เฉินชิ่งไม่ดื่มเหล้าดังนั้นจึงจัดให้เขานั่งโต๊ะเดียวกับอาสะใภ้และพี่สะใภ้
เซี่ยเสี่ยวหลานลุกขึ้นยืนแล้วเฉินชิ่งยังคงมองด้วยความเคลิบเคลิ้ม อาเฉินสี่ผู้มักพบปะกับเซี่ยเสี่ยวหลานบ่อยๆ หัวเราะยั่วเย้าเขา “อะไรกันอยากแต่งภรรยาแล้วหรือ?”
“อาสี่ไม่มีอะไรเสียหน่อย!”
โชคดีที่หลิวเฟินและเซี่ยเสี่ยวหลานไม่อยู่เฉินชิ่งตาลีตาเหลือกแก้ตัว
อาเฉินสี่หัวเราะเ้าเล่ห์ “ตอนอาสี่ของเธออายุเท่านี้พวกเรามีลูกด้วยกันแล้ว! อยากแต่งภรรยาก็ไม่เสียหายหรอก!”
เฉินชิ่งยิ่งหน้าแดงจัดเข้าไปใหญ่รู้ดีว่าเหล่าอาน้าในหมู่บ้านชื่นชอบการหยอกเย้าชายหนุ่มวัยรุ่น ที่จริงแล้วไม่มีเจตนาร้ายอื่นใดเฉินชิ่งค่อยๆ สงบเสงี่ยมลง “ผมยังต้องเรียนหนังสือนะสอบมหาวิทยาลัยไม่ได้ก็ไม่หาคู่หมายแน่”
สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เื่ง่าย
เกาเข่าของปี 83 เพิ่งฟื้นฟูใช้ได้ไม่นานใน่เวลาที่หยุดสอบเกาเข่าชั่วคราวนั้น นักเรียนไม่มีจิตใจเรียนอาจารย์ไม่มีจิตใจสอน คุณภาพการศึกษาโดยรวมของทั้งประเทศถดถอยลงหลังฟื้นฟูการสอบเกาเข่าเมื่อไม่กี่ปีก่อนมาตรฐานคุณสมบัติของอาจารย์ที่อ่อนด้อยไม่สามารถเติมเต็มให้สมบูรณ์ได้ในทันทีเช่นสถานที่แบบเขตอันชิ่งนี้ ทุกปีมีคนสอบเข้าเรียนปริญญาตรีได้น้อยเหลือเกิน
เฉินชิ่งเองก็คือนักเรียนซ้ำชั้น
เขายังต้องต่อสู่กับนักเรียนที่จบการศึกษาปีนี้และนักเรียนซ้ำชั้นกลุ่มเดิมที่เรียนซ้ำได้สองปีขึ้นไปเ่าั้
ปีนี้ทั้งประเทศมีคนร่วมเข้าสอบเกาเข่าทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนเจ็ดหมื่นคนสายวิชาชีพและระดับปริญญาตรีรับทั้งหมดสามแสนเก้าหมื่นคนฟังดูแล้วเหมือนอัตรารับเข้าค่อนข้างสูง หรือก็คือรับในร้อยละ 23 แสดงว่าผู้เข้าสอบทุกๆ100 คนจะมี 23 คนที่สอบติดมหาวิทยาลัยเฉินชิ่งยังสอบไม่ติด แสดงว่าผลคะแนนคงจะแย่มาก
