมกัน ดวงตาสองคู่มองจ้องกันอย่างโหยหา ราวกับจะทดแทนช่องว่างข้างในที่ขาดหายไป กลับมาคราวนี้คงจะรู้แล้วว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการรับฟังด้วยเหตุผลอีกแล้ว เพราะอารมณ์มันนำมาสู่หายนะที่ยากเกินจะคาดเดาเหลือเกิน
“ทิม”
“โอ้พระเ้า”
คนมาใหม่เปิดประตูเข้ามา ทิมยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความใก่อนจะปรี่เข้าไปสวมกอดคนเป็เพื่อนทันที
“แกหายไปไหนมาเอ็ด แกหายไปอยู่ที่ไหนมา”
“เบาหน่อยสิ ฉันเจ็บนะเว้ย”
เอ็ดนิ่วหน้าเล็กน้อยเมื่ออ้อมกอดของทิมเริ่มจะกดาแของเขานิดหน่อย แต่อดหัวเราะไม่ได้ที่มหาเศรษฐีตรงหน้ายังคงมีนิสัยเหมือนเด็กมหาลัยคนนั้นไม่มีผิด ร็อบที่ยืนอยู่ก็อดส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มไม่ได้
“ขอโทษๆ แต่แกยังไม่ตอบคำถามฉันเลย แกหายไปไหนมา อยู่ดีๆแกก็หายไปเลย ฉันสองคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำยังไง” สีหน้าทิมบ่งบอกว่าเขาไม่ได้นิ่งนอนใจกับการหายไปของเอ็ดเลย กลับกันเขารู้สึกกระวนกระวายเสียมากกว่า
“เื่มันยาวน่ะ ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน แต่ดูท่าคงต้องให้ปากคำไอ้ตำรวจขี้เก๊กนี่ก่อน”
“หนอย ไอ้นี่”
ทั้งสามประสานเสียงหัวเราะกันดังทั่วห้อง ในที่สุดก็ได้กลับมาเจอกันสักที ่เวลาที่เอ็ดหายไปนั้นแสนนาน หากแต่ทั้งทิมและร็อบไม่เคยลืมเลือนเพื่อนคนนี้ไปจากความทรงจำ เพียงแต่คิดว่าคงไม่มีโอกาสได้พบมันอีก แต่ในตอนนี้โอกาสนั้นมันมาถึงแล้ว ถึงแม้จะต้องมีเหตุการณ์ร้ายๆเกิดขึ้นตามมาก็ตาม
“แต่ลักพาตัวและกักขังหน่วงเหนี่ยว ฉันว่าแกไม่รอดนะเอ็ด” ร็อบเปลี่ยนน้ำเสียงเป็จริงจัง เอ็ดพยักหน้าและสบตากับทิมที่ยืนอยู่
“ฉันรู้ ฉันขอโทษนะทิม ฉัน ฉันขอโทษจริงๆ”
“ถ้าให้บอกว่าไม่เป็ไรคงไม่ได้ แต่ฉันก็ขอให้มันเป็ไปตามกระบวนการก็แล้วกัน ถ้าฉันช่วย…”
“แกไม่ต้องช่วยฉันหรอก ฉันทำผิด ผิดมหันต์ที่คิดตื้นๆโง่ๆแบบนั้น ฉันพาหลานมาเสี่ยงตายด้วยแท้ๆ เพราะฉะนั้นแกไม่ต้องช่วยอะไรฉันเลย กี่ปีในคุกฉันไม่สนหรอก ขอให้ฉันได้ชดใช้ความผิดของตัวเองก็พอ”
ทิมไม่เอ่ยอะไร เขาเพียงพยักหน้ารับ มองแววตาเอ็ดแล้วก็ยอมปล่อยให้มันเป็ไปแบบที่เขาว่านั่นแหละ ถ้าจูเลียนไม่รอดกลับมา เขาคงโกรธมันไปทั้งชีวิต แต่ถึงยังไงก็ตามมันก็คงมีความรู้สึกอะไรสักอย่างตกค้างอยู่บ้าง ทิมคงปล่อยให้มันเป็เื่ของตำรวจอย่างที่ว่า และเขาว่าเอ็ดก็คงรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป และน้อมรับมันแต่โดยดี
