กลางเดือนกันยายน ่เวลาที่อากาศร้อนที่สุดของปีได้ผ่านพ้นไปแล้ว
นักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ต้องเข้าร่วมการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลินั้นราวกับใช้ชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้าง
วิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งที่ตั้งอยู่บริเวณซีซานหวน [1] ฟังเพียงชื่อมักถูกคนสับสนกับ ‘มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง’ วิทยาลัยฝึกหัดครูย่อมเทียบมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ไม่ได้แต่ก็เป็สถานศึกษาระดับปริญญาตรีกลุ่มที่หนึ่งซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารของเมืองหลวงหากอาศัยคุณภาพการศึกษาและประสิทธิภาพอาจารย์ของเขตอันชิ่งก็จำเป็ต้องกระเสือกกระสนมากกว่าคนทั่วไปถึงจะสอบเข้าได้
เซี่ยจื่ออวี้จากหมู่บ้านต้าเหอและจือชิงหวังเจี้ยนหัวสอบติดมหาวิทยาลัยฝึกหัดครูนั่นเอง
คู่รักชายหญิงทั้งสองคนได้รับเลือกให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเดียวกันนี่ช่างเป็เื่ราวความรักสุดแสนประทับใจ อย่างน้อยภายในห้องนอนของเซี่ยจื่ออวี้หลังจากดับไฟเอนกายลงแล้วคนที่ถูกเพื่อนร่วมหอนอนหยอกเย้ามากที่สุดก็คือเซี่ยจื่ออวี้ผู้สนิทสนมกลมเกลียวกับหวังเจี้ยนหัวอย่างเปิดเผยนั่นเอง
เพื่อนร่วมหอของเซี่ยจื่ออวี้ล้อเธอว่า ‘ตาหวังของเซี่ยจื่ออวี้’ หวังเจี้ยนหัวอายุได้ 25 ปีถึงจะสอบติดมหาวิทยาลัยถือว่าอายุค่อนข้างมาก
ทว่าหวังเจี้ยนหัวร่างกายสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาดูแล้วเหมาะสมกับเซี่ยจื่ออวี้ผู้มีใบหน้ารูปไข่หงส์เป็อย่างมากเพื่อนร่วมหอของเซี่ยจื่ออวี้อิจฉาตาร้อนกันทั้งนั้น
แม้จะนำเงินจากบ้านมาไม่น้อยแต่ค่าใช้จ่ายกินอยู่ของเซี่ยจื่ออวี้ยังคงเรียบง่ายดังที่ผ่านมาเธอเชื่อมั่นเสมอว่าหวังเจี้ยนหัวคือหุ้นที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่า [2] ผู้หญิงจะลงทุนในหุ้นที่มีศักยภาพ มิใช่ว่าต้องจ่ายเงินหรอกหรือ?
หวังเจี้ยนหัวเป็จือชิงที่ลงทำงานในชนบทสถานการณ์ในครอบครัวของเขาซับซ้อนยิ่งนัก เงินที่เซี่ยจื่ออวี้ต้องจ่ายจึงมากตามไปด้วย
เซี่ยจื้ออวี้เป็คนเรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง ด้านการเรียนก็ขยันจริงจังรูปลักษณ์สง่างามอัธยาศัยดี เพิ่งเข้าเรียนได้เพียงครึ่งเดือน ทว่าสร้างความนิยมชมชอบอันดีในชั้นเรียนได้แล้วแม้แต่อาจารย์เองยังมีความประทับใจ ในการเรียนมหาวิทยาลัยครั้งแรก เซี่ยจื่ออวี้ััได้ถึงความแปลกใหม่กับทุกสิ่งรอบตัวหยาดเหงื่อที่เธอหลั่งไหลเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มาซึ่งผลตอบแทนแล้วความสัมพันธ์กับหวังเจี้ยนหัวก็อยู่ในระยะพัฒนาไปในทิศทางที่ดี...หากไร้เื่น่ารำคาญใจของบ้านเกิด เซี่ยจื่ออวี้ต้องสบายใจกว่านี้เป็แน่
ตอนที่เธอเพิ่งมาถึงมหาวิทยาลัยก็ได้รับโทรเลขจากครอบครัวบอกว่าลูกพี่ลูกน้องเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกกดดันจากข่าวลือจึงชนผนังฆ่าตัวตายแต่ดันไม่ตายสมดั่งใจหวัง
เวลาผ่านไปได้ครึ่งเดือน จื่ออวี้ได้รับโทรเลขอีกฉบับโทรเลขฉบับนี้รวบรัดเพียงสิบกว่าตัวอักษร แต่ปริมาณข้อมูลกลับมากมาย
“หลิวเฟินหย่าแล้ว แม่ลูกย้ายออก จางเสเพลโดนจับข้อหาขโมย”
โทรเลขคิดเงินตามจำนวนตัวอักษรเซี่ยจื่ออวี้รู้ดีว่าแม้ตอนนี้บิดามารดาจะหาเงินได้มากขึ้นแต่ยังทำใจใช้เงินเยอะไม่ได้ เมื่อเซี่ยจื่ออวี้ได้รับโทรเลขเธอก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ในบัดดล
อาสะใภ้รองนี่เป็คนอย่างไรกัน?
