เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ เหล่าแม่ชีที่รวมตัวกันต่างพากันซุบซิบเสียงดังเซ็งแซ่ พลางเหลือบมองบุรุษรูปงามทั้งสี่ที่อยู่อีกด้านเป็ครั้งคราว
หลายคนแอบดีใจไม่น้อยที่แม่นางน้อยแซ่เหอต้องเผชิญกับโชคร้ายเช่นนี้ เด็กสาวปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับความรักจากขุนนาง ทั้งยังได้รับการปกป้องเช่นนี้อีก? เฮอะ อยากมาแย่งบุรุษกับพวกนางดีนัก จะว่าไปแล้วแม่นางน้อยผู้นั้นก็เป็เพียงเด็กอายุสิบขวบ มีสิ่งใดอยู่เหนือพวกนางบ้าง? หากพูดถึงความขัดแย้งของพวกนางกับไหวซินก็เป็เพียงความขัดแย้งภายในเท่านั้น ไหวซินในตอนนี้ไม่มีที่พึ่งอย่างแม่ชีไท่เฉินอีกแล้ว เหล่าแม่ชีที่เหลือจึงคิดจะกำจัดนางเมื่อสบโอกาส แต่แม่นางแซ่เหอที่เป็ “บุตรีตระกูลร่ำรวย” นั้น แม้ในเวลาปกติจะไม่สามารถแตะต้องนางได้ ทว่าในครั้งนี้ก็หาโอกาสได้เสียที
ต้วนเสี่ยวโหลว เลี่ยวจือหย่วน ลู่เจียงเป่ยและเกาเจวี๋ยกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ใต้ต้นหลิวปลายถนน
ดวงตาคู่นั้นของเลี่ยวจือหย่วนกลอกไปมา เขายื่นมือสะกิดเกาเจวี๋ยพลางเอ่ยถาม “นี่ ใต้เท้าหน้าดำ ฤทธิ์ยาปลุกกำหนัดในตัวท่านอ่อนลงหรือยัง? รสชาติมันเป็เช่นไรหรือ? ขาของท่านยังอ่อนแรงอยู่หรือไม่?”
เกาเจวี๋ยเบิกตาโพลงทันควัน ก่อนจะเค้นคำพูดออกจากร่องฟัน “ไสหัวไป”
เลี่ยวจือหย่วนลูบจมูกอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันหลังให้เกาเจวี๋ยพลางบ่นเบา ๆ “ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย พูดเล่นนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ได้หรือไร”
ลู่เจียงเป่ยยิ้มบางพลางเอ่ย “ปริมาณยาที่เกาเจวี๋ยกินนั้นมากเกินไป โชคดีที่ครั้งนี้ได้วิชาแพทย์อันล้ำเลิศของคุณหนูเหอช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นคงทำได้เพียงไปแก้ปัญหาที่หอนางโลมเท่านั้น หากกลับเมืองหลวงไปแล้วถูกพี่สะใภ้รู้เข้า เกรงว่าคงจะวุ่นวายจนต้องออกบวชอย่างแน่นอน”
เลี่ยวจือหย่วนตบบ่าลู่เจียงเป่ยเบา ๆ พลางเอ่ยถาม “ฮ่า ขอถามอะไรหน่อยสิพี่ลู่ หากไม่ใช่เพราะยาของนาง เ้าคิดจะแก้ไขอย่างไร?”
ลู่เจียงเป่ยให้รางวัลเข้าที่ท้องของเลี่ยวจือหย่วนด้วยหมัด พลางก่นด่าด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเ้าไม่ไปตายเสีย หากไม่ใช่เพราะแมวป่าอย่างเ้าเอาแต่ก่อเื่ คงไม่มีทางเกิดเื่ขบขันเช่นนี้ ลำบากพวกข้าสองคนต้องแช่อยู่ในอ่างยาทั้งวัน ลมปราณของข้าแตกซ่านไปถึงสามส่วน ใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะฟื้นฟูกลับมาได้ ข้าจะคิดบัญชีเ้าหลายเท่าเลยคอยดู”
ต้วนเสี่ยวโหลวกลอกตาใส่ลู่เจียงเป่ยพลางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้ผู้มีพระคุณของเ้ากำลังลำบาก เ้ายังมีเวลาว่างมาล้อเล่นอีกหรือ”
ลู่เจียงเป่ยและเลี่ยวจือหย่วนหัวเราะเยาะเขา “เฮอะ เ้าแสดงละครมากเกินไป คราวนี้คนที่จะ ‘ลำบาก’ คงไม่ใช่นาง แต่เป็...”
