กู้เจิงคิดไม่ถึงว่าเสี่ยวเหมาเอ๋อเป็เพียงแค่เด็กคนหนึ่ง แต่จะคิดได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้ และที่ยิ่งน่าเศร้าใจก็เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็เพียงเด็กอายุแปดปีเท่านั้น
กู้เจิงมองไปทางสามี ไม่รู้ว่าเขาจะพูดกับเสี่ยวเหมาเอ๋อร์อย่างไร
เสิ่นเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาทำเพียงพยักหน้า “ได้ แต่ค่ายทหารจะรับเฉพาะคนที่มีอายุสิบห้าปีขึ้นไปเท่านั้น เ้ายังเด็กเกินไปต้องไปทำงานที่โรงครัวก่อน รอจนอายุครบสิบห้าถึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมกองทัพได้”
เสี่ยวเหมาเอ๋อร์ยิ้มอย่างดีใจ
หิมะที่ตกมาทั้งวันปกคลุมทางเท้าตอนที่พวกกู้เจิงกำลังจะกลับบ้าน ความมืดมิดโรยตัว รอบด้านเงียบสงัด ท้องนภาเต็มไปแสงดาวที่ส่องสว่าง เสิ่นเยี่ยนจูงมือภรรยาเดินช้าๆท่ามกลางหิมะ
ชุนหงที่เห็นท่าทีของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ก็ทำให้นางนึกถึงตัวเองตอนเด็กๆ นางถือร่มพลางก้มหน้าเดินตามหลังคุณหนูกับท่านบุตรเขยไปตลอดทาง
ตอนกู้เจิงถอนสายตาจากการมองชุนหงก็เห็นเสิ่นเยี่ยนกำลังมองนางอยู่ แววตาของบุรุษผู้นี้เ็าดุจหมอกยามเช้า แต่ไม่รู้ว่าั้แ่เมื่อไร ที่แววตาเ็าคู่นี้เจือด้วยความอบอุ่น อย่างน้อยก็ตอนมองนาง
“เ้าคิดว่าเื่ของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ข้าสะเพร่าเกินไปหรือเปล่า?” เสิ่นเยี่ยนถามนาง
กู้เจิงตอบรับเสียงเบา “ถึงอย่างไรเขาก็เป็เพียงเด็ก จะจริงจังกับการตัดสินใจของเขาได้หรือเ้าคะ? นี่จะไม่เป็การทำร้ายเขาแทนหรอกหรือ?”
“พ่อของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เท้าไม่แข็งแรง เขาจึงต้องช่วยครอบครัวหาเงินมาั้แ่อายุสามขวบ เขากลายเป็เสาหลักของบ้านแทนพ่อ” เสิ่นเยี่ยนพูดเสียงเรียบ “เพราะเขาเข้าใจว่าชีวิตไม่ใช่เื่ง่าย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากคาดหวังว่าชีวิตเขาจะพบกับความสุขได้ง่ายดาย เพราะถ้าหากเขาต้องสูญเสียความสุขนั้นไปอีกครั้ง เขาก็คงจะทำใจไม่ได้”
กู้เจิงจุกในอก นางสงสารเด็กคนนี้เหลือเกิน “ในเมื่อท่านลุงสามกับท่านป้าสามยอมรับเขาเป็บุตรชาย ก็ต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความจริงใจแน่”
“ใช่ ข้าก็คิดอย่างนั้น แต่ปัญหาคือเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไม่คิดอย่างนั้น แม้แต่ปู่ย่าของเขาเองก็ยังสามารถทิ้งเขาได้ลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่ไม่มีความสัมพันธ์กันเลย”
กู้เจิงถอนหายใจ “ก็ดีเ้าค่ะ เขาไปอยู่ในค่ายทหารก็ยังมีท่านกับหลี่หนานที่คอยสอดส่องดูแลเขาได้”
“พรุ่งนี้เ้าไปที่บ้านของลุงสาม บอกการตัดสินใจของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์กับพวกเขาซะ อีกอย่าง ให้ป้าสามคิดหาวิธีส่งเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไปโรงเรียนด้วย”
“ให้ท่านป้าสามคิดหาวิธีส่งเสี่ยวเหมาเอ๋อร์ไปที่โรงเรียนหรือเ้าคะ?”
“ในเมื่อท่านป้าสามอยากได้เสี่ยวเหมาเอ๋อร์มาเป็บุตร นางก็ต้องหาทางดึงตัวลูกชายคนนี้ก็กลับมาเอง”
กู้เจิงเข้าใจทันที “ดังนั้น ท่านถึงยอมรับคำขอของเสี่ยวเหมาเอ๋อร์หรือ?”