เอากระบองตีไม่มีลมออกมาสักแอะ [3] เป็ที่รองรับอารมณ์ได้อย่างน่าทึ่งเพราะไม่สามารถมีลูกชายให้อารองได้ อาสะใภ้รองผู้ที่เชื่อฟังอารองขนาดชี้นกเป็นก ชี้ไม้เป็ไม้กลับกล้าพูดถึงเื่การหย่า? ต้องมิใช่อารองเสนอแน่ มิเช่นนั้นในโทรเลขคงไม่เขียนชื่อ ‘หลิวเฟิน’ ไว้ นี่คือการเน้นย้ำถึงผู้ที่หยิบยกเื่การหย่าขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าเื่ที่เซี่ยเสี่ยวหลานชนผนังนั้นกระตุ้นความขัดแย้งในบ้านที่ทับถมมานาน
แม้เซี่ยจื่ออวี้ไม่ชอบเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่ไม่เคยคิด้าให้เธอตายอย่างไรเสียชีวิตของเธอและเซี่ยเสี่ยวหลานก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเธอจึงใช้ทัศนคติของ ‘ผู้ประสบความสำเร็จ’ ในการแสดงความใจกว้างได้ แต่เธอยังคงไม่พอใจอยู่ดี ไม่พอใจอะไรหรือก็ไม่พอใจที่บิดามารดาของเธอมีความสามารถในการปฏิบัติงานต่ำน่ะสิ!
พูดออกง่ายขนาดนี้ กำชับไว้ชัดเจนขนาดนั้นยังปล่อยให้เื่นี้หลุดการควบคุมไปได้อีก?
จางเสเพลถูกจับเพราะลักขโมย หลิวเฟินหย่าแล้วสองแม่ลูกย้ายออกจากตระกูลเซี่ยเช่นนั้นแล้วเธอจะกุมชะตาชีวิตของเซี่ยเสี่ยวหลานไว้ในมืออย่างแ่าได้อย่างไร? เซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาต้องย้ายไปหมู่บ้านชีจิ่งเป็แน่ บ้านมารดาของหลิวเฟินจำนวนสมาชิกน้อยมีน้องสาวที่ออกเรือนแล้วซึ่งไปมาหาสู่กันไม่บ่อย จะมีก็แต่พี่ชายคนเดียวที่คอยดูแลเซี่ยเสี่ยวหลานและมารดาอยู่เสมอ
พอคิดว่าพวกเธออาศัยอยู่กับหลิวหย่ง เซี่ยจื่ออวี้ก็เบาใจขึ้นมาก
หลิวหย่งเป็พวกไม่เอาไหน หลิวเฟินยิ่งไร้ต้นทุนในการแต่งงานใหม่ขลุกอยู่แต่ในชนบท เซี่ยเสี่ยวหลานผู้มีชื่อเสียงป่นปี้คงไม่มีอนาคตสดใสได้อีก
ผู้หญิงหน้าตาสะสวยอาจได้เปรียบชั่วคราว ที่สำคัญกว่าคือต้องมีสมอง
เซี่ยจื่ออวี้ทิ้งโทรเลขไป นึกได้ว่าคาบเรียนของหวังเจี้ยนหัวเต็มทั้งวันอาจารย์สาขาวิชาการเมืองและกฎหมายมักสอนเกินเวลาเธอจึงนำกล่องข้าวสองกล่องไปโรงอาหาร
รออยู่ในแปลงดอกไม้ตรงทางเดินระหว่างห้องเรียนไม่นานเธอก็เห็นหวังเจี้ยนหัวเลิกเรียนไม่ต้องบอกเลยว่าเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกับหวังเจี้ยนหัวอิจฉามากเพียงใด
“เจี้ยนหัว แฟนนายช่วยไปรับอาหารมาให้อีกแล้ว!”