“ท่านอาจารย์ คุณหนูเหอมาแล้วเ้าค่ะ” เจินิวิ่งกระหืดกระหอบมาแต่ไกล นางชี้นิ้วไปด้านหลังพลางะโ “แต่ว่าจี้ทองไม่อยู่แล้วเ้าค่ะ ท่านไม่รู้อะไร เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าไปห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออก...”
ทุกคนล้วนหันกลับไปมองเหอตังกุยอย่างพร้อมเพรียง สตรีผมดำขลับจอนจักจั่นกำลังเยื้องย่างมาทางเหล่าแม่ชีช้า ๆ ด้วยท่วงท่าสง่างามอ่อนช้อย
เมื่อนางค่อย ๆ เดินเข้ามาใกล้ แม่ชีไท่ซั่นจึงแสร้งยิ้มแย้มพลางถาม “คุณหนูเหอ ข้าได้ยินเจินิบอกว่าเ้าไม่ได้พกจี้ทองมาด้วยอย่างนั้นหรือ? จี้ทองอันนั้นเกี่ยวพันกับคดีใหญ่ในเวลานี้ เหตุใดคุณหนูเหอถึงไม่ยอมนำมันออกมาให้พวกเราดูสักหน่อยเล่า? หรือว่ามีอะไรที่พวกเราไม่ควรรู้หรือ?” แม่ชีไท่ซั่นเอ่ยถามนางด้วยวาจายกตนข่มท่าน ทั้งยังวางท่าแสดงอำนาจเพื่อกดดันและพยายามผลักความผิดนี้ให้แก่นางอีกครั้ง
สีหน้าของเหอตังกุยซีดเผือดไร้เืฝาด แววตาสับสนระคนใ หางตายังคลอไปด้วยหยาดน้ำตา หลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง นางจึงขมวดคิ้วงามพลางตอบเบา ๆ “เื่ไฟไหม้ในอาราม ข้าเองก็ได้ยินแล้วและเห็นใจพวกท่านยิ่งนัก ทว่าั้แ่ที่ข้าเข้ามาอาศัยอยู่ในวัด ข้าไม่เคยเข้าไปในห้องครัวนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลายบนจี้ทองของข้ามาประทับอยู่ในที่แห่งนี้ได้อย่างไร”
แม่ชีไท่ซั่นยิ้มอย่างเ็า “เช่นนั้นก็น่าแปลกจริง ๆ หรือว่าจี้ทองของเ้ามีขาวิ่งถ่อมาถึงที่นี่ได้? ทั้งยังใช้ขี้เถ้ามาวาดบนผนังด้วยตัวเองอีกอย่างนั้นหรือ?”
เหอตังกุยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็ก้มหน้าลงพลางถอนหายใจ “สำหรับเื่นี้ เดิมทีตัวข้าน้อยอยากจะไปขอให้ท่านแม่ชีช่วยในวันพรุ่ง แต่ตอนนี้ในวัดกลับเกิดไฟไหม้ขึ้นเสียก่อน ความเสียหายนั้นหนักหนากว่านัก เหตุนี้ข้าน้อยจึงไม่กล้านำเื่เล็กน้อยของข้าไปรบกวนท่านแม่ชี บางทีมันอาจจะเป็โชคชะตาที่ข้าน้อยต้องยอมรับ” ทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของนางล้วนสับสนอย่างมาก เหอตังกุยมองไปรอบด้านก่อนจะเจอเข้ากับรอยดำบนกำแพงอย่างรวดเร็ว นางเอ่ยอย่างใ “นั่นเหมือนลวดลายบนจี้ทองของข้าจริง ๆ เ้าค่ะ แต่ว่า... ท่านอาจารย์แน่ใจหรือว่ามันถูกวาดขึ้นมาในคืนนี้? เหตุใดท่านอาจารย์ถึงได้มั่นใจนักเล่าว่านี่คือสิ่งที่ผู้ร้ายวางเพลิงทิ้งเอาไว้?”
