ต้วนเสี่ยวโหลวถือเสื้อคลุมขนสัตว์สีชมพูไว้ในมือ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเป็จังหวะ ในแววตาสีดำขลับดุจน้ำทะเลลึกของเขาเสมือนมีดวงดาวพร่างพราวอยู่ในนั้น ต้วนเสี่ยวโหลวไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงกางเสื้อคลุมในมือออกแล้วคลุมให้เหอตังกุยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผูกเชือกเป็รูปผีเสื้ออย่างระมัดระวัง
เหอตังกุยขมวดคิ้วงาม สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็มืดทะมึนพลางคิดในใจ ‘จะเป็เช่นนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าในใจของเขาจะคิดเป็อื่นหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะเป็ดังที่ลู่เจียงเป่ยพูดหรือเปล่า แต่การมีน้ำใจต่อเด็กหญิงผู้หนึ่งถึงเพียงนี้มันเกินไปแล้วจริง ๆ ’
นางไม่สามารถรับความห่วงใยเช่นนี้ได้ เขาเองก็แสดงความห่วงใยให้ผิดคนเสียด้วย
ลู่เจียงเป่ยสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของเหอตังกุย เขานึกว่านางคงไม่ชินที่มีคนแสดงความใกล้ชิดต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “ตอนนี้จะทำอย่างไรดีเล่า? ให้พวกทหารลองค้นในวัดให้ทั่วก่อนดีหรือไม่?”
แม่ชีไท่ซั่นใจนหน้าซีดเผือด นางเก็บดอกเบี้ยทั้งหมดที่ได้มาเอาไว้ในตู้ข้างเตียง หากให้พวกนั้นไปค้นดูคงไม่เป็ผลดีอย่างแน่นอน?! แม่ชีส่วนใหญ่ที่มีของส่วนตัวซึ่งไม่สามารถให้คนอื่นเห็นได้ก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงมีคนไม่น้อยร้อนอกร้อนใจขึ้นมา ในขณะเดียวกันแม่ชีเ่าั้ต่างพากันร้องะโขึ้นมาต่อหน้าเหล่าใต้เท้าจิ่นอีเว่ยโดยไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น
“ไร้สาระสิ้นดี ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน มีสิทธิ์อะไรมาสงสัยว่าพวกเราเป็ขโมย? หากอยากจะค้นก็เอาหลักฐานออกมา”
“หลายวันมานี้ หมั่นโถวในห้องครัวมักจะหายไปไม่ต่ำกว่าสองลูกในยามวิกาล พวกข้าก็คิดว่าที่นี่มีขโมยเหมือนกัน”
“โธ่ ข้าก็นึกว่าของมีค่าอะไร เอาไปขายจะได้เงินสักกี่อีแปะ แล้วยังจะมาป่าวประกาศว่าถูกขโมยเช่นนั้นหรือ? ในอารามของพวกเราใช่ว่าไม่มีของมีค่า องค์พระประธานที่หล่อด้วยทองสูงไม่กี่จั้ง เหตุใดจึงไม่มีใครไปขูดเอาเลยเล่า?”
