หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ทุกคนก็กลับไปพักผ่อนในห้องของตนเอง เพื่อรอให้แดดร่มลมตกก่อนที่จะออกไปทำงานต่อ
บางทีอาจเป็เพราะเธอมีประจำเดือนครั้งแรกโดยมีสวี่จือจือเป็คนให้ความรู้ ทำให้ตอนนี้ลู่ซืออวี่ค่อนข้างจะติดสวี่จือจืออยู่บ้าง ถึงแม้จะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่กี่วัน แต่เธอก็ชอบพูดคุยกับพี่สะใภ้คนนี้
อีกฝ่ายไม่ได้ไร้เดียงสาอย่างที่ลู่หลิงซานพูด และไม่ได้ก้าวร้าวเอาแต่ใจอย่างที่คนภายนอกล่ำลือกัน อีกฝ่ายพูดจาอ่อนโยน
อ่อนโยนจนทำให้เด็กสาวที่ขาดความรักอย่างเธอชื่นชอบในทันที
“พี่สะใภ้คะ” ลู่ซืออวี่พูดเสียงเบา “บ่ายนี้ฉันขอไปทำงานกับพี่สะใภ้ด้วยได้ไหมคะ ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้ว”
หลังจากนอนพักมาทั้งเช้า เธอก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากแล้ว
“ได้สิ” สวี่จือจือคิดดูแล้ว การปล่อยให้อีกฝ่ายอยู่ที่บ้านแล้วโดนสองแม่ลูกใช้งาน ก็สู้ให้อีกฝ่ายตามไปที่ไร่ด้วยดีกว่า
อีกอย่าง เธออยากจะรู้เหมือนกันว่า ถ้าไม่มีลู่ซืออวี่ช่วยแล้ว ลู่หลิงซานจะทำอาหารเย็นได้ยังไง
“ถ้าอย่างนั้นตอนบ่ายเธอเอาไปเพิ่มอีกสองแผ่นนะ” สวี่จือจือพูดพลางยิ้ม “ซุปถั่วเขียวเธอห้ามกินนะ เดี๋ยวฉันชงน้ำตาลทรายแดงให้เธอไปกินด้วย”
ใบหน้าของลู่ซืออวี่แดงขึ้นมาในทันที โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่
เมื่อกลับถึงห้อง ลู่หลิงซานกำลังนอนหลับอยู่ ลู่ซืออวี่มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอนอีกฝั่ง
กระดาษชำระและผ้าอนามัยที่เธอวางไว้บนเตียงเตาก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
ลู่ซืออวี่รู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันที ของพวกนี้เป็ของที่พี่สะใภ้ให้มา ดูท่าทางแล้วคงจะแพง
เธออยากจะถามลู่หลิงซาน แต่ถ้าอีกฝ่ายโดนรบกวนตอนนอนหลับ ก็จะอารมณ์เสียมาก เมื่อคิดดูแล้ว สายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าสะพายข้าง
กระเป๋าสะพายข้างผ้าใบสีเขียวทหารเป็สัญลักษณ์ของยุคนี้ ถ้าใครสักคนใส่ชุดทหารสีเขียว หรือสะพายกระเป๋าทหารแบบนี้ ก็จะเป็คนที่โดดเด่นที่สุดในถนนเส้นนั้น
เมื่อก่อนเธอเคยมีเหมือนกัน ลู่จิ่งซานส่งกระเป๋ามาให้สองใบ เธอกับลู่หลิงซานคนละใบ แต่กระเป๋าของเธอโดนลู่หลิงซานทำหมึกหกใส่ ล้างไม่ออก เธอก็เลยไม่ได้สะพายอีก
เมื่อมองดูเวลาที่ใกล้จะถึงเวลาไปทำงานแล้ว ลู่หลิงซานกลับหลับสบายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเลยสักนิด
ลู่ซืออวี่กัดฟันลุกขึ้นจากเตียง แล้วเปิดกระเป๋าผ้าใบออก ก็เห็นผ้าอนามัยและกระดาษอนามัยของตัวเองอยู่ในนั้น
ดวงตาของเด็กสาวแดงก่ำขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อคิดดูแล้วก็เอาของพวกนั้นออกมาทั้งหมด
“พี่สะใภ้คะ” เธอพูดกับสวี่จือจือ “ของพวกนี้ ฉันขอฝากไว้กับพี่สะใภ้ก่อนได้ไหมคะ?”