“ลายนี้ถูกวาดขึ้นมาใหม่ในคืนนี้” ไหวซินร้องไห้พลางะโเสียงดังสนั่นไปทั่วตรอกซอย “ข้าจำได้ชัดเจน ตอนที่ข้าเดินกลับมาจากครัว บนกำแพงนี้ยังสะอาดอยู่เลย”
“ใช่” แม่ชีน้อยผู้หนึ่งอายุราว ๆ สิบห้าสิบหกปีเอ่ยยืนยัน “เย็นวันนี้ข้าบังเอิญเดินผ่านมาทางนี้ ตอนนั้นข้ายังไม่เห็นรอยดำบนกำแพงเลย”
แม่ชีรูปร่างสูงผอมผู้หนึ่งก้าวออกมาพลางเอ่ยว่า “ข้าก็เช่นกัน ทุกคนรู้ดีว่าความจำของข้าดีที่สุดในวัดแห่งนี้ บทสวดข้าเองก็ท่องจนจำได้แม่นยำ ข้าพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่ารอยดำนี้ปรากฏขึ้นในคืนนี้แน่นอน ดังนั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าคนที่วางเพลิงทิ้งเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ดูเหมือนจะใช้ผงถ่านวาดขึ้น หรือตอนที่คนร้ายขนย้ายถ่านจะบังเอิญไปชนกับกำแพงอย่างนั้นหรือ?”
“อ๊ะ พอเ้าพูดถึง ข้าก็นึกขึ้นได้ เมื่อสองวันก่อนด้านนอกลานของห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออกมีถ่านกองเอาไว้ไม่ใช่หรือ? ถ่านเ่าั้พอให้จุดไฟได้หลายครั้ง ไม่แน่ครั้งหน้าเรือนพักของเราอาจเกิดเพลิงไหม้ก็เป็ได้”
“นี่ ๆ เ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ทำให้ข้าใกลัวไปหมดแล้ว พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรต่อนาง เหตุใดนางต้องมาเผาวัดของพวกเราด้วย?”
“เ้าไปถามนางเองสิ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร? นางเป็คุณหนูผู้สูงศักดิ์ เสื้อผ้าอาหารนางก็มีไม่ขาด นางอาจจะรังเกียจอาหารในวัดของพวกเราก็เป็ได้ จึงถือโอกาสมาเผาห้องครัวอย่างไรเล่า”
“.....”
เมื่อก่อนพวกเขาเคยได้ยินว่าจวนที่มีสตรีรวมตัวกันอยู่จะเป็สนามรบที่ไม่มีควัน ตอนนั้นพวกเขายังรู้สึกว่าคำพูดนี้ดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย สตรีบอบบางเ่าั้เพียงทะเลาะและอิจฉากันเท่านั้น พวกนางจะสามารถทำให้เกิดคลื่นปัญหาได้ใหญ่ขนาดไหนกันเชียว?