เสิ่นเยี่ยนยิ้มบางๆ “ความรักของแม่ลูกที่ได้มาเช่นนี้ จะทำให้พวกเขาเดินอ้อมน้อยลง”
กู้เจิงมองสามีอย่างชื่นชม “ท่านพี่ ข้าว่าสมองของท่านช่างใช้การได้ดีเสียจริงเ้าค่ะ” ในเวลาแค่นิดเดียว กลับคิดได้มากถึงขนาดนี้
เสิ่นเยี่ยน “...”
เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น หลังคาบ้านก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะหนาอีกชั้น หิมะยังคงตกหนัก และยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ชุนหงรีบไปหยิบไม้กวาดมาจากห้องเก็บฟืน นางเริ่มกวาดหิมะจากหน้าประตูบ้าน
เสิ่นเยี่ยนวางพาดบันไดไม้ไผ่เข้ากับกำแพงบ้าน เขาจำต้องขึ้นไปกวาดหิมะบนหลังคาอีกสักหน่อย แม้ว่าบ้านของเขาจะใช้อิฐชิง* ที่มีความแข็งแรงในการสร้างไม่น่าจะทำให้กระเื้ัคาถล่ม แต่ก็ควรป้องกันไว้ก่อน
(*เป็อิฐเผาชนิดหนึ่งที่ทำจากดินเหนียว มีสีดำหม่น แข็งแรงและถึกทน)
“ท่านพี่ ระวังด้วยนะเ้าคะ” กู้เจิงหยิบไม้กวาดส่งให้ ขณะที่เสิ่นเยี่ยนปีนขึ้นไปบนหลังคา
“ท่านบุตรเขย อย่าตกลงมาเหมือนกับบ่าวนะเ้าคะ บ่าวกับคุณหนูรับท่านไม่ไหวเ้าค่ะ” ชุนหงก็ะโบอก
กู้เจิงหันไปพูดกับชุนหง “เมื่อตอนบ่าย เ้าทำเอาข้าใจนหัวใจจะวายอยู่แล้ว”
“บ่าวก็คิดว่าตัวเองจบเห่แล้วเ้าค่ะ โชคดีที่ท่านบุตรเขยมาช่วยบ่าวได้ทัน” ชุนหงตบหน้าอกตัวเองด้วยนึกกลัวขึ้นมา
เสิ่นเยี่ยนขึ้นไปยืนบนหลังคา ฝีเท้าของเขามั่นคง สองมือที่กวาดหิมะก็ทำอย่างชำนาญ
เวลานี้กู้เจิงกับชุนหงที่อยู่ด้านล่างเริ่มเล่นหิมะกันแล้ว นายบ่าวสองคนเล่นกันอย่างสนุกสนาน
ยามที่สองสามีภรรยาเสิ่นกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าลูกชายของพวกเขากำลังกวาดหิมะอยู่บนหลังคา ส่วนลูกสะใภ้กับชุนหงก็ใช้หิมะที่กวาดจากหลังคาลงมา ปั้นเป็ตุ๊กตาหิมะเล่นกันอยู่
เมื่อกลับเข้าห้องล้างหน้าล้างตาจนเสร็จ ความตื่นเต้นของกู้เจิงก็ยังไม่หมดไป ในหัวของนางพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา
“เ้าช่างไม่กลัวหนาวเสียจริง” ตอนที่เสิ่นเยี่ยนเดินเข้ามาในห้อง เขาเห็นภรรยาสวมเสื้อตัวนอกเพียงตัวเดียวนั่งวาดอะไรสักอย่างอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “เ้ากำลังวาดตุ๊กตาหิมะอยู่หรือ?”
“น่ารักไหมเ้าคะ?” กู้เจิงวาดตุ๊กตาหิมะรูปร่างแปลกๆ มีหน้าตาหลากหลายอารมณ์ “หากข้าเย็บปักเ้าพวกนี้ไปขาย จะทำเงินได้ไหมเ้าคะ?”
เสิ่นเยี่ยน “...” แต่เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นรอคอยคำตอบของภรรยา ก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “เ้าปักตุ๊กตาหิมะสักตัวก็ใช้เวลาอย่างน้อยตั้งสองสามวัน ทั้งเสียเวลา ทั้งเจ็บตา แล้วยังงานหนักอีก ขายไปก็ได้ไม่กี่ก้วนไม่คุ้มค่าหรอก แต่ถ้าเ้าชอบจะปักเล่นก็ได้”
กู้เจิงคิดตามที่เขาพูดก็ถูก “หนาวจัง” นางรีบปีนขึ้นเตียงอย่างว่าง่าย
ชุนหงวางเตาผิงไว้ตรงที่นอนแล้ว อากาศในห้องจึงไม่หนาวเท่าไหร่
เสิ่นเยี่ยนถอดเสื้อนอกออก เขาสวมเพียงเสื้อตัวในกับกางเกงสีอ่อน
ยามที่เขากำลังจะล้มตัวลงนอน ก็มีทีท่าชะงักไป “เหนียงจื่อ?*”
(*คำใช้เรียกแทน ภรรยา)
“มีอะไรหรือเ้าคะ?” กู้เจิงกำลังแอบมองรูปร่างของสามีอยู่
เสิ่นเยี่ยนเงียบไป “เ้าเืกำเดาไหลแล้ว”
กู้เจิง “...” นางคลำใต้จมูก ปรากฏว่ามือเปื้อนเืกำเดาจริงๆ
บรรยากาศค่อนข้าง... อืม ไม่อาจกล่าวได้ว่าน่าอึดอัด
กู้เจิงตกตะลึง นางมองเสิ่นเยี่ยนโดยไม่ได้มีความคิดชั่วร้ายแอบแฝงแม้แต่น้อย ก็ไม่เชิงว่าไม่มี นับว่ามีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องเืกำเดาไหลกระมัง?