แท้จริงแล้วอัตราเข้ารับนี้มีวิธีการอยู่หลังจากดำเนินการระบบคัดเลือกรอบแรกของเกาเข่าในปี 1980 ผู้เข้าสอบที่ไม่ผ่าน ‘การสอบคัดเลือกรอบแรก’ ก่อนสอบเกาเข่าไม่ต้องสนว่าเป็นักเรียนเพิ่งจบการศึกษาหรือนักเรียนซ้ำชั้น แม้แต่คุณสมบัติในการสมัครสอบเกาเข่าอย่างเป็ทางการก็ยังไม่มี! การสอบคัดเลือกรอบแรกได้กำจัดผู้เข้าสอบออกไปมากกว่าร้อยละ 60 แล้วจึงได้มีอัตราการรับเข้าเรียนถึงร้อยละ 23 เช่นนี้
เขตอันชิ่งเป็ตัวเมืองเล็กๆในมณฑลอวี้หนาน อวี้หนานคือสนามสอบใหญ่ ผู้เข้าสอบจำนวนมาก อัตรารับเข้าเรียนต่ำการแข่งขันโหดร้ายอย่างถึงที่สุด
ในสถานการณ์เช่นนี้นักเรียนจากชนบทที่สามารถสอบติดมหาวิทยาลัยได้มิใช่ขนหงส์ฟ้ากับเขากิเลน [1] หรือ? ดังนั้นเซี่ยจื่ออวี้ถึงได้เลอเลิศมากและด้วยเหตุนี้หลังจากเฉินชิ่งสอบไม่ติดจึงเรียนซ้ำอีกรอบโดยไม่ปริปากบ่นใดๆไม่เรียนมหาวิทยาลัยต่อก็กลับบ้านไปเป็เกษตรกรเวลานี้มีเพียงสองทางเลือกเหลือให้เฉินชิ่งเดี๋ยวนี้ขนาดนักเรียนสารพัดช่างยังได้รับการจัดสรรอาชีพวิทยาลัยวิชาชีพและปริญญาตรียิ่งไม่ต้องกล่าวถึงมีเพียงนักเรียนมัธยมปลายหนึ่งเดียวที่ถูกบีบอยู่ตรงกลางเดินหน้ารึถอยหลังก็ไม่ได้ราวกับถูกแม่เลี้ยงเลี้ยง [2]มา
ถ้าทะเบียนบ้านอยู่ในเมืองต่อให้สอบไม่ติดมหาวิทยาลัยยังสมัครเข้าโรงงานได้ เฉินชิ่งไร้ซึ่งทางเลือกอื่น
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเื่สอบอาเฉินสี่ก็ไม่กล้าล้อเล่นแล้ว
เฉินชิ่งเป็ต้นกล้าใฝ่เรียนรู้ของครอบครัวลุงต๋าหากเธอพูดเหลวไหลทำลายความตั้งใจในการเรียนหนังสือของเขาเข้าอย่าว่าแต่เฉินวั่งต๋าจะโต้ตอบอย่างไรเลย สามีของอาเฉินสี่ต้องไม่ปล่อยเธอไปแน่
นึกถึงการสอบเกาเข่าแล้วใจปรารถนาในความรู้สึกต่อหญิงสาวของเฉินชิ่งจึงเบาบางลง
เขารับประทานอาหารเสร็จก็ปล่อยจานชามไว้ตั้งใจกลับบ้านไปอ่านหนังสือทว่ามีคำร้องขอของเซี่ยเสี่ยวหลานเมื่อก่อนหน้านี้ ถึงยอมอดทนรอเซี่ยเสี่ยวหลาน
เซี่ยเสี่ยวหลานยังคงครุ่นคิดเื่นี้อยู่เลยหาโอกาสพูดคุยกับเฉินชิ่ง
ที่แท้เื่ที่เธอจะถามก็คือการสอบเกาเข่า
“เธออยากเข้าร่วมสอบเกาเข่าของปีหน้า?”
