ทันทีที่ประตูตำหนักกวานจวีปิดลง หวนไฉ่เอ๋อร์ก็แสดงท่ากระฟัดกระเฟียดเข้าไปขวางหน้าเหยาซู่หลวน
“พวกเ้าสองพี่น้องช่างแสดงละครเก่งเหลือเกิน”
“เฉินเฟยหมายความว่าอย่างไร?หรือเ้าระแวงว่าเปิ่นกง...จะสมรู้ร่วมคิดกับเหยาเฟย?” จู่ ๆเหยาซู่หลวนก็รู้สึกราวกับเป็คนใบ้กินหวงเหลียน [1] นางปรารถนาจะเห็นความตายของเหยาโม่หว่านยิ่งกว่าหวนไฉ่เอ๋อร์เสียดายที่ไม่มีใครเชื่อ
“ไม่ใช่ระแวง แต่มั่นใจเชียวล่ะเหยาซู่หลวน เ้าแน่มาก! หากเก่งกล้านักก็มาสู้กับเปิ่นกงโดยตรงเลยซีไยต้องใช้เด็กโง่งมคนหนึ่งมารับคมมีดแทนด้วยเล่า”หวนไฉ่เอ๋อร์ถือว่าหวนเหิงบิดาตนมีอำนาจกุมกำลังทหารถึงไม่เคยวางตัวสำรวมกิริยาในวังหลังแห่งนี้ยิ่งตนเองเป็ฝ่ายได้รับความไม่เป็ธรรมด้วยแล้ว ไหนเลยจะยอมเลิกแล้วต่อกันโดยดี
“เฉินเฟย เ้าอย่าลืมสิว่าเปิ่นกงเป็หวงกุ้ยเฟย ระวังกิริยาวาจาของตนเองด้วย”ปรกติแล้วเหยาซู่หลวนไม่เคยใช้วาจาทิ่มแทงทำนองนี้ แต่ในยามเข้าตาจนย่อมไม่ยอมอ่อนข้อเช่นเดียวกัน ดีชั่วอย่างไรบิดาของนางก็เป็ถึงอัครเสนาบดีอีกทั้งตำแหน่งฐานะของตนเองยังอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย
“เปิ่นกงแสดงออกแค่นี้ก็นับว่าดีมากแล้วเหยาซู่หลวน เื่นี้ไม่จบง่าย ๆ เมื่อมิอาจทวงถามความเป็ธรรมกับฝ่าาเปิ่นกงก็จะหาวิธีคืนความยุติธรรมให้กับตนเอง จื่อซวง พวกเรากลับ!”หวนไฉ่เอ๋อร์ไม่รอฟังคำแก้ต่างของเหยาซู่หลวน สะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
“พระสนม เฉินเฟยโอหังถึงเพียงนี้ไยท่านถึงต้องยอมนางด้วยเล่า?” พอเห็นหวนไฉ่เอ๋อร์ทำท่ากระฟัดกระเฟียดเดินจากไปไฉ่อิ๋งก็ถามขึ้นอย่างนึกฉงน
“เช่นนั้นจะให้ทำอย่างไรฝ่าายังประทับอยู่ในนั้น จะให้ข้าบ้าบอเหมือนกับนางหรือไรแค่ตัวตลกที่เก่งแต่เต้นแร้งเต้นกาหน้าฉากคนหนึ่ง ก่อความวุ่นวายไม่ได้มากนักหรอกตรงข้ามกับฝ่าา ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพระองค์ทรงคิดสิ่งใดอยู่ถึงได้โปรดปรานนังเหยาโม่หว่านมากนัก เห็นอยู่ว่าเป็เพียงแค่คนเขลาคนหนึ่งแต่พระองค์กลับทำราวกับเห็นนางเป็ของล้ำค่า”สายตาเยียบเย็นกวาดมองไปที่ผ้าพันแผลบนมือของตน ความคับแค้นแทบจะพุ่งออกมาจากอก
ภายในห้องโถงด้านในเย่หงอี้ประคองเหยาโม่หว่านมายังโต๊ะกินข้าวอย่างทะนุถนอมรักใคร่ก่อนปรายตามายังเย่จวินชิงที่ยังคงอยู่ที่นั่น
