“ไม่ได้เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับเ้าเลย รอแม่กลับไปก่อนจะต้องคุยกับบิดาเ้าให้รู้เื่ไยต้องให้เ้ามาแบกหม้อดำ [1]แทนผู้อื่นด้วย ไร้เหตุผลสิ้นดี!” โต้วเซียงหลันชักสีหน้ากล่าวอย่างเป็เดือดเป็แค้น
“ช่างเถิดถึงพูดไป ใช่ว่าผู้อื่นจะเชื่อ บิดามีแต่จะคิดว่าท่านจิตใจคับแคบ ฉวยโอกาสใส่ความเหยาโม่หว่านเพื่อกำจัดนางทิ้งเสียไม่ว่า”เหยาซู่หลวนรู้สึกปวดศีรษะจี๊ด นวดคลึงหน้าผากเบาๆ
“หนอยแน่นังเหยาโม่หว่าน หากรู้แต่แรกว่าจะมีวันนี้ ข้าคงจับกรอกพิษหงอนกระเรียนแดงสักชามส่งไปแดนปรโลกพร้อมกับมารดาแพศยาและนังเหยาโม่ซินเสียทีเดียว”ขณะที่โต้วเซียงหลันกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เหยาโม่หว่านก็เข้ามาในตำหนักหวาชิงอย่างเริงร่า
“หว่านเอ๋อร์คารวะแม่ใหญ่เมื่อครู่แม่ใหญ่กำลังเอ่ยถึงหงอนกระเรียนแดงอันใดหรือเ้าคะ?” ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในตำหนักเหยาโม่หว่านเห็นไฉ่อิ๋งพาเหยาอวี้ออกไปข้างนอก จึงสั่งให้หลิวสิ่งกับทิงเยว่ตามไปหลังจากนั้นก็หยุดอยู่นอกตำหนักครู่หนึ่งถึงเดินเข้ามา
“จะ...เ้ามาถึงนานแค่ไหนแล้ว?”โต้วเซียงหลันมองเหยาโม่หว่านที่เดินเข้ามาอย่างแช่มช้อยด้วยสีหน้าตกตะลึง รีบเอ่ยถามอย่างร้อนตัว
“เพิ่งมาเ้าค่ะแต่ได้ยินแม่ใหญ่พูดถึงหงอนกระเรียนแดงอะไรสักอย่าง ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถึงท่านแม่ของโม่หว่านด้วยพวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?” เหยาโม่หว่านกะพริบตาปริบๆ ริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มอย่างงดงามไร้เดียงสา
“มิใช่กงการอันใดของเ้าไม่ถูกตีสองสามวันก็เลยครั่นเนื้อครั่นตัวหรือไร...” ขณะที่โต้วเซียงหลันคิดจะสั่งสอนเหยาโม่หว่านให้หนักแต่กลับถูกเหยาซู่หลวนปรามไว้
“ไม่มีอะไรแค่คุยเื่สัพเพเหระทั่วไปน่ะ ท่านแม่ ตอนนี้หว่านเอ๋อร์ของเราไม่เป็รองผู้อื่นแล้วแม้แต่ฝ่าายังต้องตามใจนางสารพัด” เหยาซู่หลวนขยิบตาเป็สัญญาณเตือนมารดาของตนเองเหยาโม่หว่านในยามนี้ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป จะทุบตีมิได้เป็อันขาด โต้วเซียงหลันพลันตระหนักถึงสถานะของเหยาโม่หว่านได้ทันทีแอบลอบถอนใจแทบไม่ทัน เคราะห์ดีที่ฝ่ามือของตนเองไม่ไวเกินไปนัก
“อื้มฝ่าาทรงดีมาก รักโม่หว่านเหมือนท่านแม่เปี๊ยบเลย ยังตรัสว่าหากผู้ใดกล้ามารังแกโม่หว่านก็จะตัดนิ้วหัวแม่มือของคนผู้นั้นอีกด้วย” พอเห็นโต้วเซียงหลันชักสีหน้ารังเกียจ เหยาโม่หว่านก็รู้สึกะเืใจนึกถึงชีวิตก่อนหน้านี้ของน้องสาว คงต้องกินฝ่ามือของหญิงใจร้ายผู้นี้ไปไม่น้อย วันเวลายังอีกยาวไกลตนเองยังมีเวลาเล่นสนุกกับพวกนางอีกมากนัก โต้วเซียงหลันได้ยินเช่นนั้นก็หดมือกลับเข้าไปซุกใต้แขนเสื้อโดยไม่รู้ตัวใบหน้ากลายเป็สีม่วงคล้ำ อับจนถ้อยคำจะตอบโต้