ทว่าสิ่งที่ได้เห็นและได้ยินในคืนนี้ กลับทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาต่อโลกใบนี้จริง ๆ แม้แต่สตรีที่ออกบวชก็ยังไม่เว้น แม่ชีเจ็ดสิบกว่าคนต่างคุยกันเสียงดังเซ็งแซ่ ยิ่งกว่าฝูงเป็ดเป็หมื่นตัวเสียอีก เ้าพูดข้าพูด ทุกประโยคล้วนเป็ดั่งเข็มที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้า ต่างก็กล่าวหาพ่นวาจาทิ่มแทง พุ่งเป้าไปที่เหอตังกุยช้า ๆ ทุกคนล้วนกล่าวตัดสินว่านางเป็ “ผู้ร้ายวางเพลิง” โดยที่นางแทบไม่มีโอกาสได้อธิบายแม้แต่คำเดียว
หากพวกเขาไม่ได้เป็คนก่อไฟด้วยตัวเอง ก็อาจจะเชื่อคำพูดของพวกนางอยู่หลายส่วน คำว่า “ผู้วางเพลิง” จากที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าก็ขยับใกล้เข้ามาเพียงเอื้อมมือ ไม่ใช่เหอตังกุยแต่อย่างใด แต่เป็ต้วนเสี่ยวโหลว เลี่ยวจือหย่วน ลู่เจียงเป่ยและเกาเจวี๋ยสี่คนนี้ต่างหาก
ทันใดนั้น เกาเจวี๋ยก็ชักมีดออกมา ง้างมือขึ้นแล้วฟันไปที่แท่นเตาไหม้เกรียมจนแตกออกเป็เสี่ยง ทุกคำพูดที่กล่าวเป็ดั่งประตูนรกภูมิที่กำลังเปิดออกก็ไม่ปาน
“พวกเ้านี่ช่างเสียงดังกันจริง ๆ หุบปากให้หมด”
อย่างมากที่สุด แม่ชีเหล่านี้ก็เคยเห็นเพียงการแสดง “ก้อนหินที่แตกเป็เสี่ยงบนหน้าอก” ของนักแสดงกายกรรมเร่ร่อนที่แสร้งทำขึ้นมาเท่านั้น ไม่ว่าใครก็ใที่ได้เห็นฉากนี้ ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างใกลัวจนเผลอหมอบลงโดยสัญชาตญาณ แม้แต่แม่ชีไท่ซั่นก็ไม่เว้น
ท่ามกลางความเงียบสงัด เหอตังกุยพลันเอ่ยขึ้นอย่างขลาดกลัว “แม่ชีไท่ซั่น แม่ชีทุกท่าน วันนี้เกิดเหตุไฟไหม้อารามขึ้น ข้าน้อยเข้าใจจิตใจของพวกท่านดี แต่จี้ทองของข้าน้อยได้หายไปเมื่อเช้านี้ ดังนั้นคนที่วางเพลิงย่อมไม่ใช่ข้าน้อยแน่นอน ข้าน้อยหวังว่าแม่ชีทุกท่านจะพิจารณาให้ถี่ถ้วนอีกครั้งนะเ้าคะ”
แม่ชีไท่ซั่นที่หมอบอยู่ แม้จะทำให้นางดูตัวเตี้ยลงไปเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเหิมเกริมแสดงอำนาจ “นี่ก็ยิ่งแปลกเข้าไปอีก พวกข้าเพิ่งเจอว่าของของเ้าเหมือนกับของคนที่วางเพลิงทิ้งเอาไว้ แต่เ้ากลับบอกว่ามันหายไปแล้ว ในโลกนี้มีเื่บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?” เฮอะ ๆ ไม่ว่าแม่นางน้อยผู้นั้นจะอธิบายอย่างไร ทุกคนต่างก็คิดว่านางเป็คนทำ นางคือคนที่์ส่งมาเพื่อเป็แพะรับบาปกับเื่นี้โดยแท้
