เมื่ออวิ๋นซีได้ยินประโยคนี้ของบุตรสาว นางก็อดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้นางถามเสียงขรึม “หวานหว่าน เ้ารู้หรือว่าอันใดคือเสี่ยวเหนียงเหมิน? ”
หวานหว่านพยักหน้า ตอบ “รู้เ้าค่ะ รู้เ้าค่ะ อาซื่อที่เมื่อก่อนทำหน้าที่ผ่าฟืนอยู่ในห้องเครื่องชอบพูดอยู่บ่อยๆว่า ตัวเขามักจะไปแอบดูเสี่ยวเหนียงเหมินข้างบ้านอาบน้ำ อีกทั้ง เมื่อครู่นี้ท่านพ่อไม่ได้พูดออกมาหรอกหรือว่าท่านปู่ห้าเองก็ชมชอบการไปแอบดูคนอื่นอาบน้ำเช่นกัน”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ขณะที่อวิ๋นซีกลับรู้สึกปวดหัวยิ่งเหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าบุตรสาวคนนี้ ยิ่งเลี้ยงยิ่งเพี้ยนกันนะ ทั้งที่หน้าตาก็น่าเอ็นดูเหมือนเด็กน้อยตัวเล็กๆน่ารักไร้เดียงสา แต่ความจริงกลับกลายเป็คนที่หากคำที่พูดออกมาไม่ทำให้คนใถึงตายก็จะไม่หยุดเสียให้ได้ แล้วมาตอนนี้ยังจะมีเสี่ยวเหนียงเหมินอีก!
นางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองไปยังจวินเหยียน “ท่านอ๋อง ไม่เสียทีจริงๆที่เป็บุตรสาวของท่าน คาดว่าตอนแรกท่านคงลงแรงไปไม่น้อย”
คำพูดของอวิ๋นซี ทำให้จี้หยวนที่กำลังดื่มชาอยู่ทนไม่ไหว เผลอพ่นออกมาทั้งหมดเขาเงยหน้ามองอวิ๋นซีอย่างหมดสภาพเล็กน้อย “น้องพี่ ยามที่เ้าจะพูดจะจาอะไรก็ช่วยอ้อมค้อมเสียหน่อยจะได้หรือไม่แต่หากเป็การยาก เช่นนั้นพวกเ้าสามีภรรยาก็สามารถนำเื่นี้ไปปรึกษากันเป็การส่วนตัวก็ได้นะ”
อวิ๋นซีและจวินเหยียนกลอกตาแรงๆ ใส่จี้หยวน ส่วนโอวหยางรุ่ยกลับทำเพียงหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาเช่นนี้ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อครู่เป็โอวหยางจวินเหยียนที่หัวเราะเยาะโอวหยางรุ่ยแต่ตอนนี้ภรรยาเขากลับลากเขาออกมาสั่งสอนเสียอย่างนั้น อีกทั้งเมื่อคนอ้าปากทีก็ทำให้คนรอบข้างเป็ต้องตกตะลึง...
อืม
ถูกต้อง ทำให้คนเป็ต้องตกตะลึงจริงๆ
อวิ๋นซีถามด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “พี่ใหญ่ ท่านว่า คืนนี้ข้าควรจัดหาคนไปที่ห้องท่านสักคนเพื่อจะได้อยู่ปรึกษาเป็เพื่อนท่านเกี่ยวกับเื่ใหญ่ในชีวิตที่ไม่อาจไม่ทำได้นี้จะดีหรือไม่? ”
อาหลานที่มิได้พบหน้ากันมาสิบปีก็ได้มาเจอกันอย่างปรีดาวันคืนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของการผลัดกันรุกผลัดกับรับคมฝีปากเช่นนี้
คณะเดินทางที่เดิมทีคิดจะจากไป ตอนนี้เมื่อมาถึงยังจวนอวี๋อ๋องแล้ว จึงไม่อาจไม่รั้งอยู่ที่นี่สักสองวันได้ทว่า สิ่งที่ทำให้อวิ๋นซีคาดไม่ถึงก็คือ มื้อค่ำของวันนี้ นางได้เจอชายาอวี๋อ๋อง ผู้ซึ่งเป็สตรีที่ถูกนางช่วยเอาไว้ตอนนั้น
นางคิดไม่ถึงว่า คนจะเป็ภรรยาของอวี๋อ๋อง อีกทั้ง เมื่อพิศดูแล้วคนทั้งสองก็ดูรักใคร่กันเป็อย่างยิ่ง
จวินเหยียนมองไปทางอวิ๋นซีด้วยสายตาเป็กังวล แต่ใครเล่าจะรู้ อวิ๋นซีกลับส่งยิ้มพร้อมเอ่ยถามชายาอวี๋อ๋องหลิงเยว่เซวียน“คำโบราณว่าไว้ ไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน ไม่เข้าประตูเดียวกัน [1] คิดไม่ถึงเลยว่า อาซีกับเสด็จอาสะใภ้จะหน้าตาคล้ายกันจริงๆ ”