เฉินชิ่งประหลาดใจมากเขานึกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะทำธุรกิจอิสระตลอดไปเสียอีก
“ใช่แล้วแต่ฉันเรียนจบแค่มัธยมต้น ไม่รู้ว่าแทรกเข้าเรียนมัธยมปลายปีสามเลยได้หรือไม่พี่เฉินชิ่งช่วยฉันสอบถามกับทางโรงเรียนที”
อายุของเซี่ยเสี่ยวหลานมิใช่ปัญหามีนักเรียนที่จบการศึกษาปีนี้มากมายที่อายุเยอะกว่าเธอยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักเรียนซ้ำชั้นเลย แต่การฟื้นฟูเกาเข่าก็ผ่านมาสักพักแล้ว ตอนนี้คนส่วนใหญ่เรียนจบมัธยมปลายแล้วค่อยร่วมเข้าสอบมหาวิทยาลัยตามกฎเกณฑ์เซี่ยเสี่ยวหลานจบมัธยมต้นมาสามปีแถมไม่ได้จับหนังสือ เดิมผลการเรียนก็ไม่ดีด้วย ทว่าตอนนี้เธอกลับปุบปับอยากเข้าร่วมสอบเกาเข่า...เฉินชิ่งไม่อยากทำลายความกระตือรือร้นของเธอ การพัฒนาตนเองไปข้างหน้าย่อมเป็เื่ดี
“ฉันจะกลับไปช่วยถามทางโรงเรียนให้เธอเองแต่ต่อให้เข้าเรียนระหว่างภาคเรียนได้ก็ต้องให้เธอสอบเข้าก่อนแน่นอน”
เฉินชิ่งไม่้าโจมตีความตั้งใจของเซี่ยเสี่ยวหลานทว่าต้องแจ้งไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อเซี่ยเสี่ยวหลานจะได้เตรียมความพร้อมไว้เมื่อเห็นว่าดวงหน้าของเซี่ยเสี่ยวหลานดูเจื่อนๆ ไปดวงตาดุจประกายผิวน้ำในม่านหมอกคู่นั้นน่าสงสารอย่างบอกไม่ถูกความเห็นใจของเฉินชิ่งยิ่งเพิ่มขึ้นมากโข จึงกล่าวออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ฉันยืมแบบเรียนมัธยมปลายสักชุดมาให้เธอก่อนก็ได้เธออ่านล่วงหน้าไป ถ้าโรงเรียนต้องให้สอบเข้าก่อนเธอจะได้มีความมั่นใจ”
“อืมขอบคุณพี่มากจริงๆ นะ พี่เฉินชิ่ง!”
“มะ...ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉินชิ่งท่าทางเหมือนมีสุนัขไล่กวดอยู่ด้านหลังพูดจบแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที
เซี่ยเสี่ยวหลานเคยร่วมการสอบเกาเข่าแล้ว
ในตอนนั้นผลการเรียนของเธอไม่เลวแม้ไม่ได้สอบติดมหาวิทยาลัยมีชื่อประเภท top10 ของยุคอนาคตแต่ก็เป็มหาวิทยาลัยกลุ่มที่หนึ่ง [3] เดิมทีเธอควรสอบได้ดีกว่านี้อีกหน่อยแต่เพราะบิดามารดาจากไปเร็ว ต้องเล่าเรียนพร้อมกับกังวลเื่ค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายไปด้วยดังนั้นจึงไม่สามารถทุ่มเทความตั้งใจทั้งหมดไปกับการเรียนได้ สุดท้ายก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมดาสามัญในกลุ่มที่หนึ่งสิ่งที่น่าเวทนากว่าคือตอนเลือกคณะนั้นไม่มีคนคอยแนะนำ จึงเลือกคณะไร้ความนิยมที่ค่าเล่าเรียนย่อมเยาที่สุดไปเรียนจบแล้วหางานด้วยความยากลำบาก ทำให้เธอต้องเริ่มจากการทำงานเป็พนักงานขายที่ไม่เกี่ยงความชำนาญเดินผ่านหนทางคดเคี้ยวมากมายถึงฝ่าฟันจนได้เป็ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติไม่มีทางเลือกนี่นะ เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี 1995 พอปี 1996 ประเทศก็ยกเลิกนโยบายจัดสรรอาชีพให้นักศึกษาจบใหม่แล้วหลังจากจบการศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลานจึงทำได้เพียงหาทางออกด้วยตนเอง
เซี่ยเสี่ยวหลานวางแผนจะร่วมสอบเกาเข่าของปี 1984 ทว่าขนาดเนื้อหาข้อสอบเกาเข่าในปี 95 ของเธอเองยังจำไม่ได้เลยนับประสาอะไรกับเนื้อหาข้อสอบของเมื่อ 11 ปีก่อน? ถ้ารู้ก่อนว่ามีเื่เกิดใหม่เช่นนี้เธอต้องจดจำเนื้อหาข้อสอบทุกชุดที่เคยผ่านตาในตอนนั้นให้ได้อย่างแน่นอน!
