ราชครูนั้นเก่งเื่การทำนายดวงชะตานัก
สิ่งนี้คือรากฐานของตระกูลจ้ง
แน่นอนว่าการทำนายดวงชะตาก็มีข้อจำกัดอยู่บ้าง คือการทำนายดวงชะตาให้ตัวเอง หรือคนใกล้ชิดนั้นมักจะทำนายได้ไม่แม่นยำนัก
ทำได้เพียงทำนายคร่าวๆ เท่านั้น
ยามราชครูทำนายให้ตัวเองก็เป็เช่นนั้น เขารู้แค่ว่าทางรอดของตัวเองนั้นอยู่ทางทิศพายัพ ทว่าสถานที่จริงๆ นั้นคือที่ใด เขาก็ไม่แน่ใจนัก
ทว่าเขาก็ยังมั่นใจในความสามารถของตน
บัดนี้เขาจึงต้องมาปีนขึ้นหลังเ้าสีนิลอย่างยากลำบาก ขาที่เขาประสานกระดูกให้ต่อกันอย่างยากลำบากนั้น คราวนี้ก็รู้สึกเหมือนว่ามันจะหักอีกแล้ว
หน้าผากขายชายชรามีเหงื่อผุดขึ้นด้วยความเ็ป
แต่เมื่อเขาได้ขึ้นมานั่งบนหลังม้าแล้วกินเนื้อแห้งนั้น ตาทั้งสองของชายชราก็พลันปรือลงราวกับกำลังเมามายไปกับอาหารรสเลิศในมือ
เขานั้นแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยจะสนใจเื่อาหาร
ั้แ่เกิดมาเขาก็นับว่าสนใจอะไรน้อยนัก
จะสนใจก็แต่เื่การศึกษา และการเขียนตำราเพื่อการศึกษา
สืบทอดเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ เพื่อจะได้กลายมาเป็ราชครูแห่งแคว้นเชิน
เส้นทางชีวิตของเขานั้นล้วนแล้วแต่วางแผนมาดีแล้ว ทว่าบัดนี้มันกลับยุ่งเหยิงไปหมด
ชายชรานั่งอยู่บนหลังม้า กัดเนื้อแห้งในมือตน ค่อยๆ ลิ้มรสชาติของเนื้อแห้ง เนื้อแห้งนี่อร่อยกว่าเ้าหมั่นโถวแข็งกระด้างนั้นมากโข
ลายบนเนื้อแห้งนั้นถูกชายชราบดเคี้ยวจนละเอียด รสชาติของมันซาบซ่านในปากของเขาอย่างไม่รู้จบสิ้น กลิ่นของเครื่องเทศอย่างน้อยแปดชนิดแม้จะอวลนักแต่ก็มิอาจบดบังความหอมมันของเนื้อได้
ทว่าเขานั้นกลับแยกแยะไม่ได้ว่าเนื้อที่กินอยู่นั้นเป็เนื้ออะไร
รู้สึกเพียงว่าเมื่อกินหมดชิ้น ร่างกายก็พลันมีแรงขึ้นมา
แม้จะเป็เพียงชิ้นเล็กๆ ทั้งเ้าเด็กนั่นยังกินไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทันใดเขาก็พลันรู้สึกว่าร่างกายตนนั้นร้อนขึ้น
คาดว่าคงเพราะแสงแดดกระมัง
ยามร่างกายได้อาบแสงตะวัน ก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา
จวบจนเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่บนพื้น เมื่อลองขยับมือจับสิ่งของดู มือก็ััเข้ากับกระดูกท่อนหนึ่ง
เขาใจนพลันกระถดตัวไปด้านหลัง เมื่อคว้าไม้ได้ท่อนหนึ่งก็คิดจะพยุงกายลุกขึ้นหนี ทว่าสิ่งที่อยู่ในมือเขานั้นกลับให้ความรู้สึกเย็นๆ แข็งๆ ชายชรารู้สึกว่าไม่ชอบมาพากล จึงได้หันไปมองทีหนึ่ง ทันใดเขาก็พลันขนหัวลุกชัน รีบปล่อยมือทันที
แม้เขาจะเคยทำเื่ไสยศาสตร์ ทั้งยังเคยเห็นคนตายมาแล้ว
ทว่าในมือเขาเมื่อครู่มันคือกระดูกขาท่อนใหญ่ท่อนหนึ่ง
เขาจ้องดูกระดูกท่อนนั้นอีกทีหนึ่ง ทั้งร่างพลันสั่นเทิ้ม หรือบัดนี้เขานั้นจะตกลงมาอยู่ในนรกเสียแล้ว
เขานั่งพิงูเากระดูกกองหนึ่งที่ก่อขึ้นจากกระดูกจริงๆ
แม้้าูเานั้นจะมีผ้าหลากสีคลุมอยู่ ทว่ากระดูกพวกนั้นมีทั้งกระดูกมือ กระดูกเท้า กระทั่งซี่โครงก็ยังมี......