“โม่หว่านเ้ามาได้อย่างไร”เหยาซู่หลวนพยายามข่มกลั้นอารมณ์ เอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหว่าน นับั้แ่กลับจากตำหนักกวานจวีย่อมตระหนักได้ว่าเพลานี้ตนเองไม่อาจล่วงเกินหญิงโง่งม ได้แต่ต้องรอไปจนกว่าฝ่าาจะเล่นจนเบื่อถึงเวลานั้นความตายของเหยาโม่หว่านย่อมจะมาถึงเช่นเดียวกัน
“ทิงเยว่เพิ่งมาบอกเมื่อครู่โม่หว่านไม่ได้พบแม่ใหญ่มานานแล้ว รู้สึกคิดถึงมาก...” เหยาโม่หว่านทอยิ้มจนดวงตาตีเป็วงโค้งแต่กลับทำให้โต้วเซียงหลันรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเอง
“เ้าเนี่ยนะคิดถึงข้า...”โต้วเซียงหลันพึมพำ ก่อนแค่นเสียงเยาะ
“แม่ใหญ่พูดอันใดเ้าคะโม่หว่านไม่ได้ยินเลย” เหยาโม่หว่านเดินผ่านเหยาซู่หวนตรงเข้าหาโต้วเซียงหลัน แต่กลับทำให้อีกฝ่ายใถอยหลังกรูดความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเหยาโม่หว่านหาใช่คนเขลาเบาปัญญา ถึงแม้ตนเองจะมีเหยาซู่หลวนคอยปกป้องก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัยเสมอไป
“มะ...ไม่มีอะไร”โต้วเซียงหลันพยายามกลบเกลื่อน ระหว่างนั้นทั้งเหยาซู่หลวนและโต้วเซียงหลันคอยเตือนเหยาโม่หว่านทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าเหยาโม่หว่านหาใช่แขกที่พวกนางอยากจะต้อนรับขับสู้แต่เหยาโม่หว่านก็ยังคงรั้งอยู่ตำหนักหวาชิงจนกระทั่งถึงยามโหย่ว [2] ถึงยืดเอวบิดี้เีเดินออกไปจากประตูตำหนัก
“นังแพศยาน้อยไปได้เสียทีไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฝ่าาโปรดนางเข้าไปได้อย่างไร” โต้วเซียงหลันระบายลมหายใจอย่างแรงก่อนบ่นพึมพำเสียงอ่อย
“อย่าหาว่าลูกไม่เตือนเลย่นี้ฝ่าาทรงปกป้องนางยิ่ง หากไม่มีกิจอันใดอย่าไปหาเื่ใส่ตัวจะดีกว่า เพราะถ้าทำให้ฝ่าาขุ่นเคืองพระทัยลูกคงไม่มีปัญญาช่วยเหลือได้” เหยาซู่หลวนกล่าวเตือน
“ได้เดิมทียังคิดจะให้เ้าช่วยจัดการกับสายเืชั้นต่ำอย่างเหยาอวี้เสียหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาดูสีหน้านังเหยาโม่หว่านอยู่เป็ครึ่งค่อนวันเวลาไม่เช้าแล้ว เ้าให้คนไปตามพวกไฉ่อิ๋งกลับมาเถิด ข้ากลับก่อนก็ได้” โต้วเซียงหลันคับแค้นแน่นอกเอ่ยวาจากระแทกกระทั้นอย่างไม่สบอารมณ์
...
เชิงอรรถ
[1]แบกหม้อดำ หมายถึงตกเป็ผู้แบกรับความผิดแทนผู้อื่น มีความหมายเหมือนแพะรับบาป
[2]ยามโหย่ว หรือยามระกา หมายถึง่เวลาระหว่าง 17.00-18.59 น.