ถูกต้อง ตัวนางอวิ๋นซี และชายาอวี๋อ๋องหลิงเยว่เซวียนมีหน้าตาคล้ายกันมากโดยเฉพาะส่วนคิ้ว ตา และจมูก เว้นริมฝีปากเพียงอย่างเดียวที่ดูไม่คล้ายกันเท่าไร ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็รู้ดีว่านอกจากริมฝีปากที่คล้ายบิดาอวิ๋นแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็เหมือนชายาอวี๋อ๋องราวกับถอดแบบกันออกมาเป๊ะๆ
หลิงเยว่เซวียนยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนโยน “อืม คล้ายกันมากจริงๆ ครั้งแรกที่ข้าเห็นเ้าตัวข้าเองก็ใเช่นกัน หากไม่รู้จริงเท็จ ข้าคงคิดไปแล้วว่าตัวเ้านี้เป็ลูกสาวข้า”
มือที่จับถ้วยชาของอวิ๋นซีถึงกับจับแน่นเข้าน้อยๆ จากนั้นก็ยิ้มตอบ“นั่นก็แค่คำที่พูดให้ขบขันเท่านั้น แท้จริงแล้วมารดาข้า เสียไปนานแล้ว”
เมื่อหลิงเยว่เซวียนได้ยินก็ทอดถอนใจด้วยรู้สึกเศร้าใจระคนปวดใจอดไม่ได้ให้สงสารจับใจ ทว่า อารมณ์ที่ปรากฏออกมานั้นขาดเพียงความตกตะลึงหวั่นเกรงเท่านั้นที่อวิ๋นซีเฝ้ารอคอย!
จวินเหยียนมองภรรยาไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “กินนี่สิ ของที่เ้าชอบกิน”
อวิ๋นซีมองเขา เม้มปากยิ้ม “ผู้ที่รู้ใจข้า ก็คือสามี”
……...........................................................................................
ตกค่ำ วันนี้พวกเขาล้วนพักกันที่จวนอวี๋อ๋อง ขณะที่อวิ๋นซีกำลังมองดูแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาจากภายนอกห้องอยู่เพียงลำพังนางเหม่อลอยไปเล็กน้อย ร่างทั้งร่างดูไม่ค่อยสดใสกระปรี้กระเปร่า
ขณะเดียวกันจวินเหยียนก็ไปที่ห้องหนังสือของอวี๋อ๋อง เนื่องด้วยยามนี้ผ่านไปสิบปีแล้วที่อาหลานไม่ได้พบหน้าไม่ได้เจอกันจึงมีเื่ให้ต้องพูดคุยกัน จนกระทั่งต้นยามไห่ จวินเหยียนถึงได้กลับมาที่ห้องอีกครั้งและได้พบว่าภรรยาตนหลับไปแล้ว เขาถอดเสื้อนอกออก เอนกายลงบนเตียง ดึงร่างนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือจากนั้นก็จุมพิตหน้าผากนาง ในสายตาเต็มไปด้วยความสงสาร
“ท่านกลับมาแล้วหรือ” นางอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนเขา ขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิท “มีเื่อันใดให้พูดกับเสด็จอาหรือ? ”
“พูดถึงเื่ที่เกิดใน่สิบปีที่ผ่านมานี้ ทั้งยังคุยไปถึงเื่ของหลิงเยว่เซวียนด้วย”เขากุมมือนางเบาๆ กระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของสตรีในอ้อมแขนแข็งเกร็งขึ้นมาเล็กน้อยเขาจึงช่วยลูบหลังนางเบาๆ อย่างอ่อนโยน
“เสด็จอาสะใภ้ผู้นั้นได้เสด็จอาข้าช่วยขึ้นมาจากริมแม่น้ำเมื่อสิบแปดปีที่แล้วตอนนั้น บนร่างนางมีาแมากมาย อีกทั้ง ที่หน้าอกยังโดนไปหนึ่งกระบี่ ทว่า หากคมกระบี่นั้นเบนออกไปอีกหน่อยก็ไม่แน่ว่านางอาจไม่รอดหลังจากพาคนมาได้แล้ว เสด็จอาก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยชีวิตนาง ถึงแม้อาการจะคงที่แล้วแต่คนกลับสลบไปถึงสามเดือน เมื่อฟื้นขึ้นมา นางก็ลืมเลือนทุกอย่าง จำไม่ได้กระทั่งชื่อของตนเองไม่รู้ว่าบิดามารดาเป็ใคร ญาติเป็ใคร”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินมาถึงตรงนี้ ทั่วทั้งร่างก็สั่นสะท้าน ข้างหัวใจโดนกระบี่แทงหึหึ รายละเอียดเหล่านี้เหมือนกับทุกอย่างที่จวินเหยียนสืบมาได้ ตอนนั้นมารดาของอวิ๋นซีเองก็ถูกกระบี่แทงบนเรือ สุดท้ายจึงตัดสินใจะโแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย
ส่วนหลิงเยว่เซวียนนั้นโดนกระบี่แทง จากนั้นก็ถูกคนช่วยไว้ที่ริมแม่น้ำ ด้วยเื่นี้แสดงให้เห็นแล้วว่าหลิงเยว่เซวียนก็คือมารดาผู้น่าสงสารผู้นั้นของนาง มารดาที่ในความทรงจำนางได้ตายไปนานแล้ว
อย่างไรก็ตาม การได้พบตัวมารดาอีกครั้ง เดิมก็ควรจะเป็เื่ที่น่ายินดีแต่ว่า ตอนนี้อวิ๋นซีกลับดีใจไม่ออก เพราะมารดาของนางลืมเลือนบิดาอวิ๋นชายคนรักลืมเลือนนางผู้เป็บุตรสาว อีกทั้ง มารดาของนางในยามนี้กลับมีท่าทีสนิทเสน่หากับชายอื่นอ่อนโยนรักใคร่กับชายอื่น
สิ่งเ่าั้เดิมทีควรจะเป็บิดาอวิ๋นซานที่ได้รับ แต่ตอนนี้ล้วนถูกชายอื่นยึดครองไปสิ้นแล้ว
“จวินเหยียน” นางกอดเขาแน่น น้ำตาไหลรินออกมาอย่างไม่อาจจะหักห้ามได้“ท่านว่า วันหน้า บิดาข้าควรทำเช่นไร? หลายปีมานี้ เขาไม่คิดแต่งงานใหม่เหตุผลเพราะในใจยังคงระลึกถึงเพียงมารดาข้า แต่ว่า สถานการณ์ในตอนนี้ตัวท่านเองก็ได้เห็นแล้วมารดาข้า นางลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง พวกเราพ่อลูกล้วนถูกนางลืมไปแล้ว”
โอวหยางจวินเหยียนมองดูนางร้องไห้ ในใจก็ปรากฏร่องรอยสั่นไหวอยู่หลายส่วนเขาพูดเสียงเบา “อาซี ทุกอย่างเป็ไปตามธรรมชาติบางที์คงจะเตรียมการไว้นานแล้ว ไม่แน่ ในที่ไม่ห่างไกลอาจยังมีสตรีที่รักใคร่ท่านพ่อตาอย่างแท้จริงรอคอยเขาอยู่”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็พยักหน้า ถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้ แต่ในใจนางก็ยังคงทรมาน
ตอนนี้นางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงจริงๆ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมารดาที่เคยถูกทำร้ายจนสุดท้ายถูกบีบคั้นให้ต้องะโแม่น้ำฆ่าตัวตาย แล้วตอนนี้นางควรจะพูดเช่นไร?ตัวนางเองเป็หมอย่อมรู้ดีว่า ในกรณีที่สมองของคนผู้หนึ่งไม่ได้ถูกทำลายแต่เลือกที่จะลืมเลือนเื่ราวต่างๆ นั่นจักต้องเป็เพราะเื่บางเื่ที่เกิดขึ้นในอดีตทำให้คนรู้สึกไม่ดี หรืออาจถึงขั้นหวาดกลัว อวิ๋นซีไม่กล้าคิดหรือคาดเดาว่า วันคืนบนเรือลำนั้นเกิดเื่ใดขึ้นกับมารดานางกันแน่เพราะเื่เก่าๆ เ่าั้ แม้แต่จวินเหยียนเองก็ยังสืบหาได้ไม่แน่ชัด เขารู้เพียงว่าตอนนั้นมารดานางได้รับาเ็ ก่อนจะะโลงแม่น้ำไป
ยิ่งกว่านั้น ยามนี้เมื่อได้เห็นหลิงเยว่เซวียนใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมีสามีที่รักใคร่พร้อมบุตรชายอีกคนหนึ่ง นางก็รู้ดีว่าตนเองไม่ควรจะไปรบกวนอีกฝ่าย “จวินเหยียน พรุ่งนี้พวกเราไปจากที่นี่เถิด”
หลิงเยว่เซวียนผู้นี้ นางจะทำเป็ไม่เคยพบ
ถึงแม้จะรู้ว่าการทำเช่นนี้ก็เหมือนเป็การหลบหนี ทว่าอวิ๋นซีที่ในใจสับสนวุ่นวายนอกจากหลบหนีแล้วก็ไม่รู้ว่าตนจะยังทำอันใดได้อีก
เมื่อจวินเหยียนได้ยินแล้วก็จุมพิตไรผมนาง จากนั้นก็อืมเบาๆ ไปเสียงหนึ่ง“ได้ พรุ่งนี้พวกเราไปจากที่นี่กัน”
เขาาถอนใจอย่างไร้สุ้มเสียง ด้วยหวังว่า ์จะเมตตาอวิ๋นซานเหมือนที่เมตตาเขาโอวหยางจวินเหยียนส่งอาซีมาอยู่ข้างกายเขา
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน(不是一家人,不进一家门)หมายถึง คนที่เป็ญาติกัน อยู่ด้วยกัน ก็จะทำอะไรเหมือนๆกัน คล้ายกัน ความคิดความอ่านเหมือนกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้