ที่นี่ต้องฝังคนไปมากเท่าใดกัน จึงมีกระดูกกองสูงราวกับูเาเช่นนี้
“อาโย่ว นี่คือคนที่เ้าเก็บกลับมารึ”
ราชครูขณะที่กำลังขวัญผวาอยู่นั้นก็เห็นว่าข้างกายตนนั้นเพิ่งจะมีคนมาเพิ่มอีกกลุ่มหนึ่ง
อีกทั้งยังมีชีวิตอยู่อีกด้วย
กระทั่งแม่หนูคนนั้นก็อยู่เช่นกัน
เห็นเช่นนั้นเขาก็พลันผ่อนลมหายใจออกมาทีหนึ่ง
ทว่าเมื่อเขาตั้งใจกวาดสายตามองคนที่ยืนอยู่รอบๆ ลมหายใจที่ยังไม่ทันได้ผ่อนออกมาเต็มที่นั้นก็พลันต้องหายใจเฮือกอีกครั้ง
ชายคนที่กำลังพูดอยู่นั้น มีขาเพียงข้างเดียว ส่วนขาอีกข้างนั้นเป็เพียงไม้ท่อนหนึ่ง
ซ้ำคนที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นก็มีแขนเพียงข้างเดียว
คนที่ยืนอีกด้านหนึ่งก็มีตาเพียงข้างเดียว
ยังมีชายอีกคนที่ริมฝีปากนั้นดูเหมือนแหว่งเว้าเข้าไปครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลืออีกด้านก็ดูเผยออกดูแล้วสยดสยอง
คนตรงหน้าเขานั้นยกเว้นเด็กหญิงแล้ว ก็ดูไม่มีใครปกติอีก
เขาอดไม่ได้ที่จะเอนหลังพิงอีกครั้ง เขาถึงขั้นยกมือขึ้นจับกระดูกที่ตนเพิ่งปล่อยมือทิ้งไปเมื่อครู่
จากนั้นจึงได้ยินชายตาเดียวนั้นหัวเราะขึ้น “ต้าโกว ตาแก่นี้เอาแต่จับกระดูกขาท่อนนั้นของเ้าอยู่ได้ ดูท่าคงจะเป็ห่วงเ้ามาก”
หากราชครูเป็แม่นางน้อย บัดนี้คงจะกรีดร้องแล้วปล่อยกระดูกท่อนนั้นเป็แน่
ทว่าเขาไม่ใช่แม่นางน้อย เป็เพียงชายแก่คนหนึ่ง
ดังนั้นเขาจึงได้แต่จับกระดูกท่อนนั้นแน่น เผื่อว่ามันจะสามารถใช้ป้องกันตัวได้บ้าง
ร่างกายของราชครูความจริงแล้วอ่อนแอนัก ตระกูลจ้งของเขานั้นมีแต่ยอดบัณฑิต ทุกคนล้วนชอบการร่ำเรียนไม่ชอบใช้แรง ดังนั้นร่างกายจึงไม่ค่อยแข็งแรง
ไม่เช่นนั้น ชีวิตเขาก็คงจะมีเส้นทางชีวิตชัดเจนเช่นนี้ ทั้งชีวิตเขาก็คงจะไม่ได้มีค่าดั่งทองเช่นนี้ ทว่าชีวิตเขาก็คงจะไม่ตกต่ำจนชีวิตของขอทานนั้นยังจะดีกว่าชีวิตเขาเช่นนี้เหมือนกัน
“ท่านลุงหยู อย่าทำให้เขาใสิ เขาบอกว่าเขารู้หนังสือ ข้าเลยเชิญเขามาเป็ท่านอาจารย์ หากท่านแกล้งจนเขาใตาย ข้าก็ต้องไปหาอาจารย์คนใหม่อีกนะ”
ชายฉกรรจ์พากันหัวเราะลั่น
