ดวงตะวันค่อยๆ ลาลับทางตะวันตก แสงสว่างในป่าเริ่มมืดสลัว
เหลียนเซวียนใช้ไม้ค้ำพยุงตนเองขึ้นมา ดวงตาที่เห็นภาพไม่ชัดมองออกไปยังฝั่งแม่น้ำที่ว่างเปล่านอกถ้ำ ใบหน้าของเขาไร้อารมณ์ความรู้สึก แต่กลับไม่อาจสงบใจ
แม่นางผู้นั้นไปนานแล้ว เขาค่อยๆ คลำสำรวจแถวนั้นรอบหนึ่ง นางก็ยังไม่กลับ
สตรีนางหนึ่งเตร็ดเตร่ไปทั่วป่าลึกเพียงลำพัง ช่างเป็เื่ที่อันตรายยิ่ง
เขากำมือหมายจะออกแรงบีบ ทว่าไม่อาจเค้นเรี่ยวแรงออกมาได้ กำลังภายในที่จุดตันเถียนว่างเปล่า ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ กว่าจะรวบรวมพละกำลังได้แต่ละครั้งใช้เวลาเป็ครึ่งค่อนวัน และบัดนี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เหลียนเซวียนปิดเปลือกตาลง ซ่อนความหงุดหงิดและความอ่อนล้าไว้ภายใต้ก้นบึ้งของจิตใจ
"ฉึบๆๆ" เสียงฝีเท้าเร่งร้อนแว่วมาจากสถานที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากปากถ้ำ
จากการลงส้นเท้าที่ทั้งหนักและเงอะงะ ฟังดูก็รู้ว่าเป็แม่นางคนนั้น
เหลียนเซวียนถอนใจเงียบๆ อย่างโล่งอก
"โธ่เอ๊ย กลับมาค่ำจนได้ ไฟก็ยังไม่ก่อ ถ้ำก็ยังไม่กวาด หญ้าก็ยังไม่ถอน หวาๆๆ แย่แล้วละสิ"
พอเห็นเหลียนเซวียนยืนอยู่ข้างต้นไม้ เซวียเสี่ยวหรั่นก็รู้สึกเหมือนได้พบเพื่อนเก่าที่คุ้นเคยกันมานาน จึงร้องโหวกเหวกโวยวายไม่ห่วงภาพลักษณ์ของตนเองแม้แต่น้อย
แม้รู้สึกว่าถึงตนเองมีสิบมือก็คงทำงานไม่ทัน แต่ก็ยังวางของที่หนักอึ้งลงบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่ค่อนข้างใกล้จากปากถ้ำอย่างระมัดระวัง
เหลียนเซวียนเงี่ยหูฟังฝีเท้าวุ่นวายของนาง รู้สึกอับจนวาจาอยู่บ้าง แม่นางคนนี้มีอุปนิสัยเอะอะมะเทิ่งเช่นนี้เสมอเลยหรือ
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่หยุดพักแม้แต่ชั่วอึดใจ กล่าวทักทายเหลียนเซวียนคำหนึ่ง ก่อนวางกระเป๋าเป้ลง หลังจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในถ้ำ เริ่มปัดกวาดแท่นหินที่เป็แอ่งตรงกลางแผ่นนั้นก่อน
ทั้งก้อนหิน เศษดิน และหญ้าแห้งร่วงกราวลงมาจากแผ่นหินขนาดใหญ่
ภายในถ้ำขมุกขมัว ทัศนวิสัยรางเลือนไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง เซวียเสี่ยวหรั่นสะบัดไม้กวาดซึ่งทำขึ้นเองอย่างลวกๆ ทำความสะอาดที่พักของพวกเขาสองคนอย่างรวดเร็ว
เสียงปัดกวาดดังมาจากในถ้ำ ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย เสียงไอแค่กๆ ดังมาเป็ระยะ เพราะสำลักฝุ่นเ่าั้
เหลียนเซวียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย
ขณะที่นางพร่ำบ่นไม่หยุดปากว่า "หิวจะตายอยู่แล้ว เจ็บจะตายอยู่แล้ว เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ซวยจะตายอยู่แล้ว" แต่การกระทำกลับสวนทาง เสียงเคลื่อนไหวภายในถ้ำรวดเร็วฉับไว เต็มไปด้วยความฮึกเหิมประหนึ่งทหารทั้งกองทัพก็มิปาน
"แค่กๆ ฝุ่นเยอะจะตายชัก"
เซวียเสี่ยวหรั่นแล่นออกมาจากถ้ำ ใบหน้าที่เพิ่งล้างบัดนี้ขะมุกขะมอมไปทั้งแถบ
นางขนฟืนเข้าไปวางในถ้ำ รื้อเอาหินไฟกับมีดพับออกมา เพราะเคยมีประสบการณ์ก่อไฟมาครั้งหนึ่งแล้ว ครานี้ใช้แค่ไม้กวาดที่ทำความสะอาดมาเป็เชื้อไฟก็จุดติดได้อย่างราบรื่น
หลังจากนั้นก็ใช้ก้อนหินมาวางซ้อนกันตั้งเตา เต็มฟืนกับใบไม้แห้งเข้าไป ไม่ช้าไฟก็ลุกโชน ทันใดนั้นภายในถ้ำก็สว่างไสวขึ้นมาก
"เฮ่อ ในที่สุดก็ก่อไฟได้ก่อนฟ้ามืด คืนนี้ไม่ต้องหนาวตายแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นคุกเข่าอยู่หน้าเตาสีหน้าเผยรอยยิ้มเบิกบานใจ ความสุขคืออะไร ความสุขก็คือการที่วันนี้พวกเขามีกองไฟอบอุ่น หลังเกือบแข็งตายเมื่อคืนอย่างไรล่ะ
เซวียเสี่ยวหรั่นหัวเราะคิกคัก ก่อนกัดฟันประคองบั้นเอวยืนขึ้น
ขณะที่นางกำลังยุ่งวุ่นวาย เหลียนเซวียนก็เงี่ยหูวิเคราะห์ตำแหน่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ขยับกายไปทางปากถ้ำโดยใช้ไม้ค้ำพยุงตัว
"เหลียนเซวียน ท่านรอสักครู่ ขอข้าจะย้ายของเข้าไปก่อน ค่อยมาช่วยประคองท่าน"
ในมือของเซวียเสี่ยวหรั่นถือใบไม้ใบขนาดใหญ่สีเขียวสดมาจำนวนหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะห่ออะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
หลังจากวางห่อใบไม้ลงข้างกองไฟอย่างระมัดระวัง เซวียเสี่ยวหรั่นก็ออกมาประคองเหลียนเซวียนเข้าไปในถ้ำ
"คืนนี้พวกเราไม่ต้องแข็งตายแล้ว"
เซวียเสี่ยวหรั่นพยุงเขาเข้าไปนั่งข้างกองไฟ ก่อนยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ผมหน้าม้าแต่ละปอยล้วนสกปรก แต่หญิงสาวกลับไม่นำพา ยังคงยิ้มแป้นเห็นฟันขาวทั้งปาก
เหลียนเซวียนได้รับความอบอุ่นจากไฟ ก็นึกถึงนางที่วิ่งวุ่นทั้งวันไม่ได้พัก ทั้งที่พวกเขาสองคนต่างเป็คนแปลกหน้า แต่นางกลับทำเพื่อตนเองถึงเพียงนี้ ภายในใจเกิดความซาบซึ้งอยากเขียนคำขอบคุณ
เขายื่นมือมาคลำพื้นที่รอบตัว แต่กลับพบว่าเป็แผ่นหินตะปุ่มตะป่ำ จึงรั้งมือกลับเงียบๆ
เซวียเสี่ยวหรั่นไม่ทันสังเกตเห็น เพราะกำลังคุกเข่าอยู่ข้างกองไฟ ง่วนอยู่กับการเผาเกาลัด
เ้าผลมีหนามเหล่านี้แกะยาก หากไม่มีอุปกรณ์ช่วยอาจถูกหนามทิ่มเอาได้ ต้องเอาเข้าไปเผาในกองไฟโดยตรง ไม่ช้าหนามแหลมเ่าั้ก็จะไหม้ไปเอง
เมื่อก่อน่ใกล้ปลายฤดูใบไม้ร่วง เด็กๆ ที่ว่างงานไม่มีอะไรทำมักชวนกันขึ้นเขาไปเก็บเกาลัดในป่ากลับมาเผา ตอนเซวียเสี่ยวหรั่นยังเล็กก็เคยตามพวกเขาไปเล่นสนุกมาแล้ว