“ไอ้หมอนี่ ไม่รู้ไปโชคดีมาจากไหน...”
เซี่ยจื่ออวี้ทักทายพวกเขาอย่างเป็กันเองทุกคนหยอกล้อไม่กี่ประโยคก็จากไป
“พวกเราเลิกเรียนช้า เธอไปกินข้าวคนเดียวก่อนก็ได้ รอฉันทำไมกัน?”
หวังเจี้ยนหัวคือแบบฉบับของคนทางเหนือ ตัวสูง คิ้วเข้มตาโต เป็ชายหนุ่มที่หน้าตาสมดุลเพียงแต่รูปลักษณ์มักให้ความรู้สึกเหมือนรักษาระยะห่างจากผู้คนไกลออกไปพันลี้ [4]
เซี่ยจื่ออวี้พินิจผู้ชายคนนี้ สายตาทั้งอ่อนโยนทั้งชมชอบ “ก็ไม่ได้รอนานเท่าไร อีกอย่างพวกเราเป็แฟนกันฉันไม่ห่วงเธอแล้วจะให้ห่วงใครกัน”
หวังเจี้ยนหัวโต้แย้งไม่ได้เลย
ทั้งสองหาที่ข้างแปลงดอกไม้นั่ง เซี่ยจื่ออวี้ส่งข้าวกล่องในมือให้เขา
หวังเจี้ยนหัวเปิดออกดูก็พบว่าข้าวกล่องใบใหญ่แบ่งส่วนกันอย่างชัดเจนครึ่งหนึ่งคือข้าวสวยสีขาววาววับ อีกครึ่งหนึ่งคือเนื้อหมูน้ำแดงมันชุ่มฉ่ำ พอเซี่ยจื่ออวี้เปิดกล่องข้าวของตนเองออกกลับเป็หมั่นโถวเคียงด้วยผัดกะหล่ำปลีชุดหนึ่งคือมาตรฐานระดับสูงของโรงอาหารในมหาวิทยาลัยแม้แต่อาจารย์ก็ไม่อาจตัดใจกินแบบนี้ลง อีกชุดหนึ่งกลับเป็อาหารมาตรฐานแย่ที่สุดหมั่นโถวคู่ผัดกะหล่ำปลี... ต่อให้เป็หวังเจี้ยนหัวที่มีนิสัยค่อนข้างนิ่งเฉยก็อดใจอ่อนระทวยไม่ได้
เขากับเซี่ยจื่ออวี้เริ่มต้นด้วยอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง
เขาเองก็ไม่อยากเป็คนรักที่ไม่ซื่อสัตย์เพียงแต่เขามิอาจละเลยความรับผิดชอบต่อเซี่ยจื่ออวี้ได้
เดิมทีหวังเจี้ยนหัวไม่เต็มใจอย่างมากอย่างไรคนที่เขาชอบก็คือเซี่ยเสี่ยวหลาน แต่พอได้อยู่กับเซี่ยจื่ออวี้เข้าจริงๆหัวใจซึ่งทำจากก้อนหินของหวังเจี้ยนหัวก็ค่อยๆ ถูกโอบอุ้มด้วยความอบอุ่นเซี่ยเสี่ยวหลานเปราะบาง ทั้งสองมักงี่เง่าใส่กันและยังต้องให้หวังเจี้ยนหัวคอยโอ๋ทว่าเซี่ยจื่ออวี้อ่อนโยนและมีเหตุผล ไม่เพียงแต่ดูแลจัดการชีวิตของเขาอย่างสมควร ทั้งยังห่วงใยครอบครัวของเขาเท่าที่จะทำได้
“เธอเอาเนื้อให้ฉันหมด จนตัวเองไม่ได้กินสินะ”
หวังเจี้ยนหัวนำหมูน้ำแดงในกล่องข้าวของตนไปให้เซี่ยจื่ออวี้ แต่เซี่ยจื่ออวี้ไม่ยินยอมเธอยกกล่องข้าวของตนหลบหลีกพลางหัวเราะ “ก็ฉันชอบกินผัก”
ในยุค 80 มีอยู่ไม่กี่คนที่ชอบรับประทานผักจริงทุกคนล้วนครุ่นคิดว่าจะรับประทานเนื้อมากขึ้นหน่อยได้อย่างไร
เซี่ยจื่ออวี้จริงใจต่อเขาเป็แน่แท้
หวังเจี้ยนหัวรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก “ถ้าเธอไม่กินฉันก็ไม่กิน”
สองคนยื้อยุดกันต่อไปไม่ได้ สุดท้ายเซี่ยจื่ออวี้จึงคีบหมูน้ำแดงมารับประทานไปสองชิ้น
นี่คือชีวิตประจำวันอันอบอวลด้วยความรักและเสน่หาของคู่รักนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยจื่ออวี้ไม่มีทางพูดถึงโทรเลขที่ได้รับฉบับนั้นเื่ของหมู่บ้านต้าเหอก็ให้มันอยู่ในหมู่บ้านต้าเหอ ที่นี่คือปักกิ่งกว่าเธอจะจากชนบทที่แร้นแค้นมาได้ จะให้กลับไปได้อย่างไร?
