“กินข้าว!”เย่จวินชิงรู้สึกว่าสมองของตนเองว่างเปล่าขาวโพลนโดยสิ้นเชิง รีบถอยไปตั้งหลักยังเก้าอี้นุ่มด้านข้างพอหยิบตะเกียบขึ้นมาได้ ก็พุ้ยข้าวคำโตเข้าปากอย่างไม่ลืมหูลืมตา ปฏิกิริยาของเย่จวินชิงทำให้รอยยิ้มบางๆผุดขึ้นที่มุมปากของเหยาโม่หว่าน
จวินชิง...ครึ่งชีวิตก่อนท่านเป็ฝ่ายปกป้องข้า อีกครึ่งชีวิตหลังจากนี้ ให้โม่หว่านได้คุ้มครองท่านบ้างเถิด
ยามอู่[1] ของวันต่อมา เหยาโม่หว่านอยู่ว่างๆ ไม่มีธุระเตรียมจะออกไปเดินเล่น แต่กลับพบหลิวสิ่งวิ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน
“พระสนมฟูเหรินใหญ่เข้าวังมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังพาคุณชายน้อยมาด้วย” หลิวสิ่งวางหูตาไว้คอยสอดส่องสถานการณ์ภายในจวนอัครเสนาบดีดังนั้นจึงได้รับข่าวนี้ทันทีที่โต้วเซียงหลันออกจากประตูจวน
“โต้วเซียงหลันมักจะทำอะไรสิ้นคิดเยี่ยงนี้เองอยากจะยืมมือเหยาซู่หลวนสังหารเหยาอวี้ แต่หารู้ไม่ว่าราชสำนักกับวังหลังล้วนมีความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนยิ่งถ้าบิดาถูกบีบคั้นจนสิ้นหนทาง ถึงขั้นยอมสละหมากอย่างเหยาซู่หลวนทิ้งไป ถึงเวลาคนที่เดือดร้อนไหนเลยจะมิใช่พวกนางสองแม่ลูก”เหยาโม่หว่านหัวเราะเยาะก่อนลุกขึ้น ท้องนิ้วกลมลูบไล้ไปบนลวดลายดอกกล้วยไม้ซึ่งปักอย่างประณีตที่ปลายแขนเสื้อประกายคมกล้าทอวาบออกมาจากก้นบึ้งดวงตา
“หวงกุ้ยเฟยจะทรงทำร้ายเหยาอวี้จริงๆหรือ นั่นคือบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ” หลิวสิ่งมองเหยาโม่หว่านด้วยสายตาหวาดวิตกสีหน้าตื่นตระหนกอย่างไม่ต้องสงสัย
“เหยาซู่หลวนไม่โง่หรอกน่านางย่อมไม่เสี่ยงกับเื่นี้ แต่ว่า... หลิวสิ่ง ทิงเยว่ พวกเ้าสองคนตามเปิ่นกงไปตำหนักหวาชิงไม่ว่าจะด้วยน้ำใจหรือเหตุผล เปิ่นกงควรไปเยี่ยมเยียนมารดาตามกฎหมายผู้นี้เสียหน่อย”เหยาโม่หว่านเยื้องย่างอย่างแช่มช้อยออกไปจากตำหนักกวานจวี แสงอาทิตย์อบอุ่นทาบไล้บนพวงแก้มงามพิลาสแต่กลับไม่อาจทะลุผ่านไปถึงหัวใจที่ถูกผนึกด้วยน้ำแข็งของนาง
ในตำหนักหวาชิงเหยาซู่หลวนตวัดหางตาเยียบเย็นไปที่เหยาอวี้ซึ่งยืนตัวสั่นอย่างขลาดกลัวอยู่ด้านข้างก่อนหันกลับมาออกคำสั่งกับไฉ่อิ๋ง
“ไฉ่อิ๋งเ้าพาคุณชายน้อยไปเล่นในอุทยานบุปผาเถิด” หลังจากเหยาอวี้ปลีกตัวออกไปแล้ว เหยาซู่หลวนค่อยหันมามองมารดาของตนเอง
“เหตุใดท่านแม่ต้องพาเขาเข้าวังมาด้วย?”เหยาซู่หลวนเอ่ยถามด้วยแววตางุนงง