เหล่าชายที่ยืนอยู่นั้นคือเหล่าคนที่รอดชีวิตจากการต่อสู้กับหมู่บ้านไป๋หู่ หากว่าอยู่ในยุคของนายท่านใหญ่นั้น พวกเขาก็คงจะถูกนำไปทิ้งไว้ในถ้ำเชลยให้อยู่ไม่สู้ตายอย่างแน่นอน
ทว่าบัดนี้นั้นเป็ยุคของนายท่านสาม พวกเขานั้นจึงยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ร่างกายนั้นไม่คล่องแคล่วนักจึงไม่ได้ลงจากเขาไปทำงาน ได้แต่ทำงานที่ไม่ต้องใช้แรงมากบนเขา
อย่ามองว่าพวกเขานั้นเป็คนไม่สมประกอบ เพราะหากว่าถึงคราวสู้ย่อมสู้จนตัวตาย ให้ต่อยตีกับคนธรรมดานั้นก็ยังไม่มีปัญหา เรี่ยวแรงสำหรับการต่อสู้นั้นยังเหลือล้นนัก
“พวกเ้าอย่าเข้ามานะ” ราชครูกำกระดูกท่อนเดิมแน่น แล้วโบกสะเปะสะปะไปมา
จากนั้นจึงได้ยินเสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงดังขึ้น “ท่านมิต้องกลัวไป ท่านลุงท่านอาเพียงแกล้งท่านเล่นเท่านั้น บนเขานี้พวกเราเคารพท่านอาจารย์ที่รู้หนังสือที่สุดแล้ว ทุกมื้อล้วนมีเนื้อให้กิน”
ราชครูจ้งฟางได้ยินเด็กหญิงปลอบตนเช่นนั้น ก็ราวกับเืในกายตนนั้นแทบจะเอ่อขึ้นมาถึงปาก
ตรงหน้าเขานั้นมีกระดูกขาวอยู่กองหนึ่ง ไกลๆ ยังมีบ้านเรือนอยู่ ข้างเรือนนั้นมีแปลงผัก
ดูแล้วก็เหมือนกำลังเดินเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“อาโย่ว อาจารย์ที่เ้าเชิญมาเล่า” น้ำเสียงหวานหูถามขึ้น
“น้าหลัว เขาอยู่ทางนี้”
เสียงหัวเราะครืนพลันดังขึ้นอีกครั้ง
ราชครูที่นั่งอยู่บนพื้นก็เห็นหน้าคนที่กำลังกล่าวอยู่เช่นกัน
เพียงเห็นแวบแรก ชายชราก็พลันสูดลมหายใจ
เขานั้นพยากรณ์ลักษณะบุคคลได้
แม้ตอนนี้เขาจะถูกไล่ล่าราวกับสุนัขตัวหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังเป็คนตระกูลจ้ง
ยามเขาพบเด็กหญิงที่ริมแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เขานั้นมองไม่เห็นทั้งอดีตและอนาคตของนาง
เมื่อเห็นกลุ่มคนพิกลพิการตรงหน้าเขาก็พลันใไปครู่หนึ่ง เพราะในความเห็นของเขานั้น คนพวกนี้ควรตายไปแล้ว ไม่ควรมีชีวิตอยู่อีก
ยามเขานั่งอยู่หน้าูเากระดูก เขายังคิดว่าตัวเองกำลังเห็นภาพลวงตาด้วยซ้ำ
