ผู้ว่าการซูตกตะลึง ร่างกายของเขาดูเหมือนจะอ่อนแรงลงทันใด
‘เ้าเด็กนี่มาตอนไหนไม่มาแต่กลับมาตอนนี้ เป็การพบเจอกันที่ไม่น่าอภิรมย์เลยสักนิด เย่เช่ออยู่ที่จวนไม่ใช่หรือ? แล้วบุตรชายของข้าปลีกตัวมาที่นี่ได้อย่างไร?’ ผู้ว่าการซูครุ่นคิด
พูดง่ายๆ คือ เขากลัวจะถูกบุตรชายดุ
ผู้ว่าการซูไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับเล็กน้อยเท่านั้น
ซูเจินยิ้ม “ท่านพ่ออารมณ์ดีเสียจริง ดูเหมือนที่จวนจะมีท่านน้าเพิ่มอีกคนแล้ว”
ผู้ว่าการซูปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน ข้าเพียงมาผ่อนคลายความเมื่อยล้าเท่านั้น จะให้พวกนางไปอยู่ที่จวนได้อย่างไร?”
เมื่ออยู่ในที่สาธารณะซูเจินย่อมรู้วิธีรักษาภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบิดา แม้ว่าดวงตาดอกท้อของเขาจะเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน แต่เพราะดวงตาของเขางดงามมากจนผู้อื่นรู้สึกว่ากิริยาเช่นนี้ดูไม่ขัดตาเลย
ซูเจินกล่าวว่า “ท่านพ่อทำงานหนักมาทั้งวันแล้ว คงถึงเวลากลับจวนแล้วกระมัง ข้ายังมีธุระที่นี่ คงไม่ได้ส่งท่านพ่อกลับ เช่นนั้นเดินทางดีๆ ขอรับ”
ท่านผู้ว่าการซูหัวเราะครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่เป็ไร ไม่ลำบากเ้าหรอก ไปจัดการเื่ของเ้าเถิด พ่อจะกลับแล้ว”
บรรยากาศเช่นนี้ดูเหมือนบิดาที่รักบุตรชายและบุตรชายที่กตัญญูต่อบิดา
แต่ซูเจินกลับรู้สึกรังเกียจ
บางทีถ้าเขาเติบโตมาในตระกูลเสิ่น เขาอาจไม่เป็เช่นทุกวันนี้
ซูเจินครุ่นคิดพลางก้าวเท้าเข้าไปในหอจุ้ยฮวน คนเฝ้าประตูคุ้นเคยกับซูเจินเป็อย่างดี เขามักกล่าวทักทายและนำทางซูเจินอย่างมีมารยาท เมื่อเขาเห็นซูเจินก็ถามอย่างจริงจังว่า “วันนี้คุณชายซูจะไปพบแม่นางคนไหนเป็คนแรกขอรับ?”
ดวงตาดอกท้อของซูเจินทอประกายแวววาว เขาถามกลับว่า “น้องชาย ลองเดาสิว่าข้าจะไปพบใคร?”
คนเฝ้าประตูยิ้ม “ถ้าพูดถึงสาวๆ ในหอจุ้ยฮวน ข้าบอกได้เลยว่าแม่นางม่านอู่เป็คนโปรดของคุณชาย ข้าได้ยินแม่นางม่านอู่พูดถึงคุณชายเมื่อวานนี้ เช่นนั้นท่านคงมาพบนางกระมัง”
ซูเจินหยิบเศษเงินออกมาแล้วโยนใส่มือของอีกฝ่าย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าฉลาดมาก!”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็เดินเข้าไปด้านใน
นายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นได้รับแจ้งล่วงหน้าแล้วว่าซูเจินจะมาพบ นางจึงมานั่งรอที่ห้องโถง
หวังฉีอวิ๋นรู้ว่าซูเจินเป็บุตรชายของขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่สุดในหยงโจว ยิ่งไปกว่านั้น นางยังรู้ด้วยว่าอันที่จริงซูเจินเป็สตรี แต่แม่นางน้อยผู้นี้เปรียบได้กับปลาในน้ำ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ในหอจุ้ยฮวนแห่งนี้ เหล่าหญิงสาวแปดในสิบล้วนเชื่อฟังซูเจิน บางครั้งนางก็สงสัยว่าซูเจินใช้เล่ห์เหลี่ยมใดหลอกล่อให้พวกนางอยู่ในโอวาทเช่นนี้ได้ ในความคิดของนางอวิ๋นจื่อเป็คนที่เข้ากับคนอื่นได้ยากที่สุด แต่ซูเจินยังสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยแทบไม่ต้องออกแรงเลย อย่างไรก็ตาม คนอย่างซูเจินเข้าใจยากเกินไป แม้ว่านางจะรู้จักซูเจินมาหลายปี แต่นางก็ไม่สามารถเดาทางเขาได้เลย
‘ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่ต้องเจรจากับซูเจิน คนที่พ่ายแพ้ต้องเป็ข้าเสมอ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว’
นางนั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ ไม่นานซูเจินก็เดินเข้ามา
ดวงตาดอกท้อเต็มไปด้วยความสดใส รอยยิ้มบนใบหน้าอันไร้ที่ติดูเปล่งประกายเช่นเคย ซูเจินกล่าวทักทายเบาๆ ว่า
“นายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นสบายดีหรือไม่ขอรับ?”