“ยามอยู่ในจวนบิดาเ้าสั่งให้คนคอยเฝ้าจับตาอย่างใกล้ชิด แม่จึงหาโอกาสลงมือไม่ได้สักที ไม่สู้พาเข้าวังมาด้วยหาที่เหมาะๆ ผลักให้จมลงสู่ก้นทะเลสาบสักแห่ง หลังจากนั้นค่อยแจ้งกับบิดาเ้า ว่าเขาไม่ระวังตกน้ำตายไปเองต่อให้โมโหโทโสปานไหน บิดาเ้าย่อมไม่กล้าเข้ามาก่อความวุ่นวายถึงในวังหรอกกระมัง”โต้วเซียงหลันจิบชา พลางเอ่ยวาจาราวกับเป็เื่ง่ายดายยิ่ง
เหยาซู่หลวนจนด้วยวาจาหันไปมองโต้วเซียงหลันพลางถอนใจเฮือกอย่างระอาใจ “มารดาข้า ช่วยหยุดสร้างปัญหาจะได้หรือไม่ข้าอยู่ทางนี้ก็วุ่นวายจะแย่อยู่แล้ว ท่านยังอุตส่าห์คิดลูกไม้ตื้นๆ เยี่ยงนี้ออกมาได้”
“เ้ามาหาว่าแม่ก่อปัญหาได้อย่างไรทั้งหมดนี้มิใช่ว่าทำเพื่อเ้าหรอกหรือ ดูบิดาเ้าทำเข้าสิ วันๆ เอาแต่ประคบประหงมเ้าเืชั่วตัวนั้นนับวันยิ่งไม่เห็นความสำคัญของเ้าเข้าไปทุกที เมื่อเช้าหลังจากออกจากท้องพระโรงยังมาตำหนิเ้าต่อหน้าข้าว่ามิควรไปล่วงเกินเฉินเฟย ทำให้หวนเหิงถวายฎีกาฟ้องร้องเขาในท้องพระโรง ตนเองมีพิรุธให้ผู้อื่นจับผิดได้เกี่ยวข้องอันใดกับเ้า” โต้วเซียงหลันแค่นเสียงเยาะ เอ่ยวาจาอย่างขุ่นเคือง
“หวนเหิงถวายฎีกาฟ้องร้องบิดา?คิดไม่ถึงว่าเฉินเฟยจะว่องไวปานนี้” เหยาซู่หลวนมุ่นคิ้วขมวด แววตาเยียบเย็นแข็งกร้าวขึ้นเรื่อยๆ
“เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ปรกติเ้ากับนางก็เป็น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง [2]ตลอดมามิใช่หรือ คงมิใช่เพราะนางเห็นเ้าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็หวงกุ้ยเฟยจึงจงใจหาเื่หรอกนะ” โต้วเซียงหลันเห็นสีหน้าโกรธเกรี้ยวของบุตรสาว ก็เอ่ยถามด้วยความวิตกกังวล
“นี่คือผลงานของนังน้องสาวหน้าโง่ผู้นั้นน่ะสิไม่รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมาจึงไปผลักหวนไฉ่เอ๋อร์ตกจากศาลาลงไปในทะเลสาบ เกือบทำให้นางจมน้ำตายหากเปลี่ยนเป็ข้า คงไม่ยอมรามือง่ายๆ เหมือนกัน” เพียงแค่คิด ไฟโทสะของหยาซู่หลวนพลันลุกโชนเผาไหม้อยู่ในอก
“นังเด็กโง่ใจกล้าขนาดนี้ั้แ่เมื่อใด?”โต้วเซียงหลันมองหน้าบุตรสาวอย่างอึ้งงันไปชั่วขณะ หลังจากนั้นค่อยกล่าวต่อไป
...
เชิงอรรถ
[1]ยามอู่ หรือยามมะเมีย หมายถึง่เวลาระหว่าง 11.00-12.59 น.
[2]น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง หมายถึงต่างคนต่างอยู่ ไม่ข้องเกี่ยวกัน