ทุกคนเข้าไปในบ้าน ฉีฉางอิงพาเป้ยเป้ยไปหั่นแตงโมที่ครัว
อาจารย์ใหญ่โจวพาสวี่ฮุ่ยมานั่งที่ห้องรับแขก
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เธอมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า?”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้า “หนูอยากฝากเงินไว้กับอาจารย์สักพักได้ไหมคะ?”
ฉีฉางอิงยกแตงโมที่หั่นเสร็จแล้วออกมาจากครัว ได้ยินดังนั้นก็ถามอย่างไม่เข้าใจ “หนูฮุ่ย ทำไมต้องเอาเงินมาฝากไว้ที่พวกเราด้วยล่ะ?”
สวี่ฮุ่ยเล่าถึงความลำบากใจของตนเอง เกรงว่าถ้าเก็บเงินไว้ที่บ้านจะถูกกู่ซิ่วกับน้องสาวขโมยไป ถ้าพกติดตัวก็กลัวถูกปล้น
สวี่ฮุ่ยกล่าวอย่างละอายใจ “หนูรู้ว่าการขอร้องแบบนี้อาจทำให้อาจารย์ใหญ่กับป้าฉีลำบาก แต่หนูหาคนมาช่วยไม่ได้แล้วจริง ๆ ค่ะ”
อาจารย์ใหญ่โจวโบกมือ “ไม่เป็ไร เอาเงินมาฝากไว้ที่ฉันเถอะ”
สวี่ฮุ่ยกล่าวขอบคุณ แล้วหยิบเงินที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาส่งให้อาจารย์ใหญ่โจว
ถึงแม้อาจารย์โจวใหญ่จะเป็คนใจดี แต่ก็ไม่ใช่คนโง่
เขารับเงินมาแล้วถามว่า “เท่าไหร่เหรอ?”
สวี่ฮุ่ยตอบ “สองพันสองร้อยหยวนค่ะ”
อาจารย์โจวนับเงินสามรอบติดต่อกัน แล้วพยักหน้า “จำนวนถูกต้อง” จะเขียนใบรับเงินให้สวี่ฮุ่ย
ในชนบท หากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ไม่มีใครเขียนใบรับเงินให้หรอก
ถ้าขอให้ฝ่ายตรงข้ามเขียนใบรับเงินให้ แสดงว่าไม่ไว้ใจกัน
แม้สวี่ฮุ่ยอยากให้อาจารย์ใหญ่โจวเขียนใบรับเงินให้ เพราะจะได้อุ่นใจ แต่เธอก็ไม่กล้าขอให้อาจารย์ใหญ่โจวทำเช่นนั้น
จึงปฏิเสธสุดกำลัง “อาจารย์คะ ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูยังไว้ใจอาจารย์ไม่ได้อีกเหรอคะ?”
อาจารย์ใหญ่โจวแสร้งทำเป็โกรธ “ถ้าเธอไม่ยอมให้ฉันเขียนใบรับเงิน ฉันก็จะไม่เก็บเงินให้เธอ”
สวี่ฮุ่ยจึงยอมรับแต่โดยดี
อาจารย์ใหญ่โจวเขียนใบรับเงินไปพลางพูดไป “พี่น้องกันยังต้องชัดเจนเื่เงินทองเลย ต่อให้สนิทกันแค่ไหน ถ้าเกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ ก็ต้องทำให้ชัดเจน ห้ามคลุมเครือเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนเอาเปรียบได้ จำคำพูดของฉันไว้ให้ดีนะ”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย
อาจารย์ใหญ่โจวเขียนใบรับเงินสองฉบับ เซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือ ตอนที่ส่งให้สวี่ฮุ่ยเซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือต่อ เขาเห็นหลานชายจ้องเงินในมือภรรยาตาเป็มัน
เขาลูบหัวเป้ยเป้ยด้วยความเอ็นดู พลางพูดหยอกล้อว่า “เด็กขี้งก!”