“ท่านแม่ชี ท่านกล่าวผิดแล้ว” เหอตังกุยเอ่ยเสียงแ่เบาและนุ่มนวลราวกับขนสัตว์ที่ััหัวใจของผู้คน “ไฟไหม้อารามเกิดขึ้นในคืนวันนี้ แต่จี้ทองของข้าน้อยหายไปเมื่อเช้า เพราะนี่คือจี้ทองของรักของข้าน้อย หลังจากที่มันหายไป ข้าน้อยกระวนกระวายใจยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงนำเื่นี้ไปแจ้งทางการแล้ว ทหารขั้นสามของเมืองตู้เอ๋อร์ผลัดเปลี่ยนมาสืบหาในอารามอย่างเงียบ ๆ ดังนั้นเื่ที่จี้ทองหายไป ข้าน้อยจึงไม่สามารถพูดอะไรส่งเดชได้เ้าค่ะ”
เจินิเอ่ยยืนยันเสียงเบา “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่นี้ข้าบอกไปแล้ว แต่... พวกท่านไม่ได้ยิน ตอนที่ข้าไปห้องปีกซ้ายฝั่งตะวันออกก็เห็นห้องของคุณหนูเหอถูกค้นจนกระจัดกระจาย ดูเหมือนว่าจะมีขโมยขึ้นห้องเ้าค่ะ”
ใบหน้าของแม่ชีไท่ซั่นเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีด ส่วนแม่ชีคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าผิดหวัง เพราะดูเหมือนจะไม่สามารถทำให้เหอตังกุยรับโทษผู้ร้ายวางเพลิงได้
เหอตังกุยเอ่ยอย่างเนิบนาบ “ทุกท่านโปรดฟัง ประการแรก ห้องของข้าน้อยมีเตาไฟใช้ต้มน้ำต้มแกงก็พอแล้วเ้าค่ะ คงไม่วิ่งมาที่นี่แน่ ประการที่สอง ข้าเรียกคนเป็โหลมาช่วยตามหาของที่หายไป จะเป็ไปได้เยี่ยงไรที่ข้าจงใจวางเพลิงภายใต้สายตาที่จับจ้องของพวกเขา? ด้วยเหตุนี้... แม้จะมีคนไม่พอใจไหวซิน สร้างสถานการณ์วางเพลิงทำร้ายเหล่าใต้เท้าจิ่นอีเว่ย ช่วยเหลือนักโทษไท่เฉิน แต่คนผู้นั้นย่อมไม่ใช่ข้า อ้อ ข้าได้ยินมาว่าแม่ชีไท่เฉินอยู่ในวัดนี้ใกล้จะเข้าปีที่สามสิบแล้ว มีคนรู้จัก มีคนเคารพนับถือและเป็ที่รักของคนมากมาย แต่ข้าน้อยเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเจ็ดวัน ได้พบหน้าแม่ชีไท่เฉินเพียงหนึ่งครั้ง ได้พูดคุยกับนางเพียงสองสามประโยค จะไปมีความผูกพันลึกซึ้งเช่นแม่ชีทุกท่านได้อย่างไร?”
แม่ชีไท่ซั่นได้ยินดังนั้นเหงื่อก็ยิ่งผุดขึ้นมาบนหัว ‘แย่แล้ว ๆ เหตุใดตนถึงลืมข้อนี้ไปเสียสนิท จะแสร้งเสียใจภายหลังก็คงไม่ทันแล้ว หากยอมให้ไหวซินรับโทษ “จุดไฟเผาโดยประมาท” ั้แ่แรกก็คงไม่กลายเป็เื่ใหญ่เช่นนี้ แม้จิ่นอีเว่ยจะไม่ปล่อยเื่นี้ไป แต่โทษที่ได้รับก็ไม่น่าจะหนักถึงเพียงนั้น อย่างน้อยก็อาจต้องปิดวัด หยุดให้นักแสวงบุญมาจุดธูปเท่านั้น ตอนแรกแม่ชีไท่ซั่นอยากฉวยโอกาสนี้ฆ่าไหวซิน จึงเพิ่มข้อหา “ช่วยเหลือแม่ชีไท่เฉิน” ให้นางไปด้วย ต่อมานางกลับหาแพะรับบาปที่ดียิ่งกว่าอย่างเหอตังกุย และกล่าวหาให้นางรับโทษ “วางเพลิงทำร้ายขุนนาง” ไป