“กล้าดีอย่างไรเรียกตัวเองว่ากุลสตรีที่มาจากตระกูลใหญ่มีฐานะ ข้าดูอย่างไรก็เป็เพียงเด็กไม่มีมารยาท จี้ทองหายเท่านี้ก็พลิกธรณีพลิกมหาสมุทรค้นเรือนคนอื่น”
“ในเมื่อมันเป็ของที่มีค่ามากขนาดนั้น นางก็ควรซ่อนเอาไว้ให้มิดชิด และจะเป็การดีที่สุดหากนางปิดประตูซ่อนตัวเองไปด้วย วัดของเราคงจะไม่มีเื่โชคร้ายอะไรเกิดขึ้นอีก...” แม่ชีจินซวิ่นผู้ที่ได้รับสมญานาม “ผู้ท่องจำพระคัมภีร์ได้เร็วที่สุด” ลุกขึ้นก่อนจะกล่าวออกมา
วันแรกที่ต้วนเสี่ยวโหลวและพวกมาถึงที่นี่ในยามบ่าย จินซวิ่นตกหลุมรักต้วนเสี่ยวโหลว บุรุษหนุ่มชุดสีแดงผู้หล่อเหลาและสง่างาม วันนั้นเขาเดินมาจากปลายเส้นทางของหุบเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมองมาที่นางซึ่งอยู่ทางประตูใหญ่ของวัดด้วยรอยยิ้ม วินาทีนั้นรอยยิ้มของเขาก็ดึงดูดจิตใจและิญญาของนางไปในทันที ตกเย็นนาง่ชิงตำแหน่งผู้ดูแลแขกผู้มาเยือนได้ จินซวิ่นดีใจแทบบ้าคลั่ง ระหว่างงานเลี้ยงนั้น นางปรนนิบัติดูแลต้วนเสี่ยวโหลวเป็อย่างดี ทั้งยังร้องเพลงบ้านเกิดของนางให้เหล่าแขกผู้มาเยือนได้ฟัง น่าเสียดายที่นางไม่ได้รับความโปรดปรานจากต้วนเสี่ยวโหลว
ดังนั้นในวันต่อมา จินซวิ่นจึงแต่งองค์ทรงเครื่องและเตรียมการแสดงระบำยาเซียงตี้อย่างตั้งใจ ทว่านางกลับมาไม่ทันเวลา แขกผู้มาเยือนแซ่เกาที่สวมชุดดำผู้นั้นถูกเจินซู่ ไหวเวิ่นและพวกอีกหลายคนคุกคามจนเกรี้ยวกราดขึ้นมา ดาบเล่มหนึ่งฟาดฟันลงบนโต๊ะจนขาดครึ่ง ก่อนที่เขาจะไล่ทุกคนออกไปให้หมด นับแต่นั้นมา จินซวิ่นก็ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้ต้วนเสี่ยวโหลวอีก
ตอนนี้จินซวิ่นได้เห็นการกระทำของต้วนเสี่ยวโหลวที่คอยเป็ห่วงเป็ใยและใกล้ชิดสนิทสนมกับเหอตังกุย ดวงตาของนางก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็สาย ปรารถนาจะเข้าไปหยิกเด็กสาวผู้นั้นให้ตายกับมือในทันที นางเชื่อว่าใบหน้าของนางงดงามกว่าผู้ใดในอารามแห่งนี้ อายุก็สิบสองปีพอดี มีความสามารถร้องเพลงเต้นรำได้ สิ่งที่นางปรารถนาเพียงหนึ่งเดียวก็คือเป็อนุภรรยาของต้วนเสี่ยวโหลว แต่นังเด็กเวรที่สมควรตายผู้นั้นกลับทำลายเื่ดี ๆ ของนางจนหมดสิ้น
เมื่อได้ยินคำประท้วงที่เหล่าแม่ชีต่างแย่งกันพูด ลู่เจียงเป่ยและต้วนเสี่ยวโหลวพลันขมวดคิ้วแน่นอย่างอดไม่ได้ ของสำคัญของคุณหนูเหอหายไปในวัดนี้ นางรู้สึกเสียใจมากเพียงใด ทุกคนก็เห็นกับตาตัวเอง แต่เหตุใดแม่ชีเหล่านี้ถึงได้กล่าววาจาถากถางเจ็บแสบเช่นนี้?