“จวินชิงนั่งลงสิ” ขณะที่เย่หงอี้เพิ่งจะเอ่ยปากอันปิ่งซานก็วิ่งจากด้านนอกเข้ามากระซิบข้างหู เสียงของอีกฝ่ายเบามากแม้ว่าเหยาโม่หว่านพยายามตั้งใจฟังอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียว
“หว่านเอ๋อร์ เจิ้นมีธุระคืนนี้คงไม่ได้มาอยู่เป็เพื่อนเ้าแล้ว แต่วางใจเถิดเื่เ้าปุกปุยเจิ้นรับปากจะช่วยคุ้มครองชีวิตมัน ไม่มีใครกล้าแตะต้องมันแน่เ้าต้องทำตัวเป็ผู้ใหญ่ใจกว้างไม่ถือสาเอาความกับผู้น้อยให้อภัยซู่ชินหวางสักคราเถิด หากเ้าไม่ยอมให้เขากินข้าวที่นี่เกรงว่าผู้อื่นคงจะหิวตายแน่ ๆ”เย่หงอี้หยิกแก้มหยอกเย้าราวกับกำลังประเล้าประโลมเด็กน้อย
“งั้น...ก็ได้เพคะหว่านเอ๋อร์เชื่อฟังฝ่าา” เหยาโม่หว่านลังเลอยู่นาน ก่อนผงกศีรษะอย่างฝืนใจ
“เด็กดี งั้นเจิ้นไปก่อนล่ะกินข้าวเยอะ ๆ พรุ่งนี้เจิ้นจะมาหาเ้าใหม่” เย่หงอี้แทบจะตัดอาลัยไม่ขาดแต่จำต้องหมุนตัวออกไปจากตำหนักกวานจวี
รอจนเย่หงอี้เดินไปไกลแล้วเย่จวินชิงจึงค่อยนั่งลงที่โต๊ะอย่างไม่เกรงใจ ย่นจมูกมองเหยาโม่หว่านอย่างดูแคลน
“เสแสร้งได้แเีนัก”
“หวางเยี่ยชมเกินไปแล้ว” เหยาโม่หว่านเอ่ยวาจาอย่างไม่อนาทรร้อนใจเอื้อมมือไปหยิบตะเกียบไผ่ม่วงที่แกะสลักเป็ลายบุปผาขึ้นมาคีบเนื้อปลาใส่ชามชิ้นหนึ่งแล้วค่อย ๆ ลิ้มรสอย่างประณีตในท่วงท่าสง่างาม อาจเป็เพราะอารมณ์ดีเหยาโม่หว่านจึงรู้สึกว่าอาหารในค่ำคืนนี้ช่างถูกปากยิ่ง นางเชื่อว่าจากเหตุการณ์ในครานี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหวนไฉ่เอ๋อร์กับเหยาซู่หลวนเกิดความระหองระแหงยังทำให้มิตรภาพระหว่างบิดาของตนกับแม่ทัพฝ่ายซ้ายหวนเหิงย่ำแย่ลงอีกด้วยละครสนุกกำลังจะเบิกโรงแล้ว น่าดูชมเสียนี่กระไร
“เปิ่นหวางไม่ได้คิดชื่นชมเ้าเสียหน่อยฟังไม่ออกหรือไร?” เย่จวินชิงค้านขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่หรอกหรือ?เช่นนั้นทรงหมายความว่าอย่างไรเล่า”ดวงหน้าน้อยยื่นเข้ามามองเย่จวินชิงอย่างใสซื่อ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาทว่ากลับไม่สูญเสียความสุขุมงดงาม
ใบหน้าของทั้งสองใกล้ชิดกันมากจนเย่จวินชิงแทบจะนับจำนวนเส้นขนตาของนาง รวมถึงััลมหายใจอุ่น ๆ ที่ราดรดลงมาบนใบหน้าของตนเองได้กลิ่นกายหอมอ่อน ๆ อันเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัวของหญิงสาวชวนให้เคลิบเคลิ้มหวั่นไหวได้โดยง่าย
...
เชิงอรรถ
[1] คนใบ้กินหวงเหลียน อุปมาถึงความทุกข์ใจแต่ยากจะเอ่ยวาจาหวงเหลียนเป็สมุนไพรมีรสชาติขมมาก สามารถรับประทานแก้อาการร้อนในได้