ตอนนี้ เหอตังกุยล้างข้อสงสัยทั้งหมดของนางไปได้โดยง่าย แต่กลับนำข้อหา “วางเพลิงทำร้ายขุนนาง” และ “ช่วยเหลือไท่เฉิน” มาวางรวมอยู่ด้วยกันแล้วโยนให้พวกนาง แม่ชีไท่ซั่นคิดไม่ถึงเลยว่าภายนอกของเด็กสาวที่อ่อนโยนเช่นนั้น นางไม่เพียงเฉลียวฉลาดทว่ายังปากร้ายอีกด้วย คราวนี้ตนกลับยกก้อนหินขึ้นมาทับเท้าตัวเองเสียได้’
แม่ชีไท่ซั่นมองเหอตังกุยด้วยสายตาโกรธแค้น ทว่านางกลับเห็นเหอตังกุยจ้องเขม็งมาที่นางเช่นกัน สายตานั้นเย็นเยียบไปถึงขั้วหัวใจ ราวกับออกมาจากบ่อน้ำโบราณในฤดูหนาวก็ไม่ปาน ทำให้ผู้คนััได้ถึงกลิ่นอายของความหวาดกลัวที่เย็นะเื ร่างกายของแม่ชีไท่ซั่นสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ นางก้มหน้าลงทันที ในใจมีความสงสัยเกิดขึ้น นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนถึงหวาดกลัวสายตาของเด็กสาวที่มีอายุเพียงสิบขวบ แม้อยากจะเงยหน้าขึ้นมองอีกรอบเพื่อความมั่นใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจของนางถึงได้พร่ำบอกตัวเองว่า ‘อย่าเงยหน้า อย่าเงยหน้า’
ต้วนเสี่ยวโหลวขมวดคิ้วมองเหอตังกุยพลางเอ่ยอย่างแปลกใจ “อากาศหนาวเพียงนี้ เหตุใดเ้าไม่สวมเสื้อคลุมมาอีกตัว หากไม่สบายเพราะตากลมจะทำเช่นไร?” เหอตังกุยหรี่ตาลงพลางยิ้มบาง เลี่ยวจือหย่วนเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์บนท้องฟ้าพลางกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
ลู่เจียงเป่ยมองไปยังแม่ชีที่นั่งอยู่บนพื้นกลุ่มหนึ่ง ก่อนจะก้าวเข้าไปแล้วเอ่ยอย่างเ็า “วัดคือสถานที่บ่มเพาะ แต่กลับมีการลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้น ต่อไปผู้แสวงบุญจะวางใจที่นี่ได้อย่างไร? เื่นี้ต้องสืบให้ถึงที่สุดจนกว่าเื่ราวจะกระจ่างและสามารถนำของที่หายไปของแม่นางผู้นี้กลับมาได้” แม่ชีไท่ซั่นโขกหัวลงกับพื้นอีกสองครั้ง
เกาเจวี๋ยหาวไปทีหนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าง่วงแล้ว พวกเ้าไปหากันเองแล้วกัน หากจับขโมยได้แล้ว พรุ่งนี้ก่อนปะาชีวิตค่อยมาเรียกข้า” เมื่อกล่าวจบ เงาสีดำรูปร่างสูงก็หายไปทันที แม่ชีไท่ซั่นและคนอื่น ๆ ต่างเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ เห็นเพียงอิฐของหลังคาเรือนสองสามเรือนที่ถูกไฟไหม้ร่วงลงมาแตกกระจายเป็เสี่ยง ๆ คนผู้นั้นที่ยืนอยู่หายไปไม่เห็นแม้แต่เงา แม่ชีไท่ซั่นและพวกต่างรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เขาเป็คนหรือผีกันแน่? วิชาตัวเบาของเขาช่างแปลกประหลาดนัก แม้แต่เหอตังกุยยังรู้สึกตะลึง เห็นชัด ๆ ว่าวิชาตัวเบานี่เป็...
เหอตังกุยสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ทำให้ต้วนเสี่ยวโหลวร้อนใจจนอยากจะรีบนำเสื้อมาคลุมให้แก่นาง แต่เพื่อการปฏิบัติการในวันนี้ ชุดที่ทั้งสี่คนสวมใส่จึงเป็เสื้อผ้ารัดตัวเพื่อความสะดวก แม้เขาจะยอมถอด แต่ก็ไม่สามารถถอดออกต่อหน้าแม่ชีมากมายขนาดนี้ได้กระมัง? ต้วนเสี่ยวโหลวลูบหน้าผาก เขาทิ้งประโยค “ข้าจะรีบกลับมา” เอาไว้ ก่อนจะทะยานตัวขึ้นเหยียบยอดศีรษะของเลี่ยวจือหย่วนไปอย่างรวดเร็ว
เลี่ยวจือหย่วนตวาดกร้าวด้วยความโกรธ เหอตังกุยมองไปที่เลี่ยวจือหย่วนก่อนลองถามหยั่งเชิง “เย็นวันนั้นที่คุณชายต้วนและคุณชายเกาประลองวรยุทธ์ ข้าเห็นว่าวรยุทธ์ของทั้งสองเทียบเท่ากัน เสมือนถูกอบรมสั่งสอนมาจากท่านอาจารย์คนเดียวกัน เหตุใด... วิชาตัวเบาของพวกเขาจึงแตกต่างกันมากถึงเพียงนี้?”
เลี่ยวจือหย่วนเอื้อมมือจับคางโดยไม่ใส่ใจนักพลางอธิบายให้นางฟัง “เกาเจวี๋ยเคยอยู่ตงอิ๋ง[1]มาสามปี หลังจากกลับมา วิชาตัวเบาของเขาก็ก้าวหน้ามากขึ้น เรียกว่าแทบจะเป็อันดับหนึ่งในหมู่พวกเราแปดคน เพียงเพราะวิชาตัวเบาของเขาเท่านั้น...”
ทันใดนั้นลู่เจียงเป่ยก็ผลักเลี่ยวจือหย่วนพลางยื่นศีรษะเข้าไปใกล้เหอตังกุย ก่อนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ เ้าเป็เพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่ง จะฟังเื่ต่อสู้ฆ่าฟันไปเพื่ออะไรกัน?”
เหอตังกุยกะพริบตาปริบ ๆ พลางถอนหายใจก่อนเอ่ย “ข้าน้อยเห็นว่าท่านทั้งสี่ไปไหนมาไหนก็อยู่แต่บนที่สูง ในใจของข้าน้อยย่อมเกิดความรู้สึกอิจฉาเป็ธรรมดา ข้าน้อยมักจะพูดกับตัวเอง หากได้กราบไหว้อาจารย์ยอดฝีมือสักคนเพื่อเรียนวรยุทธ์ และในอนาคตหากข้าน้อยมีวรยุทธ์ติดตัวก็ถือว่าเป็เื่ดี อย่างน้อยของขวัญที่มารดาให้ข้าน้อยตอนหนึ่งเดือนก็จะไม่หายไปเช่นนี้”
แม่ชีไท่ซั่นอธิบายทันที “คุณหนูเหอ แม้ของของเ้าจะหายไปในอารามของพวกเรา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราในที่แห่งนี้จะเป็คนขโมย ใต้เท้าทั้งสอง พวกท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าวัดสุ่ยซังของพวกเราเป็สถานที่ที่มีผู้มาสักการะกราบไหว้ มีผู้แสวงบุญมากมายที่เข้าออกวัดแห่งนี้ อีกอย่างประตูใหญ่ของวัดก็เปิดั้แ่เช้าจรดเย็น คนที่มาส่งข้าว ส่งฟืน ส่งถ่านเดินผ่านไม่รู้ตั้งกี่แห่ง เดินไปห้องไหนเรือนไหนบ้างก็ไม่อาจรู้ได้ พวกข้าอยากจะดูแลก็ดูแลไม่ทั่วถึง คุณหนูเหอไม่ระวังเองเลยทำของหายไป ตอนนี้จะให้พวกข้าไปตามหาจากไหนมาให้นางเล่า?”
เหอตังกุยหัวเราะเ็า ในขณะกำลังจะเอ่ยปากกล่าวบางสิ่ง ต้วนเสี่ยวโหลวก็ลอยลงจากหลังคามายืนอยู่เบื้องหน้าของนาง
……………………………………………………………….
[1] ตงหยิงอิ๋ง หมายถึงประเทศญี่ปุ่น