เหอตังกุยปรายตามองจินซวิ่นที่มีความอิจฉาฉายชัดอยู่เต็มใบหน้าด้วยรอยยิ้ม พลางกล่าวอย่างเนิบนาบ “ท่านคงจะเป็แม่ชีจินซวิ่นใช่หรือไม่? เมื่อครู่ข้าน้อยเพิ่งจะได้ฟังที่ท่านกล่าว ข้ารู้มาว่าท่านความจำดีที่สุดในวัดแห่งนี้ แต่เหตุใดถึงได้ลืมคำพูดของตนเร็วขนาดนี้เล่า? ข้าจำที่ท่านพูดเมื่อครู่ได้ ท่านบอกว่ารอยดำที่อยู่บนกำแพงนี้ต้องปรากฏขึ้นในคืนนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นก็ควรจะเป็ผู้วางเพลิงที่ทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ผิด เพื่อขโมยเพียงคนเดียวที่ขโมยของของข้า แน่นอนว่าไม่จำเป็ต้องค้นหาทั้งอาราม แต่เพื่อหาบุคคลที่คิดไม่ซื่อ สร้างสถานการณ์วางเพลิงทำร้ายขุนนาง ช่วยเหลือนักโทษแม่ชีไท่เฉิน ท่านแม่ชีจินซวิ่นคิดว่า พวกเราควรจะตามหาเบาะแสเพียงเส้นทางนี้เส้นทางเดียวหรือไม่?”
จินซวิ่นถึงกับพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายนางจึงเอ่ยขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “เ้ารู้ชื่อทางธรรมของข้าได้เยี่ยงไร?”
เหอตังกุยปั้นเื่ด้วยสีหน้าราบเรียบ “เื่นี้น่ะหรือ เมื่อสองวันก่อน ข้าน้อยได้ยินคนอื่นเรียกครั้งหนึ่ง แม้ว่าความจำของข้าจะไม่ดีเท่าไรนัก ทว่ากลับจดจำได้โดยบังเอิญเ้าค่ะ” เลี่ยวจือหย่วนหัวเราะขึ้นมาเสียงดัง ทำให้จินซวิ่นยิ่งรู้สึกอับอายมากขึ้น จนนางต้องถอยกลับไปอยู่ข้างกำแพงโดยไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก
ลู่เจียงเป่ยมองไปที่แม่ชีไท่ซั่น แสร้งทำท่าทางเกรี้ยวกราด “ท่านมันคนดื้อด้าน หากยืดเยื้อเวลาหาข้อแก้ตัวต่าง ๆ นานาเช่นนี้ คงไม่ได้เป็การปกป้องผู้วางเพลิงแล้ว แต่เป็คนสมรู้ร่วมคิด ข้าในฐานะแม่ทัพคนหนึ่ง ขอถามเป็ครั้งสุดท้าย พวกเ้าจะให้ค้นหรือไม่?”
แม่ชีไท่ซั่นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ส่ายหน้า ทันใดนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าลู่เจียงเป่ยและต้วนเสี่ยวโหลวจนเสียงดัง “ตึก” ก่อนจะยกมือขึ้นตบปากตัวเองห้าหกที พลางเอ่ยขอร้องทั้งน้ำตาที่ไหลพราก “ใต้เท้าโปรดฟังข้าพูดก่อน เป็ความผิดของพวกข้าที่ใจากเหตุเพลิงไหม้จนเข้าใจคุณหนูเหอผิด เมื่อคิดจนถี่ถ้วนแล้ว รอยดำบนกำแพงนั้นน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ความจริงแล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะตรวจสอบอย่างละเอียด เป็ไหวซินหญิงชั่วคนนั้นที่วางเพลิงเ้าค่ะ นางทำกับข้าวเสร็จแล้วแต่ลืมดับไฟให้สนิท จึงทำให้เกิดไฟไหม้ร้ายแรงเช่นนี้ ทั้งหมดเป็เพียงอุบัติเหตุเท่านั้นเ้าค่ะ”