จูเลียนปิดประตูห้องนอนลงหลังจากกินข้าวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากับพี่และพ่อเสร็จ ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนับั้แ่ออกจากโรงพยาบาลมา แผลที่คอสมานกันเรียบร้อย และทิ้งแผลเป็บางๆเอาไว้ให้ดูต่างหน้าว่าเขาผ่านอะไรมา
พ่อคุยเก่งขึ้น และเปลี่ยนกฎว่าต้องกินมื้อเย็นด้วยกันทุกวัน ตอนที่นั่งกินข้าวด้วยกันครั้งแรกหลังออกจากโรงพยาบาล พ่อเอาแต่จ้องหน้าเขา และสุดท้ายก็ร้องไห้ออกมา ปากพร่ำบอกแต่ขอโทษจนฟังแทบไม่รู้เื่ แฝดทั้งสองคนก็ไม่ต่าง แววตาของพ่อช่างเ็ปและก่นด่าตัวเองอยู่ในที จูเลียนได้แต่บอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของพ่อ เราแค่คุยกันน้อยไปหน่อย แต่ต่อจากนี้มันจะไม่มีอีก
กับเคนโตะ คงเรียกได้ว่ากลับมาคบกันแล้ว พ่อกับเจย์ลีนก็รู้ พ่อไม่ว่าอะไร แค่บอกว่าโตกันแล้ว พ่อมั่นใจว่ายังไงทั้งจูเลียนและเคนโตะก็คงตัดสินใจอะไรแบบผู้ใหญ่ เคนโตะดูดีใจที่ได้กลับมาใช้คำนั้น เขายังเหมือนเดิมมาเสมอ เขารักจูเลียนั้แ่วันแรกแบบไหน จนวันนี้เขาก็ยังรักเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
คนตัวเล็กก้าวจากห้องน้ำหลังชำระร่างกายเสร็จ เป็่ที่หัวหมุนพอตัว เื่คดีถ้าตามที่เดวิดบอกคงจะปิดได้อาทิตย์หน้า พูดถึงเดวิดกับเจย์ลีนแล้วก็ยังไม่เข้าใจกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้เท่าไหร่ ดูไปไหนมาไหนกันบ่อยมากขึ้น บางครั้งก็มากินมื้อเย็นกับพ่อที่บ้าน คุยเื่คดีที่ตามหาจูเลียนร่วมกับเจย์ลีนในตอนนั้น พ่อดูชอบเขา เขาคุยสนุก มีอารมณ์ขัน จูเลียนก็รู้สึกว่าเจย์ลีน้าคนแบบนี้แหละเข้ามาในชีวิต
จูเลียนทิ้งตัวลงบนที่นอน ยกผ้าห่มทับตัว ไม่ได้ััความสบายแบบนี้มานานเหลือเกิน โชคดีที่ไม่มีภาวะหวาดกลัวอะไรหลังจากเจอเื่แบบนั้น เขานอนหลับคนเดียวได้อย่างสบายใจ มือเล็กเอื้อมไปกดปิดโคมไฟและค่อยๆหลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทรา ความเงียบทำหน้าที่กล่อมจนสุดท้ายเขาก็หลับไป
ร่างเล็กบนเตียงนอนอ่อนนุ่มและแสนสบายภายในคฤหาสน์หลังโตคงไม่รู้เลยว่า ข้างนอกนั่นห่างไปเพียงคนละฟาก ใครบางคนที่เนื้อตัวมอมแมมและิัเหี่ยวย่นขรุขระกำลังจ้องมองห้องบนชั้นสองที่พึ่งดับไฟลงไป ดวงตาสีมรกตจ้องมองและค่อยๆแสยะยิ้ม กระทั่งก่อนรุ่งสาง เขาจึงเดินหายลับเข้าไปในที่ไหนสักที่หนึ่งก่อนที่ความสว่างจะเผยตัวตนของเขา
Honey, I’m back
Can’t wait to see you again
My love, my Julian
The end