หลังจากเซี่ยเสี่ยวหลานเกิดใหม่ก็พยายามหลีกเลี่ยงการหวนคิดถึงเื่ราวในชาติก่อนให้มากที่สุด
กาลเวลาและสถานที่ในตอนนี้เป็่เดียวกับในชาติที่แล้วเป็แน่อย่างน้อยผู้นำประเทศรวมถึงภูมิหลังต่างๆ ล้วนไม่เปลี่ยนแปลงถ้าอย่างนั้นใน่เวลาและสถานที่ ณ ตอนนี้ก็มีตัวเธอคนเดิมอีกคนหนึ่งกำลังใช้ชีวิตอยู่ด้วยใช่หรือไม่?
‘เซี่ยเสี่ยวหลาน’ ปีนี้อายุ 18 ปีเกิดเมื่อปี 1965
เธอกลับมาเกิดใหม่เมื่อปี 1977 ปีนี้อายุเพียง 6 ขวบอายุเท่ากับเทาเทาเท่านั้น หากยึดวิถีของชีวิตเมื่อชาติก่อน บิดามารดาได้จากไปแล้วเธอจึงใช้ชีวิตอยู่กับญาติ อยู่ดีๆในใจเซี่ยเสี่ยวหลานก็เกิดความตื่นเต้นบางอย่างขึ้นเธอควรไปดูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าสามารถตามหา ‘ตนเอง’ ได้แล้วเธอจะดูแลตัวเองเป็อย่างดีแน่นอน!
ตกกลางคืนหลิวเฟินเก็บสัญญาการหย่าของตนเอาไว้เสียดิบดีเซี่ยเสี่ยวหลานปลอบใจเธอมาทั้งวัน หลิวเฟินจึงดูสบายใจมากขึ้นแล้ว
“อีกหน่อยตอนลูกเข้าเมืองก็ให้แม่ไปรับซื้อปลาไหลที่อื่นได้พวกเรารีบเก็บเงินให้ไวและสร้างบ้านของพวกเราเองสักหลังเถอะ”
เกษตรกรไม่พ้นอาศัยผืนดินเลี้ยงชีพเื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานบอกว่าจะไปตั้งรกรากในเมืองซางตูก็ยังไม่เป็รูปร่างเฉินวั่งต๋ากลับตกลงจะย้ายทะเบียนบ้านของแม่ลูกจากหมู่บ้านต้าเหอมาที่นี่มอบใบอนุญาตถิ่นที่อยู่และแบ่งไร่นาให้ การจัดสรรพื้นที่เล็กน้อยไว้สร้างบ้านให้พวกเธอก็คงไม่ยุ่งยากเช่นกันมีบ้านมีนา ถึงจะถือว่ามีรากฐานเป็ของตนเองหลิวเฟินไม่ไปคิดใส่ใจด้วยซ้ำว่าการหย่านั้นจะทำให้เธอขายหน้าหรือไม่ทั้งใจของเธอคือแม่ลูกทั้งสองช่วยกันหาเงิน มีบ้านของตนเองได้ในเร็ววัน
นั่นคือบ้านของเธอไม่ต้องคอยสังเกตุสีหน้าคนในตระกูลเซี่ย
ไม่ต้องพูดจากระซิบเพราะกลัวคนจะได้ยิน
เพียงหลิวเฟินจินตนาการก็เปี่ยมไปด้วยความหวัง
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่โต้แย้งกับเธอให้มารดาได้ทำอะไรเล็กน้อยย่อมเป็เื่ดีแสงแดดต้นฤดูใบไม้ร่วงไม่ได้รุนแรงขนาดนั้นอากาศแบบนี้ไปรับซื้อปลาไหลทุกที่จะลำบากแค่เื่เดินทาง
“ฉันให้เงินแม่ไว้หน่อยดีกว่า”
เซี่ยเสี่ยวหลานนำทรัพย์สินทั้งหมดของตนออกมา