สวี่ฮุ่ยเซ็นชื่อและประทับลายนิ้วมือลงบนใบรับเงินทั้งสองฉบับ เธอและอาจารย์ใหญ่โจวเก็บไว้คนละฉบับ
อาจารย์ใหญ่โจวให้ภรรยาเอาใบรับเงินกับเงินไปเก็บ จากนั้นก็รั้งสวี่ฮุ่ยไว้กินมื้อเที่ยง
สวี่ฮุ่ยไม่เกรงใจ ทำมื้อเที่ยงด้วยกันกับอาจารย์ใหญ่โจวและภรรยา
ในชาติที่แล้ว ั้แ่่ปี 90 สวี่ฮุ่ยเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ที่สถานีรถไฟในตัวเมือง ฝีมือทำอาหารของเธอถพอใช้ได้ ในตอนนั้นก็นับว่าทำเงินได้ประมาณหนึ่ง
แต่เงินที่หามาได้ส่วนใหญ่ถูกกู่ซิ่วเอาไป โดยอ้างว่าเอาไปรักษาสวี่เยว่
ที่พ่อม่ายวิตถารคนนั้นทำร้ายเธออย่างโเี้ส่วนหนึ่งก็เป็เพราะเหตุผลนี้
สวี่ฮุ่ยนำหมูสามชั้นหนักสองจินที่ซื้อมาทำเป็หมูตงพัว[1] และหั่นไก่ย่างจัดใส่จาน
จากนั้นก็หั่นแตงกวาสองลูก เอามาทำยำแตงกวา และผัดผักอีกสองอย่าง เท่านี้มื้อเที่ยงก็เสร็จเรียบร้อย
ทั้งสามคนเพิ่งจะยกอาหารไปวางบนโต๊ะ ก็มีชายหนุ่มที่ดูร่าเริงอายุราว ๆ ยี่สิบต้น ๆ สวมเสื้อกล้าม เลี้ยงลูกบาสเกตบอลเดินเข้ามาในบ้าน
เขาถูกฉีฉางอิงปราม “จะกินข้าวแล้ว ยังจะเล่นบาสอีก? ฝุ่นเข้าไปในอาหารหมดแล้ว! ”
ชายหนุ่มจึงหยุดเล่น วางลูกบาสเกตบอลไว้ใต้ชายคา แล้วก้าวเข้ามาในบ้าน
เขาใช้จมูกสูดดมเข้าไปอย่างแรง “ทำอะไรกินกันครับเนี่ย ทำไมถึงหอมขนาดนี้?”
ฉีฉางอิงบอก “สวี่ฮุ่ยนักเรียนของคุณพ่อแกทำหมูตงพัว แล้วยังซื้อไก่ย่างมาด้วย รีบล้างมือแล้วมากินข้าวเร็วเข้า”
ชายหนุ่มถามด้วยความประหลาดใจ “สวี่ฮุ่ยที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อันดับหนึ่งเหรอครับ?”
“ใช่ เธอคนนั้นแหละ”
อาจารย์ใหญ่โจวแนะนำสวี่ฮุ่ยที่ยกผักออกมาจากครัวว่า “นี่โจวอวี่หลงลูกชายฉัน ทำงานอยู่ที่โรงเหล็กในเมืองเอก สองวันนี้ได้หยุดพอดี เลยกลับมาบ้าน”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้าให้โจวอวี่หลงอย่างเป็มิตร “สวัสดีค่ะ”
โจวอวี่หลงมองเธอตาค้าง พอได้ยินเสียงสวี่ฮุ่ยทักทาย เขาก็รีบตั้งสติ แล้วตอบกลับไปว่า “สวัสดีครับ” ใบหน้าขาวสะอาดขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย
เขารีบวิ่งเข้าไปล้างมือล้างหน้าในครัว แล้วสงบสติอารมณ์ไปด้วย
เมื่อกี้เขาเสียมารยาทเกินไป จ้องมองผู้หญิงเขาไม่วางตา
แต่เมื่อนั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหาร เขาก็อดแอบมองสวี่ฮุ่ยไม่ได้อยู่ดี
ถึงกับรำพึงในใจว่า บนโลกมีผู้หญิงที่น่าหลงใหลขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ!
สวี่ฮุ่ยก็รู้ตัว หลังกินข้าวเสร็จเลยขอตัวออกไปโดยอ้างว่ามีธุระ
โจวอวี่หลงออกไปส่งสวี่ฮุ่ยกับพ่อแม่ เขารู้สึกใจหายเล็กน้อย แล้วกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง
อาจารย์ใหญ่โจวกับภรรยาไม่มีนิสัยนอนกลางวัน
ฉีฉางอิงไกวเปลให้หลานชายที่นอนอยู่ในเปลไปพลาง พูดกับสามีเสียงแ่เบา
“เมื่อกี้ตอนกินข้าว คุณได้สังเกตสายตาที่เสี่ยวหลงมองฮุ่ยฮุ่ยไหม?”