ต้วนเสี่ยวโหลวยิ้มอย่างเ็า “แม่ชีไท่ซั่น ไม่ทันไรท่านก็เปลี่ยนข้อแก้ตัวเป็อื่นเสียแล้ว ช่างทำให้คนเชื่อคำพูดของท่านได้ยากจริง ๆ อีกอย่างท่านควรจะขอโทษคุณหนูเหอ ไม่ใช่มาคุกเข่าขอโทษพวกข้าเช่นนี้”
แม่ชีไท่ซั่นลังเลอยู่ครู่ใหญ่ นางกัดฟันกรอดก่อนจะหันไปทางเหอตังกุยแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณหนูเหอ ครอบครัวเลี้ยงดูคุณหนูออกมาอย่างดีที่สุด โปรดยกโทษให้พวกข้าด้วย หากก่อนหน้านี้มีใครคนใดประมาทและเข้าใจท่านผิดไป อย่าได้เอาความหญิงสาวชนบทเช่นพวกนางเลย มันจะเป็การแปดเปื้อนฐานะของตนเปล่า ๆ ส่วนจี้ทองที่หายไปของท่าน ในวันพรุ่งนี้ข้าจะช่วยท่านค้นหาให้ทั่วเ้าค่ะ คงไม่จำเป็ต้องรีบร้อนค้นหาจนเป็เื่ใหญ่โตตอนนี้กระมัง? หากเื่นี้แพร่งพรายออกไปว่าคุณหนูเหอเป็ผู้เห็นสิ่งของมีค่ามากกว่าสิ่งใด เพื่อของเล่นชิ้นเล็ก ๆ ชิ้นเดียว ถึงกับต้องบังคับแม่ชีอย่างพวกข้าถึงเพียงนี้ จะเป็การทำลายชื่อเสียงของท่านและทำให้ว่าที่สามีในอนาคตของท่านต้องแปดเปื้อนนะเ้าคะ...”
เหอตังกุยหัวเราะอยู่ในใจไม่หยุดจนแทบจะเปล่งเสียงออกมา สีหน้าของนางเสมือนว่าได้ฟังเื่ที่น่าขันที่สุดในใต้หล้า นางปรายตามองไปที่แม่ชีไท่ซั่น ก่อนจะเปลี่ยนรอยยิ้มให้เป็ความอ่อนโยน “ขอบคุณท่านแม่ชีที่ห่วงใยข้าน้อยเช่นนี้ ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจส่วนนี้ของท่านมาก แต่ว่าท่านแม่ชี ท่านกล่าวผิดไปสามเื่เ้าค่ะ เพื่อเป็การป้องกันไม่ให้ท่านอาจารย์ผิดพลาดในเื่เดิมจนต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเหล่าลูกศิษย์ของท่านอีก ข้าน้อยจะช่วยท่านแก้ไขให้ถูกต้องเองเ้าค่ะ”
สีหน้าของแม่ชีไท่ซั่นเดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็เขียวเดี๋ยวก็ดำ ราวกับเมื่อครู่นี้นางเพิ่งกินขยะเน่าในถังเข้าไปก็ไม่ปาน
“ประการแรก เมื่อครู่นี้ข้าเพิ่งพูดไปว่าจี้ทองนั้นคือของขวัญล้ำค่าที่มารดาให้ข้าตอนอายุหนึ่งเดือนเต็ม ท่านอาจารย์อยู่ในป่าเขามานานหลายปีอาจจะยังไม่รู้ ของขวัญครบหนึ่งเดือนของครอบครัวที่มีฐานะถือเป็สัญลักษณ์แทนสายใยระหว่างเด็กและมารดา ข้าน้อยรักษามันยิ่งกว่าชีวิต ไม่เคยให้มันห่างกาย หากข้าน้อยทำมันหายก็เท่ากับข้าน้อยเป็ “ลูกอกตัญญู” ซึ่งจะส่งผลกระทบให้สามีในอนาคตของข้าน้อยต้องแปดเปื้อน ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงต้องหามันให้พบ ประการที่สอง แม่ชีไม่เอ่ยวาจากลับกลอก เมื่อครู่แม่ชีทุกท่านต่างบอกเป็เสียงเดียวกันว่ารอยดำนั่นคือสิ่งที่คนวางเพลิงทิ้งเอาไว้ แต่ตอนนี้จู่ ๆ ก็กลับคำพูดต่อหน้าเหล่าขุนนาง มิใช่ว่าข้าน้อยจงใจทำให้พวกท่านลำบาก แต่ข้าน้อยเพียงเป็ห่วงคุณธรรมและชีวิตของทุกท่านจากใจจริง จึงอยากจะให้พวกท่านได้รู้ความลับบางอย่าง... บทลงโทษที่จิ่นอีเว่ยชอบใช้มากที่สุดคือการเฆี่ยนตี การเผาไฟ การใช้มีดคว้านและเฉือน เพื่อบังคับให้ผู้ร้ายสารภาพ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่เคยรับฟังคำให้การที่มีอยู่สองด้าน หากทุกท่านไม่แน่ใจว่าที่สารภาพไปนั้นถูกต้องหรือไม่ หรือจำคำสารภาพที่พูดออกไปได้ไม่เพียงพอ เช่นนั้นก็น่าเสียดายแล้ว ข้าน้อยคงจะช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ประการที่สาม แม่ชีไท่ซั่นและท่านอาจารย์ทุกท่านไม่ได้ “เข้าใจข้าผิด” เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ความจริงแล้วพวกท่านกำลังทำให้ข้า “ไม่ได้รับความเป็ธรรม” ”
แม่ชีไท่ซั่นและแม่ชีคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสี โทษที่ต้องได้รับกระนั้นหรือ? บังคับสารภาพเช่นนั้นหรือ? ทุกคนล้วนใจนขาอ่อนแรงและต้องจับกำแพงเอาไว้เพื่อไม่ให้ตนล้มไปกองกับพื้น แม้แต่ลู่เจียงเป่ยและคนอื่น ๆ ก็ยังมองเหอตังกุยด้วยสีหน้าสับสน พวกเขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคำพูดเมื่อครู่จะออกมาจากปากของเด็กที่มีอายุเพียงสิบขวบเท่านั้น
เดิมทีแม่ชีไท่ซั่นกล่าวขอโทษต่อเหอตังกุย ทว่ากลับแอบขู่นางอย่างเงียบ ๆ ... หากไม่นำเื่นี้ไปกดดัน วัดสุ่ยซังก็ต้องแพร่งพรายออกไปด้านนอกว่าเหอตังกุยไม่เพียงไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนเท่านั้น ทั้งยังละโมบในสมบัติ เห็นแก่ตัวและใจดำต่อผู้อื่น ทำให้เหอตังกุยกลายเป็คนไม่ดี ด้วยเหตุนี้ เมื่อต้วนเสี่ยวโหลวได้ฟังจึงโมโหจนเกิดจิตสังหาร อยากจะฆ่าแม่ชีไท่ซั่นให้ตายไปเสียตรงนี้ ทว่าการตอบโต้ของเหอตังกุยกลับทำให้เขาคาดไม่ถึงเป็อย่างมาก นางไม่เพียงไม่แสดงอาการตื่นตระหนกหรือตกตะลึงใด ๆ ทั้งยังเปิดโปงแม่ชีไท่ซั่นและพวกด้วยกำลังที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย เอาชนะพละกำลังที่มีมากกว่าได้อย่างง่ายดาย คำพูดคำจาของนางคมคายคล่องแคล่วกว่าต้วนเสี่ยวโหลวและพวกหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้น นางได้ยินเื่บทลงโทษการเฆี่ยนตีและเผาไฟมาจากที่ไหนกัน?