หวังฉีอวิ๋นตอบว่า “ขอบคุณคุณชายที่ถามไถ่ ข้าก็สบายดีอย่างที่เคยเป็ เชิญคุณชายนั่งลงก่อนเถิด”
หลังจากแลกเปลี่ยนคำทักทายเล็กน้อยแล้ว พวกเขาก็ตรงเข้าประเด็นและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้า
เพราะต่างฝ่ายต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน การเจรจาจึงเป็ไปอย่างราบรื่น ในที่สุดซูเจินก็ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่านายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นมีความสัมพันธ์อันดีกับน้องสาวของข้า ข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองแล้ว โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ครั้งนี้ข้าจะยอมสละกำไรสองในสิบส่วน”
สองในสิบ?
นี่ถือเป็กำไรมหาศาล!
นายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นรู้สึกปลาบปลื้มมาก นางมองซูเจินที่กำลังเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม
หลังจากหลายปีที่ผ่านมาในที่สุดซูเจินก็ยอมลงให้นาง
หลังจากส่งแขกเสร็จเรียบร้อยแล้ว นายหญิงแห่งศาลาฉีอวิ๋นก็ยืนส่องกระจกอย่างอารมณ์ดี เมื่อมองดูเงาสะท้อนของตนเองที่อยู่ในวัยกลางคนแล้ว นางก็รู้สึกถึงความพิเศษและความสำเร็จ
ซูเจินไม่ได้ออกจากศาลาฉีอวิ๋นในทันที
เขาเดินตรงมายังห้องของม่านอู่
หากซูเจินมาที่หอจุ้ยฮวนก็ต้องมาพบม่านอู่ นี่เป็สิ่งที่ขาดไม่ได้
ซูเจินรู้ภูมิหลังของม่านอู่อยู่แล้ว เมื่อเข้ามาในห้องเขาก็เปิดปากพูดทันที “ข้าได้ยินมาว่ามีใครบางคนล้มป่วย เ้าคงเป็ห่วงเขาไม่น้อย”
ม่านอู่พยักหน้า “ใช่แล้ว แม้แต่เทพธิดาอวี้เหอก็ยังตื่นตระหนก อันที่จริงไม่มีใครไม่รู้เื่นี้ แต่ถึงข้าจะกังวลไปก็ไร้ประโยชน์ เ้ามีอะไรอยากจะพูดอีกหรือไม่?”
ซูเจินกล่าวเสียงต่ำ “บางทีเขาอาจเดินทางมาหยงโจวในไม่ช้านี้”
ม่านอู่ถามว่า “จริงหรือ?”
ซูเจินพยักหน้า “เป็ไปได้มาก นอกจากนี้เทพธิดาอวี้เหออาจเดินทางมาด้วย เพราะข้าล่วงรู้ความลับที่ยิ่งใหญ่โดยบังเอิญ”
ม่านอู่กล่าวว่า “อาเจินเ้าไม่จำเป็ต้องบอกข้าหรอก”
ซูเจินกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเซียวเหยียนเป็คนเดียวที่เ้าห่วงใย แต่เ้ารู้หรือไม่ว่าใครคือผู้ที่เซียวเหยียนห่วงใยที่สุด?”