“เห็นอยู่แล้ว” อาจารย์ใหญ่โจวจิบชาอุ่น ๆ “เด็กคนนี้ไม่มีมารยาทเอาซะเลย เอาแต่จ้องมองฮุ่ยฮุ่ยไม่วางตา จนเด็กผู้หญิงเขากินข้าวไม่ลง”
ฉีฉางอิงอมยิ้ม “นั่นก็เพราะลูกชายเราชอบฮุ่ยฮุ่ยน่ะสิ ฉันว่าฮุ่ยฮุ่ยไม่เลวเลยนะ ทั้งเรียนเก่ง หน้าตาก็สวย แถมยังทำอาหารเป็อีกต่างหาก หรือว่าพวกเรารีบคว้าตัวเธอมาไว้ก่อน ไปสู่ขอฮุ่ยฮุ่ยมาเป็สะใภ้ดีไหม? ถ้าฮุ่ยฮุ่ยมาอยู่บ้านเรา ต่อไปก็ไม่ต้องถูกพ่อแม่เอาเปรียบอีกแล้ว”
อาจารย์ใหญ่โจวถลึงตาใส่ “เธอกำลังคิดอะไรอยู่ ลูกชายเราจบแค่ระดับอนุปริญญา จะคู่ควรกับอันดับหนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไง! ฉันบอกไว้เลยนะ อย่าไปจับคู่ให้หนุ่มสาวสุ่มสี่สุ่มห้า”
ฉีฉางอิงบ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ “ถึงแม้ว่าเสี่ยวหลงจะเรียนแย่ไปหน่อย แต่หน่วยงานที่เขาทำอยู่ก็ไม่เลวนะ”
เห็นสามีไม่ตอบ เธอเลยได้แต่ปิดปากเงียบ
ในที่สุดวันที่ต้องไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณที่มณฑลก็มาถึง
สวี่ฮุ่ยแต่งตัวสวยงามั้แ่เช้าตรู่ เธอสวมชุดเดรสสีแดงตัวนั้น
ตอนกำลังจะเลือกเครื่องประดับผมระหว่างที่คาดผมสีแดงกับที่คาดผมโบว์ที่ลู่ฉี่เสียนซื้อให้ สวี่ฮุ่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็เลือกที่คาดผมสีแดงอันนั้น
เมื่อวานตอนกลางวัน อาจารย์ใหญ่โจวโทรมาหาสวี่ฮุ่ยนัดกันว่าจะออกเดินทางตอนตีห้าครึ่ง ไปขึ้นรถไฟที่ตัวอำเภอตอนหกโมงครึ่ง ระหว่างทางจะแวะไปขายปลาไหลที่ร้านคุณลุงจาง
แต่คนเราวางแผนอย่างไรก็สู้ฟ้าลิขิตไม่ได้ ตอนกลางคืนสวี่ฮุ่ยไปตกปลาไหลก็ตกตะพาบได้อีกสองตัว
แต่มันตัวไม่ใหญ่เท่าครั้งที่แล้ว น้ำหนักตัวละแค่จินกว่า ๆ เท่านั้น
สวี่ฮุ่ยตั้งใจว่าจะแวะขายในเมืองเอกตอนไปร่วมงานประกาศเกียรติคุณวันนี้ด้วย
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไปเมืองเอก เสียค่ารถไปกลับตั้งสิบหยวน
ยังไม่ทันตีห้า อาจารย์ใหญ่โจวก็มาถึงแล้ว
เห็นสวี่ฮุ่ยสวมชุดเสื้อผ้า รองเท้า ถุงเท้าที่เขาซื้อให้ั้แ่หัวจรดเท้า ก็พอใจมาก
เห็นในถังมีทั้งตะพาบและปลาไหล ก็นึกว่าจะเอาไปขายให้เถ้าแก่จางทั้งหมด เลยไม่ได้คิดอะไรมาก พาสวี่ฮุ่ยออกเดินทางทันที
พอถึงตัวเมือง เห็นสวี่ฮุ่ยขายปลาไหลทั้งหมดให้เถ้าแก่จาง ส่วนตะพาบสองตัวยังอยู่ในถัง
อาจารย์ใหญ่โจวก็ถามอย่างประหลาดใจ “เธอคงไม่ได้จะเอาตะพาบสองตัวไปที่เมืองเอกด้วยหรอกนะ?”
สวี่ฮุ่ยพยักหน้า “หนูเองก็คิดแบบนั้นแหละค่ะ”
อาจารย์ใหญ่โจวพูดไม่ออก แล้วบอกว่า “เอาตะพาบไปร่วมงานด้วย ไม่ค่อยเหมาะสมมั้ง”
สวี่ฮุ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หนูไม่ได้จะเอาไปด้วยหรอกค่ะ พอถึงเมืองเอก หนูจะฝากตะพาบไว้กับคนรู้จักก่อน ค่อยไปร่วมงานกับอาจารย์ พองานจบแล้วหนูค่อยไปเอาตะพาบมาขายค่ะ”
อาจารย์โจวเห็นเธอจัดการแบบนี้ ก็ไม่คัดค้านอะไร
[1] หมูตงพัว หมายถึง หมูสามชั้นตุ๋นซีอิ๋ว เป็อาหารประจำเมืองหางโจว ทำโดยทอดหมูสามชั้นด้วยกระทะแล้วนำหมูนั้นมาตุ๋น