และเธอจะไม่กล่าวถึงเซี่ยเสี่ยวหลานต่อหน้าหวังเจี้ยนหัวด้วย
ผู้หญิงที่โง่งมมักจะคว้าบางสิ่งไว้ไม่ปล่อยยิ่งใส่ใจมากเท่าไรผู้ชายยิ่งลืมไม่ลงเวลานี้เธอเคียงข้างกายหวังเจี้ยนหัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เมื่อเวลาค่อยๆ เปลี่ยนผันไปย่อมต้องเข้ายึดครองจิตใจทั้งหมดของเขาได้
เซี่ยเสี่ยวหลานหรือ?
ไม่ควรค่าแม้แต่การเป็ศัตรูด้วยซ้ำ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อย หวังเจี้ยนหัวเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เงินที่พวกเราส่งไปที่นา พวกพ่อฉันได้รับแล้วนะ จื่ออวี้เธอมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราตระกูลหวังจริงๆ ”
เซี่ยจื่ออวี้กระดากอายอยู่เล็กน้อย “เงินส่วนนั้นก็จัดการเื่ใหญ่โตไม่ไหวหรอกแต่พอสามารถจุนเจือความเป็อยู่ของพวกคุณลุงได้”
ที่เซี่ยจื่ออวี้นำเงิน 500 หยวนจากบ้านมาถึงปักกิ่งแต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันช่างธรรมดาสามัญนั้นก็เพราะว่าเธอส่งเงินทั้งหมดให้คนในครอบครัวของหวังเจี้ยนหัวหวังเจี้ยนหัวโดนลดระดับส่งไปเป็จือชิงที่หมู่บ้านต้าเหอแต่บิดามารดาของเขากลับอยู่ในที่นาที่สภาพความเป็อยู่หนักหนาสาหัสยิ่งกว่าหวังเจี้ยนหัวสอบติดวิทยาลัยฝึกหัดครูปักกิ่งแล้วจึงหลุดพ้นจากหมู่บ้านต้าเหอทว่าการกลับเมือง [5] ของคนอื่นในตระกูลหวังยังไร้ความเคลื่อนไหว
อย่างไรเสียไม่ช้าก็เร็วตระกูลหวังต้องได้กลับเมืองเป็แน่
เซี่ยจื่ออวี้เชื่อมั่นในสิ่งนี้มาก ราคาที่ต้องจ่ายของเธอในตอนนี้ต้องมีค่าตอบแทนอย่างแน่นอน!
เชิงอรรถ
[1]西三环 ซีซานหวน คือ ส่วนตะวันตกของถนนวงแหวนรอบที่สาม 3 ในปักกิ่ง
[2]潜力股 หุ้นที่มีศักยภาพเพิ่มมูลค่า เปรียบเทียบว่าคุ้มค่าแก่การลงทุนลงแรง
[3]八棍子打不出一个屁 เอากระบองตีไม่มีลมออกมา มีที่มาจากการตีก้นเท่าไรก็ไม่ผายลมออกมา หมายถึงคนที่ไม่เก่งในการพูดจา ไม่ชอบพูด
[4]拒人千里之外 กันให้ผู้อื่นอยู่ห่างออกไปพันลี้ หมายถึง คนที่มีลักษณะเย่อหยิ่ง สันโดษเข้าถึงได้ยาก
[5]返城 กลับเมือง หมายถึง ผู้มีทะเบียนบ้านในเมืองที่ไปอยู่ชนบทระยะเวลาหนึ่งจากนั้นกลับไปยังถิ่นฐานเดิมของตน