“ได้สิ” สวี่จือจือไม่ได้ถามอะไร “เธอไปเปลี่ยนผ้าอนามัยก่อนนะ เดี๋ยวพี่ชายเธอไปเอาน้ำตาลทรายแดงให้แล้ว เดี๋ยวเราจะได้ไปทำงานกัน”
พี่ชายไปเอาน้ำตาลทรายแดงให้เหรอ?
ลู่ซืออวี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังไปทำตามอย่างว่าง่าย
เมื่อออกมาก็เห็นว่าลู่จิ่งซานรออยู่ตรงนั้นแล้วจริงๆ ในมือของเขายังถือตะกร้า มีขวดแก้วใบใหญ่สองใบอยู่ข้างใน ขวดหนึ่งเป็น้ำตาลทรายแดงที่เขาเอามาให้เธอ
“รีบไปเร็ว ไปสายเดี๋ยวหัวหน้ากองงานกจะด่าอีก” สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้ม
แต่่บ่ายสวี่จือจือก็โชคดี จับสลากได้ไปรดน้ำที่นาข้าวฝั่งตะวันตก น้ำถูกปล่อยมาจากฝายกั้นน้ำ ถ้าโชคดีก็อาจจะเจอปลาหรือปูตัวเล็กๆ บ้างก็ได้
“หัวหน้ากองงาน” เหอเสวี่ยฮวาเบะปาก “ไอ้การจับฉลากนี่มันมีอะไรแปลกๆ หรือเปล่า ทำไมถึงมีแต่หล่อนที่โชคดีแบบนี้ล่ะ?”
“มีอะไรแปลกๆ?” ลู่หรงฟาะโเสียงดัง “อะไร? หมายความว่าถ้าเธอจับไม่ได้ ก็คือมีปัญหาใช่ไหม?”
“เมื่อวันก่อนเธอโดนจับไปรดน้ำที่ไร่ข้าวโพด มันก็มีอะไรแปลกๆ ด้วยไหม? ถ้าเธอเก่งขนาดนั้น เธอก็มาเป็หัวหน้ากองงานเองสิ เอาไหม?” เขาพูดพลางเยาะเย้ย “มาสิ เธอมาเป็เลย”
“ฉันแค่พูดเล่นเฉยๆ เท่านั้นเอง” เหอเสวี่ยฮวาพูดพลางยิ้มแหยๆ “หัวหน้ากองงาน ทำไมถึงห้ามฉันพูดด้วยล่ะ?”
“มารดามันเถอะ” ลู่หรงฟาเริ่มด่า “อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ ถ้าเธอมีเวลาว่างขนาดนั้น ก็ได้”
“หลิวเหมียว เธอมานี่ มาเปลี่ยนกับหล่อน” ลู่หรงฟาจ้องเหอเสวี่ยฮวา “่บ่ายนี้เธอไปจับแมลง ส่วนเหอเสวี่ยฮวาไปล้างคอกหมู”
“อะไรนะ?” เหอเสวี่ยฮวาไม่พอใจ
ถึงแม้ว่าขี้หมูในคอกหมูจะถูกโกยไปแล้วใน่เช้า แต่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ กลิ่นตรงนั้นมันเหม็นมาก
ไม่มีใครอยากทำหรอก ทำไมถึงต้องเป็เธอด้วย เธอไม่ได้จับฉลากได้งานนี้นี่
“ก็เพราะฉันเป็หัวหน้ากองงาน” ลู่หรงฟาหน้ามืด “จะยืนงงกันอยู่ทำไม รีบไปทำงานได้แล้ว”
เหอเสวี่ยฮวา “!”
โมโหเหลือเกิน!