เพียงแต่บัดนี้เขาเห็นว่าทุกคนนั้นกำลังหลีกทางให้กับร่างอรชรที่สวมชุดสีเมล็ดข้าวสารที่กำลังค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามา
สตรีนางนั้นสวมชุดธรรมดากับรองเท้าสีดำ ใบหน้าขาวผ่อง ผมดกดำ
ราชครูนั้นอาศัยอยู่ในวังหลวงมานาน นับแต่คนตระกูลจ้งของเขานั้นเมื่อได้รับเลือกให้เป็ราชครูก็ไม่สามารถแต่งงานได้อีก
ยามได้เป็ราชครูแล้ว ก็เพียงเลือกลูกศิษย์ที่มีสายเืตระกูลจ้งมาสั่งสอนบ่มเพาะั้แ่ยังเล็กสักคนหนึ่ง
ตัวเขาเองนั้นก็ถูกเลี้ยงดูสั่งสอนมาเช่นนี้
ยามยังเล็กเขาก็อาศัยอยู่ในวัง
ฝ่าานั้นไม่ว่าเื่จะเล็กใหญ่ก็ล้วนแต่ถามราชครู บางคืนฝันถึงเื่ร้าย ก็เรียกราชครูให้มาทำนายฝันในยามกลางดึก
หรือบางครั้งทอดพระเนตรต้นไม้แล้วไม่ถูกใจ ก็ตรัสเรียกราชครูมาหารือ
เหล่านางสนมในวังนั้น เขาล้วนคุ้นเคยเป็อย่างดี
ด้วยเพราะเหล่านางสนมเองบางคราก็มีเื่สงสัย ก็ล้วนแต่รอราชครูมาชี้แนะจึงจะดีกว่า
บัดนี้บนูเาสูงที่มีถนนกระดูกสีขาวทอดยาว รอบด้านมีบ้านเรือนหน้าตาธรรมดากับผักสีเขียวข้างเรือน ในกลางป่ากลางเขาเช่นนี้ เขาเพิ่งจะได้เห็นสตรีที่ราวกับสตรีสูงศักดิ์ในวังกำลังเดินมาทางตน
เขาพลันปล่อยกระดูกในมือลง
ก็ได้ยินเสียงแม่นางร่างอรชรถามตนอย่างใจดีว่า “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ราชครูลูบเคราของตนครู่หนึ่ง ก่อนที่ร่างชายชราบนพื้นนั้นจะยืดอกแล้วเปล่งเสียงขึ้น “จำจรจากสถาน ดัสกรพาลรีดไถ พัสถานบ่เสถียร อันตรธาน นมัสการองค์พระพาพ้นกรรม ว่าบุญส่งกรรมหนุนมา ณ ที่ ขอเมตตาอารีอย่าขับไส”
เหล่าคนด้านข้างที่ได้ยินชายชรากล่าวออกมาด้วยท่าทีมีอารยะ ก็สงสัยจนต้องเอ่ยถามเฉินโย่ว “เสี่ยวโย่ว ตาแก่นั่นพล่ามอะไรอยู่”
เฉินโย่วจึงอธิบาย “เขาพูดว่าเขาพบเข้ากับโจร จากนั้นก็โดนปล้นจนเกลี้ยง จากนั้นจึงได้อยู่ในสภาพเช่นนี้”
ใบหน้าชราของราชครูพลันเศร้าหมอง เอาเถิด ที่กล่าวมาก็มีความหมายเช่นนั้น
ทว่าก็พลันได้ยินชายขาด้วนะโขึ้นว่า “ตาแก่ เ้าโกหกแล้ว บริเวณร้อยลี้รอบนี้เป็เขตของค่ายพวกเรา จะมีโจรได้อย่างไร พวกข้าเคยปล้นใครเสียที่ไหน”
ราชครู “......”