ม่านอู่ก้มหน้าลง “ข้ารู้ คนที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคืออ๋องอวิ๋นเมิ่งคนก่อน และเพราะคนคนนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับอวิ๋นจื่อ”
ซูเจินกล่าวว่า “ดีแล้วที่เ้ารู้”
เขาไม่กล่าวอะไรอีก เพียงเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ
ม่านอู่ก็ไม่กล่าวสิ่งใดเช่นกัน
มีความเข้าใจแบบแปลกๆ ระหว่างพวกเขาสองคน
แม้จะไม่มีใครพูดอะไร แต่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่าย้าจะบอก
เมื่อซูเจินกลับมาที่จวนตระกูลซู เขาก็ได้รับจดหมายจากประมุขตระกูลมู่
เหตุใดคนผู้นี้จึงเข้าๆ ออกๆ จวนผู้ว่าการบ่อยนัก? ต้นไม้ใหญ่ดึงดูดลม[1]ได้ดีเสียจริง
ถึงแม้เขาจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็เปิดจดหมายออกอ่าน
ใน่เวลาเดียวกัน อวิ๋นจื่อและเย่เช่อกำลังดื่มชาอยู่ที่สวนหลังเรือน
โลกภายนอกดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย
อวิ๋นจื่อฝนหมึกเงียบๆ และพูดคุยกับเย่เช่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
แต่จิตใจนางกลับไม่สงบ
เมื่อพูดคุยกันแบบนี้ เวลามักผ่านไปเร็วเสมอ
ใน่บ่ายซูเจินก็เดินเข้ามา
ซูเจินบ่นอย่างไร้ความปรานี “เย่เช่อ เ้านี่แย่จริงๆ ดูวิธีที่เ้าดูแลน้องสาวข้าสิ เขียนกลอนท่องบทกวีน่ะหรือ? ถ้าเป็ข้าไม่ทำเช่นนี้แน่ ข้ามักพาม่านอู่ไปทานอาหารที่นางโปรดปราน ข้าเสียใจแทนน้องสาวของข้าจริงๆ ที่ชอบบุรุษแข็งทื่อเช่นนี้”
เย่เช่อกลอกตา “อย่าเปรียบเทียบปี้เหยียนกับหญิงสาวประเภทนั้น ว่าแต่เ้ามีอะไร?”
ซูเจินกลับมามีท่าทีตามปกติและกล่าวว่า “น้องสาว มากับข้าหน่อยเถิด ข้ามีเื่จะถามเ้า”
เย่เช่อมองไปที่ซูเจินด้วยความสงสัย
ซูเจินยิ้มเล็กน้อย “มองข้าเช่นนั้นความว่าอย่างไร? นี่เป็เื่ในครอบครัว อีกอย่างอาจารย์ของเ้าอาจเดินทางมาหยงโจวเร็วๆ นี้ เ้าควรไปจัดการเื่นี้ได้แล้ว”
ซูเจินพาอวิ๋นจื่อไปที่ศาลาริมน้ำและกล่าวว่า “อวิ๋นจื่อ เ้าจะได้เดินทางไปที่สำนักชิงซานในอีกไม่นาน มีบางอย่างเกี่ยวกับตระกูลซูที่ข้า้าให้เ้าจดจำให้ดี เพราะจากนี้ไปเ้าจะเป็คุณหนูใหญ่แห่งจวนตระกูลซูแล้ว”
อวิ๋นจื่อรับคำ “ข้าเข้าใจแล้ว พี่ชาย”
ซูเจินกล่าวว่า “เ้าต้องละทิ้งตัวตนเดิมทั้งหมดของเ้า เข้าใจหรือไม่?”
อวิ๋นจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ข้าเข้าใจแล้ว”
เสียงของซูเจินค่อยๆ เบาลง
หลังจากนั้นอวิ๋นจื่อก็ได้รู้หลายสิ่งหลายอย่างที่นางไม่เคยรู้มาก่อน
ไม่ว่าจะเป็เหตุการณ์เกี่ยวกับตระกูลซู ตระกูลเสิ่น หรือเสด็จอา เหตุการณ์ในอดีตเ่าั้ล่องลอยอยู่ในใจของนางราวกับหมู่เมฆ
นางสงสัยว่าคนเหล่านี้ได้ทำเื่ผิดพลาดในรัชศกเทียนโหย่วหรือไม่?
เื่นี้เปรียบได้กับเงาที่เลือนราง แต่กลับตราตรึงอยู่ในใจ
ไม่มีประโยชน์ที่จะถามหาเหตุผลจาก์เบื้องบน ไม่มีประโยชน์ที่จะถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกใบนี้ อีกทั้งไม่มีประโยชน์ที่จะถามผู้คนและตนเอง
ในขอบฟ้าอันไกลโพ้น ดวงจันทร์เสี้ยวดูเรียวเล็กเหมือนตะขอ
กว่าทั้งสองจะสนทนาเสร็จดวงจันทร์ก็ขึ้นสูงแล้ว
เมื่อซูเจินเล่าจบ เขาก็กล่าวว่า “ประมุขตระกูลมู่จะมาที่นี่คืนนี้ นางจะเป็คนบอกเ้าเกี่ยวกับสำนักชิงซาน เ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
อวิ๋นจื่อพยักหน้าและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่ชาย ข้าจะจำไว้”
จากนั้นสองพี่น้องก็ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่
------------------------
[1] ต้นไม้ใหญ่ดึงดูดลม แปลว่า คนมีชื่อเสียงหรือคนรวยมักดึงดูดความสนใจและสร้างปัญหาให้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้