เธอจ้องสวี่จือจืออย่างเคียดแค้น ต้องโทษนังปีศาจนั่น
แต่คนหลังกลับเหมือนไม่รู้เื่อะไร ไม่ได้มองเธอเลยสักแวบ ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกับลู่จิ่งซานอยู่
น่ารังเกียจเสียจริง
จริงๆ แล้วการรดน้ำก็ไม่ได้ง่าย ต้องดูแลนาข้าวให้ทั่วถึง ต้องมั่นใจว่าน้ำไปถึงทุกที่ แถมยังห้ามให้น้ำแรงเกินไปจนคันดินพัง ต้องวิ่งไปมาหลายรอบ
แต่เื่รดน้ำก็ปล่อยให้เป็หน้าที่ของลู่จิ่งซานไป สวี่จือจือกลับพาลู่ซืออวี่ไปเล่นในไร่นา “บางทีเดี๋ยวฉันอาจจะจับปลาให้เราได้สักตัว”
สวี่จือจือพูดด้วยรอยยิ้มตาหยี ยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงดังขลุกขลัก มีปลาโง่ตัวหนึ่งกำลังดิ้นอยู่บนคันนา
“ปลา มีปลาจริงๆ ด้วย” ลู่ซืออวี่พูดอย่างตื่นเต้น
สวี่จือจือเอามือปิดปาก ปากนี้ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ใช่ไหม?
“เบาๆ หน่อยสิ” เธอรีบดึงลู่ซืออวี่ “อย่าให้ใครได้ยิน”
คนขี้อิจฉามีเยอะ ไม่ได้มีแค่บ้านตระกูลเหอเท่านั้น บ้านอื่นก็เป็เหมือนกัน เพราะยุคสมัยนี้ทุกคนกินไม่อิ่ม
“ลู่จิ่งซาน ดูสิ พวกเราจับปลาได้แล้ว” เมื่อลู่จิ่งซานเดินเข้ามา สวี่จือจือก็กำลังถือปลาอยู่ในมืออย่างดีใจ “คุณขุดหลุมให้นิดหน่อยแล้วเลี้ยงไว้ ตอนเย็นพวกเราจะกินซุปปลากัน”
ภรรยาตัวน้อยพูดอย่างตื่นเต้น เหมือนกำลังวางแผนจะทำอาหารอร่อยๆ สักมื้อ
ลู่จิ่งซานอดไม่ได้ที่จะมองเธออีกครั้ง
เขามองไปรอบๆ แล้วก็หาที่ขุดหลุมดึงน้ำมาใส่ สวี่จือจือโยนปลาลงไป น้ำยังคงขุ่นอยู่ แต่ปลาก็ว่ายน้ำอย่างสนุกสนานแล้ว
“ตัวมันเล็กไปหน่อย” สวี่จือจือส่ายหน้า ที่บ้านมีคนเยอะ คงจะได้แค่ซุปคนละนิดหน่อยเท่านั้น
“ผมปล่อยน้ำเสร็จแล้ว เดี๋ยวคุณไปเดินเล่นตรงนั้นกับซืออวี่นะ ผมจะไปดูแถวริมแม่น้ำ” ลู่จิ่งซานกำชับ
สวี่จือจือโบกมือ แล้วก็ดึงลู่ซืออวี่ “พวกเราไปดูทางนั้นกัน บางทีอาจจะได้ปู”
แต่ทั้งสองคนก็เดินวนไปมาในไร่นา ได้แค่ปลาตัวนั้น ไม่ได้อะไรอีกเลย เห็นลู่จิ่งซานถืออะไรบางอย่างเดินเข้ามาหาพวกเธอ พอใกล้เข้ามาหน่อย สวี่จือจือก็เห็นว่าในมือของคนคนนั้นถือปลามาสองตัว ตัวค่อนข้างใหญ่เสียด้วย
“คุณไปเอามาจากไหนน่ะ?” สวี่จือจือพูดอย่างตื่นเต้น บางทีอาจเป็เพราะตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้เท้าลื่นแล้วก็ถลาข้างหน้า
และทิศทางที่เธอล้มไป เป็ทางที่น้ำไหลลงมาพอดี
ถ้าตกลงไปล่ะก็ วันนี้เธอได้ขายหน้าแน่ๆ!
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้