เด็กส่วนใหญ่ชอบสวมรองเท้าแตะขึ้นเขา ผลลัพธ์ก็คือถูกหนามทิ่ม ร้องไห้กันกระจองอแง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงปะทุลั่นเปรี๊ยะๆ เป็ระยะ ดังมาจากกองไฟ
เซวียเสี่ยวหรั่นยิ้มหน้าบานใช้กิ่งไม้สองอันเขี่ยเกาลัดที่ะเิแล้วออกมา
"รอให้เย็นก่อนค่อยปอกเปลือก"
เธอคีบเกาลัดไปวางบนที่ว่างด้านข้าง แล้ววางมีดสีเงินใส่ในมือของเหลียนเซวียน
"เอ้า ท่านปอกกินเองไปก่อน"
จากนั้นก็กอบเอาเกาลัดที่เย็นหน่อยแล้วมาวางข้างมือเขา แล้วค่อยหันไปมองใบไม้สีเขียวขนาดใหญ่ใบนั้น
ใบไม้ที่มีขนาดใหญ่เช่นนั้นเรียกว่าใบเผือกป่า เซวียเสี่ยวหรั่นพบมันอยู่ไม่ไกลจากริมน้ำ ส่วนหัวที่ถอนออกมาทั้งเล็กและรุงรัง นางไม่แน่ใจว่ากินได้หรือไม่ เพื่อประกันความปลอดภัย เซวียเสี่ยวหรั่นจึงไม่ได้ขุดมันมากิน ใช้แต่ใบของมันมาห่อของ
พอเปิดใบเผือกป่า้าออก ใต้นั้นเป็เนื้องูที่ลอกหนังออก ทำความสะอาดรวมถึงหั่นเป็ชิ้นๆ เรียบร้อยแล้ว
ไม่ผิด ในที่สุดเซวียเสี่ยวหรั่นก็ไม่อาจตัดใจจากเนื้อมื้อใหญ่ได้ เสียเวลาตรงนั้นอยู่นาน แต่แล้วก็เก็บงูตัวนั้นไปจัดการที่ริมแม่น้ำ
นึกถึงขั้นตอนยามผ่าท้องและลอกหนังของมันออก เซวียเสี่ยวหรั่นยังขนพองสยองเกล้าไม่หาย
เธอเคยเห็นว่าคุณปู่จัดการกับงูทั้งตัวอย่างไรบ้าง นั่นเป็ตอนที่เธอยังเด็ก ใจหนึ่งก็กลัว แต่อีกใจก็อยากรู้อยากเห็น เลยแอบมองอยู่ตรงหน้าต่างห้องครัว คุณปู่เห็นแล้วก็ยังหัวเราะในความใจเสาะเหมือนหนูของเธอ
แต่ตอนนี้หลานสาวขี้กลัวคนนั้นกำลังกัดฟันเลียนแบบท่าทางของคุณปู่ในอดีต ไม่เพียงแต่ตัดหัวงู ยังลอกเลียนวิธีจับงูผ่าท้องถลกหนังอีกด้วย
เธอคงจะมีพร์ด้านทำอาหารจริงๆ เห็นเพียงครั้งเดียวก็สามารถจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น
ความยากลำบากและอุปสรรคทำให้คนเติบโต คำกล่าวนี้มีเหตุผลอยู่บ้าง เฉพาะคนมีประสบการณ์ถึงจะสามารถัักับความหมายของมันอย่างลึกซึ้ง
หากไม่ตกมาอยู่ในสถานที่ผีบ้าแห่งนี้ เซวียเสี่ยวหรั่นคิดว่าชั่วชีวิตนี้ตนเองคงไม่มีทางจับมีดชำแหละงูพิษ เพียงเพื่อ้าเอาเนื้อมากินเป็อาหารมื้อหนึ่งอย่างแน่นอน
คิดแล้วก็น้ำตาไหลพราก ชั่วขณะนั้นมีข้อความหนึ่งผุดขึ้นในใจ 'ในที่สุดชะตาชีวิตก็ลงดาบสาวน้อยผู้น่ารักอย่างฉัน'
เธอจดจ้องเนื้องูอยู่นาน บรรยากาศในถ้ำชั่วขณะนั้นเงียบสงบ
มือของเหลียนเซวียนที่ปอกเปลือกเกาลัดหยุดชะงัก สายตาที่มองไม่เห็นกลับเพ่งมาที่ตัวของเซวียเสี่ยวหรั่นอย่างแม่นยำ
เซวียเสี่ยวหรั่นคล้ายรับรู้ได้ หันกลับมามองชายหนุ่ม
"แฮ่ม! เหลียนเซวียน ท่านกิน 'เ้านั่น' ไหม"