“เช็ดสิ” เสิ่นเยี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าให้นาง
กู้เจิงหัวเราะแห้ง “น้ำแกงไก่ของป้าใหญ่บำรุงเืดีมากจริงๆ เ้าค่ะ ข้าคงกินเยอะไปหน่อย”
เสิ่นเยี่ยน “...”
วันรุ่งขึ้น ในที่สุดหิมะก็หยุดตก
กู้เจิงล้างหน้าล้างตาก่อนเดินออกจากห้อง นางเห็นหิมะกองสูงพะเนินในลานบ้าน นางร้องะโอย่างนึกสนุก ทำเอาชุนหงที่อยู่ข้างๆ ใจนสะดุ้งโหยง
นายท่านเสิ่นที่กำลังกวาดห้องเก็บฟืนอยู่ ได้ยินเสียงลูกสะใภ้ก็เงยหน้าทัก “อาเจิงเ้าตื่นแล้ว”
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านพ่อ” กู้เจิงทักทายอย่างเบิกบาน หลังจากทักทายเสร็จก็หันไปหาชุนหงที่อยู่ด้านหลังพลางหัวเราะอย่างมีเลศนัย ก่อนจะล้มตัวลงไปบนหิมะกองใหญ่ทั้งตัว นางอยากจะทิ้งรอยร่างของตัวเองไว้ในกองหิมะ
นายหญิงเสิ่นที่เดินออกมาจากห้องครัวเห็นการกระทำของลูกสะใภ้ก็ยิ้มขันพลางกล่าวว่า“ที่แท้อาเจิงก็ชอบหิมะมากขนาดนี้นี่เอง”
กู้เจิงหัวเราะ ชุนหงก็หัวเราะเช่นกัน เมื่อก่อนมีหิมะตกหนักเช่นนี้คุณหนูจะเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในห้องไม่ยอมออกมา แต่ตอนนี้คุณหนูช่างร่าเริงจริงๆ
“อรุณสวัสดิ์เ้าค่ะท่านแม่” กู้เจิงยื่นมือออกไปให้ชุนหงดึงขึ้นมา
“อรุณสวัสดิ์ รีบมากินข้าวเถอะ เช้านี้ข้าทำน้ำแกงไว้ ใส่กุ้งแม่น้ำที่เ้าชอบด้วย” นายหญิงเสิ่นว่าพลางเดินเข้าห้องครัว
ในนั้นไม่เพียงแต่มีกุ้งแม่น้ำเท่านั้น ยังมีมันฝรั่งและหน่อไม้แห้งด้วย ล้วนเป็ของโปรดของกู้เจิง รอจนพ่อแม่สามีนั่งลงแล้ว กู้เจิงถึงค่อยเริ่มกิน
“อร่อยจริงๆ เ้าค่ะ” กู้เจิงซดน้ำแกงจนหมดชาม
นายหญิงเสิ่นยิ้มบางๆ “ปกติตอนเช้าข้าจะไม่ค่อยหิวนัก แต่เห็นท่าทางของเ้าแล้ว ข้าก็เกิดหิวขึ้นมาทันทีเลย”
นายท่านเสิ่นหัวเราะร่วน “เวลากินข้าวก็ควรจะกินให้เหมือนอาเจิง เมื่อเช้าอาเยี่ยนก็กินไปชามใหญ่ถึงค่อยไปทำงาน”
“ทั้งหมดเป็เพราะท่านแม่ทำอาหารอร่อยเ้าค่ะ ใช่ไหมชุนหง” กู้เจิงก้มหน้าก้มตากิน
“ใช่เ้าค่ะ ั้แ่บ่าวตามคุณหนูมาที่ตระกูลเสิ่น ก็อ้วนขึ้นมาก” ชุนหงหยิกแก้มเล็กๆ ของตัวเอง
ทุกคนต่างหัวเราะ
“จริงสิ เมื่อวานพวกเ้าบอกเสี่ยวเหมาเอ๋อร์เื่ที่ป้าสามจะรับเลี้ยงเขาแล้วใช่ไหม? เด็กคนนั้นคงจะดีใจมากเลยล่ะสิ?” นายหญิงเสิ่นถาม
กู้เจิงจึงเล่าเื่เมื่อคืนให้ฟังอย่างละเอียด