แรกเริ่มเงินทุนของเธอมีเพียงเจ็ดสิบกว่าหยวน
ทำธุรกิจได้สิบกว่าวันค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดคือซื้อกระเป๋าหนังสือให้น้องชายรองลงมาคือไข่จำนวนหนึ่งที่แตกเสียหายเพราะโดนพวกอันธพาลสามคนก่อกวนขายไข่ไก่ทุกวันได้เงินเฉลี่ย 10 หยวนเพิ่งไปขายปลาไหลในเมืองได้เพียงสองครั้ง ทุกรอบล้วนได้กำไรเกิน 20 หยวนซื้อน้ำมันเกลือเครื่องปรุงต่างๆ เข้าบ้านก็ไม่ได้จ่ายมากเท่าไรบางครั้งซื้อเนื้อสัตว์กลับมายังไม่เกินสองสามหยวนด้วยซ้ำ
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเด็ดขาดเธอสามารถทำเงินน้อยให้งอกงามได้เป็จำนวนมาก เมื่อรวมทั้งเงินทุนและกำไรเข้าด้วยกันตอนนี้ยังมีเงินอยู่กับตัว 165 หยวนนี่ยังไม่รวมปลาไหลกับไข่ไก่ที่อยู่ในมือแค่จำนวนที่เธอจะนำไปเมืองซางตูในวันพรุ่งนี้ก็มีปลาไหลเกือบ 60 ชั่งและไข่ไก่ถึง 300 ใบทีเดียว
มูลค่าทรัพย์สินรวมเกิน 200 หยวนแล้ว
ศักยภาพในการรับความเสี่ยงของกิจการยังอ่อนด้อยนักเซี่ยเสี่ยวหลานให้เงินตัวเองไว้เพียง 50 หยวนส่วนที่เหลือส่งให้มารดาเธอหมด
“ราคารับซื้อไม่เกิน 9 เหมาต่อชั่งพวกเราจึงจะทำกำไรได้ ฉันว่าสิ้นเดือนก็สามารถคืนเงินลุงได้แล้ว”
เื่คืนเงินตอนนี้ยังไม่ใช่ปัญหาแต่เซี่ยเสี่ยวหลาน้าให้เงินทุนในมือมีมากเข้าไว้เธอยังอยากนำสินค้าอย่างอื่นจากในเมืองกลับมาขายอีกหลิวเฟินฟังเธอคำนวณกำไรก็ใเกือบคุมสติไว้ไม่ไหวแล้วสิบกว่าวันยังทำเงินได้มากมายขนาดนี้ เงินทองนี่หาง่ายเกินไปแล้ว...เสี่ยวหลานเองลำบากยากเย็นเหลือเกิน มารดาอย่างเธอจึงไม่อาจถ่วงรั้งได้
เชิงอรรถ
[1]凤毛麟角 ขนหงส์ฟ้ากับเขากิเลน หมายถึงล้ำค่าและหาได้ยากมาก
[2]后娘养的 แม่เลี้ยงเลี้ยงมา หมายถึงมีสถานะเป็รอง
[3]一本 มหาวิทยาลัยกลุ่มที่หนึ่ง คือการแบ่งกลุ่มรับนักศึกษา มีทั้งหมดสามรอบ โดยแบ่งตามคะแนนสอบกลุ่มที่หนึ่งคือรับนักศึกษากลุ่มแรก มักจะเป็มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงกลุ่มที่สอง (二本) จะรองลงมา แต่ไม่ต่างกับกลุ่มที่หนึ่งมากและกลุ่มที่สาม (三本)มักเป็สถานศึกษาระดับสูงประเภทเอกชน ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูงอย่างไรก็ตามทั้งสามกลุ่มจะได้วุฒิการศึกษาเหมือนกัน