ต้วนเสี่ยวโหลวใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้วางไว้ในปากก่อนจะผิวปากออกมา ทันใดนั้นบุรุษชุดดำที่สวมชุดขุนนางกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏกาย ต้วนเสี่ยวโหลวมองผู้ที่อยู่เบื้องหน้าสุดพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ “เหลือคนเอาไว้สิบคนเพื่อเฝ้าแม่ชี หากใครกล้าหนีให้ฆ่าได้เลย ส่วนคนที่เหลือค้นอารามให้ทั่ว ต้องหาหลักฐานสำคัญในคดีวางเพลิงและจี้ทองให้เจอ”
หลังจากได้รับคำสั่ง กลุ่มคนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเหล่านี้ก็ดำเนินการตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาล้อมเป็วงกลมและคัดให้เหลืออยู่เพียงสิบคนโดยไม่มีเสียงใด ๆ คนที่ต้องไปค้นหาหลักฐานก็วิ่งออกไปก่อนจะหายไปในความมืดในเวลาเพียงไม่นาน เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก็รวมกันเป็ฝีเท้าของคนคนเดียว
เลี่ยวจือหย่วนเห็นแม่ชีหนึ่งในนั้นเหมือนอยากจะก้าวขึ้นมากล่าวคำแก้ตัว เขาจึงทำสัญลักษณ์มือเป็เชิงห้ามปราม “พอแล้ว หุบปาก หาหลักฐานให้พบก่อนค่อยพูด หากยังอยากพูดมากกว่านี้ก็สามารถพูดได้ตอนอยู่ในศาล จะพูดอย่างช้า ๆ ชัด ๆ ก็ยังได้ ฮ่า ๆ ๆ เมื่อถึงเวลานั้น กลัวว่าพวกเ้าจะพูดได้ไม่พอมากกว่า”
แม่ชีไท่ซั่นใกลัวจนตัวสั่นสะท้าน ทันใดนั้น นางก็เหลือบไปมองไหวซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ โทสะพลันไหลทะลักออกมาจากหัวใจ ก่อนจะเอ่ยปากก่นด่านาง “เป็เพราะหญิงชั่วอย่างเ้าทำให้เกิดเื่ใหญ่เช่นนี้ ดูซิว่าข้าจะเฆี่ยนเ้าจนสิ้นใจได้หรือไม่” ในขณะที่กล่าวก็ยกแส้หางม้าขึ้นมาด้วยคิดจะเข้าไปตีศีรษะของนาง
ไหวซินใยกมือกุมศีรษะพลางร้องะโ “ไว้ชีวิตข้าเถอะ ไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้ารู้แล้วว่าคนที่วางเพลิงคือไหวตง คนที่ขโมยจี้ทองไปคือไหวตง เื่ทั้งหมดไหวตงเป็คนทำ”
ไหวตง? คำพูดนี้ดึงดูดความสนใจจากทุกคน แม่ชีไท่ซั่นวางแส้หางม้าลงช้า ๆ ด้วยความสงสัย
ความจริงแล้ว ไหวซินแอบคาดคะเนอย่างเงียบ ๆ ถึงขั้นจินตนาการวางแผนเื่นี้ แต่คนทั้งหมดกำลังจับจ้องมาที่นาง นางทำได้เพียงพูดต่อไปอย่างมั่นใจ “ข้ากล้ายืนยัน เป็ไหวตงที่ขโมยจี้ทองอันนั้นไป... ตอนนั้นข้ากับนางปีนหน้าต่างขึ้นไปดูเจินจิ้งสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่คุณหนูเหอ ตอนที่ไหวตงเห็นจี้ทองอันนั้น แววตาของนางก็ลุกวาว อีกอย่างตอนที่ท่านอาจารย์ป้าถามนางเมื่อครู่ นางกลับบอกว่าตัวเองจำไม่ค่อยได้ จะต้องเป็นางที่ทำเื่ทั้งหมดนี้แน่”
สิ้นเสียงไหวซิน คนทั้งหมดก็หันไปมองแม่ชีที่มีนามว่าไหวตงผู้นั้น
ไหวตงที่มีท่าทางปกปิดความลับอย่างมิดชิดเมื่อสักครู่วิ่งมาตบปากไหวซินอย่างแรง ก่อนจะก่นด่านางว่า “สตรีชั่วไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตัวเองถูกจับเพราะเป็คนวางเพลิง กลับเที่ยวกัดคนอื่นให้รับโทษแทนตัวเองไปทั่ว ช่างชั่วช้ายิ่งนัก เ้าอยากให้ข้าเปิดเผยเื่อัปยศที่เ้าทำให้คนอื่นได้รับรู้หรือไม่?”
ไหวซินใช้เล็บยาวข่วนไปที่ใบหน้าของไหวตง ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ “ดี เ้าก็ไม่กลัวว่าเื่อัปยศของเ้าจะถูกเปิดเผยเช่นกันใช่หรือไม่? เื่ที่เ้าทำมันน้อยกว่าข้าเสียที่ไหน? อยากให้ข้าพูดต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่เล่า?”
ทันใดนั้นพวกนางทั้งสองก็ตบตีกันโดยไม่มีฝ่ายใดยอมอ่อนข้อ แม่ชีที่ล้อมรอบอยู่นั้นต่างก็มองพวกนางด้วยสายตาเหยียดหยาม ไม่มีใครเข้าไปห้ามปรามเลยสักคน เมื่อผ่านไปได้ไม่นานพวกนางต่างก็จิกหน้ากันและกันจนเป็แผล ไหวตงถูกกระชากผมแล้วร้องะโออกมาด้วยความเ็ป ส่วนไหวซินก็ถูกตบจนหน้าบวมเป่ง
ไหวตงกอดขาแม่ชีไท่ซั่นพลางก่นด่าไหวซินเสียงดัง “ท่านอาจารย์ป้าเ้าคะ ได้โปรดให้ความยุติธรรมแก่ศิษย์ด้วย ไหวซินผู้นี้กลายเป็หมาบ้าไปแล้วเ้าค่ะ นางใส่ร้ายศิษย์ หากทุกคนไม่เชื่อล่ะก็ ศิษย์ยอมให้ทหารค้นที่ที่ศิษย์อยู่จนทั่วเลยก็ได้ เพื่อพิสูจน์ว่าข้าบริสุทธิ์เ้าค่ะ”
แม่ชีไท่ซั่นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปมองเลี่ยวจือหย่วนพลางเอ่ยขอร้อง “ใต้เท้าได้โปรดฟังข้า ศิษย์ผู้นี้ของข้าในยามปกติเป็คนดีรู้ความ นางไม่เคยหยิบฉวยเอาเงินทองไป เื่ลักเล็กขโมยน้อยนั้นย่อมไม่มีทางเป็ไปได้ ลองไปค้นที่ที่นางอยู่ตามที่นางบอกดูเ้าค่ะ หากไม่มีก็แสดงว่าไหวซินใส่ร้ายนาง เื่เลวร้ายทั้งหมดล้วนเป็ฝีมือของไหวซิน ขอเพียงใต้เท้าอย่าได้ค้นอารามต่อไปอีก เพื่อไม่ให้เป็การรบกวนเทวดาในห้องโถงเ้าค่ะ”
เลี่ยวจือหย่วนขมวดคิ้ว “เช่นนั้นจี้ทองคำของคุณหนูเหอที่หายไปจะทำเช่นไร? เมื่อไม่กี่วันก่อนนางก็เป็คนช่วยเหลือพวกเ้าทุกคนในวัด แต่นี่คือสิ่งที่พวกเ้าตอบแทนผู้มีพระคุณอย่างนั้นหรือ?”
แม่ชีไท่ซั่นกัดฟันกรอด ๆ แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างอาจหาญ “ในวันพรุ่งนี้ข้าจะถามลูกศิษย์ของข้าทุกคน จะช่วยคุณหนูเหอหาของที่หายไปกลับมาให้ได้ หากหาไม่เจอจริง ๆ ข้าจะนำเงินยี่สิบตำลึงของตัวเองที่เก็บสะสมไว้ออกมาเพื่อชดใช้ หากยังไม่พอ ข้าจะให้แม่ชีในวัดทุกคนออกเงินคนละสองสามเหรียญ แล้วข้าจะเข้าไปในเมืองตู้เอ๋อร์เพื่อสั่งซื้อจี้ทองคำที่เหมือนกับจี้ทองคำของคุณหนูเหอมาคืนให้เ้าค่ะ”
เลี่ยวจือหย่วนหันไปมองเหอตังกุยพลางเอ่ย “คุณหนูเหอ เ้ามีความคิดเห็นเช่นไร?”