รูปร่างสูงใหญ่สวมชุดขาวบริสุทธิ์ ถ้าไม่ติดว่าชอบรังแกเขา หลิงเซียวนับได้ว่าเป็ชายที่ใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบทีเดียว
ออกไปราวหนึ่งวัน บนตัวกลับไม่มีแม้แต่รอยฝุ่น หลิงเซียวเดินมาอยู่หน้าโหยวเสี่ยวโม่พร้อมกับโยนตำราเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะ
โหยวเสี่ยวโม่แอบชำเลืองมอง ตำรานั้นดูค่อนข้างเก่า ทว่าดูออกว่าผ่านการดูแลเป็อย่างดี ปกตำราสมบูรณ์ ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนหรือรอยพับ ้าถูกเขียนด้วยข้อความ “คัมภีร์ิญญา์” ดูก็รู้ว่าเกี่ยวกับปราณิญญา เพราะมีคำว่าิญญาอยู่ด้วย
เมื่อเห็นหลิงเซียวไม่พูดอะไร โหยวเสี่ยวโม่จึงหยิบขึ้นมาอย่างอดใจไม่อยู่
แต่พอพลิกเปิดมาดู ถึงกับหน้าดำคร่ำเครียด ตัวหนังสือพวกนี้…เขาอ่านไม่ออกสักตัว!
โหยวเสี่ยวโม่มองหลิงเซียวด้วยท่าทีลังเล “ศิษย์พี่หลิง คือวิชายุทธ์ที่ใช้ฝึกพลังปราณิญญาจริงหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนี้ คิ้วสวยของหลิงเซียวกระตุกขึ้น “ทำไม เ้าคิดว่าข้าหยิบตำราส่งเดช มาหลอกลวงเ้ารึยังไง?”
“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่” โหยวเสี่ยวโม่รีบส่ายหัว เขาไม่ได้หมายความเช่นนั้น “ข้าหมายถึง ตัวหนังสือพวกนี้ ข้าไม่รู้จักเลย ช่างต่างจากตำราในหอคัมภีร์โดยสิ้นเชิง แบบนี้ข้าจะฝึกได้อย่างไรกัน?”
“ถ้าเ้ารู้จักตัวหนังสือพวกนี้ เหล่านักหลอมโอสถระดับสูงก็อยู่อย่างไร้ค่าน่ะสิ”
“หรือว่า คัมภีร์เล่มนี้มันมีมานานแล้วงั้นหรือ?” โหยวเสี่ยวโม่นึกถึงอักษรจีนโบราณ มีความแตกต่างสิ้นเชิงกับอักษรในปัจจุบัน แทบจะคนละแบบกันเลย แต่แบบปัจจุบันนั้นผันเปลี่ยนตามกาลเวลา
“ถือว่าเ้าฉลาด” หลิงเซียงมองเขาแวบหนึ่ง นี่ไม่ใช่คำชมแน่นอน
บนคัมภีร์ิญญา์นั้นเป็ตัวอักษรโบราณของดินแดนหลงเสียง
ถ้าจะให้ขุดค้นคงมีไม่กี่คนที่แน่ใจ เพราะเวลาคงล่วงเลยมานับแสนล้านปี
อีกอย่างแสนล้านปีก่อน การฝึกฝนพลังปราณคงกว้างขวางกว่าตอนนี้ เพียงแต่เวลาที่ถ่ายทอดกันมา นักหลอมโอสถบางคนก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิชาให้คนอื่น ส่งผลให้วิชายุทธ์นั้นค่อยๆ น้อยลงจนหลายอย่างได้เลือนหายไป จวบจนตอนนี้เองทั่วทั้งดินแดนหลงเสียงรวมกันก็มีไม่ถึงสิบเล่ม
แต่ว่าโหยวเสี่ยวโม่กลับสงสัย ในเมื่อมันมีน้อยขนาดนี้ แล้วเขาไปเอาตำราเล่มนี้มาจากไหนกันนะ
สงสัยส่วนสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถาม
“ศิษย์พี่หลิง ตัวหนังสือบนคัมภีร์ข้าอ่านไม่ออกเลย แล้วข้าจะฝึกได้อย่างไร?” โหยวเสี่ยวโม่ถามพร้อมหนังสือในมือ
หลิงเซียวเผยรอยยิ้มออกมา ประหนึ่งเป็ความหวังดีประสงค์ร้าย พร้อมเอ่ย “เ้าไม่รู้ ไม่ได้แปลว่าข้าจะไม่รู้”
โหยวเสี่ยวโม่นึกไม่ถึงว่าเขาจะรู้จักตัวหนังสือพวกนี้ด้วย แต่ดีใจได้ไม่ทันไรก็ถูกน้ำเสียงปรารถนาดีแฝงเจตนาร้ายของเขาขู่จนสะดุ้ง เขารู้อยู่แล้วจะเอาผลประโยชน์จากหลิงเซียวนั้นไม่ง่ายหรอก ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนจริงด้วย เขาเดาได้เลยว่า กระเป๋าเงินต้องแฟบกว่าเดิมแน่นอน
“ศิษย์พี่หลิง ท่านมีข้อแลกเปลี่ยนอะไรก็ว่ามาเถอะ” ข้ารับไหว
หลิงเซียวเผยสีหน้า ‘เ้ารู้ก็ดีแล้ว’ คนที่ทำให้เขาต้องวิ่งวุ่นเหนือใต้ออกตก เห็นจะมีโหยวเสี่ยวโม่คนแรกนี่แหละ
“วิชายุทธ์ข้าจะแปลให้เ้าก็ได้ แต่เมื่อไหร่ที่เ้าบรรลุการฝึกพลังปราณแล้ว ยาเซียนตันแบบนั้นข้าขอสิบเม็ด”
ล้วนเป็วาจาที่ไม่เปิดช่องให้เจรจาได้เลย โหยวเสี่ยวโม่รู้ว่ายาเซียนตันแบบที่เขา้าคือแบบไหน ก็เพราะว่ารู้เป็ไรถึงทำให้เขาคร่ำเครียด ชั่วพริบตาก็เพิ่มเป็เก้าเท่า แต่พอคิดว่าได้วิชายุทธ์มาเล่มหนึ่ง โหยวเสี่ยวโม่ก็ดีใจจนเนื้อเต้น อย่าว่าแต่สิบเม็ดเลย ยี่สิบเม็ดเขาก็ยอม แน่นอนว่าความคิดนี้จะให้หลิงเซียวรู้ไม่ได้เด็ดขาด
“ศิษย์พี่หลิง งั้นเราเริ่มตอนนี้เลยได้ไหม?” โหยวเสี่ยวโม่กอดคัมภีร์ิญญา์ในอ้อมอก พร้อมกับจ้องหลิงเซียวดวงตาแวววาว
หลิงเซียวกระตุกคิ้ว ท่าท่างเหมือนแมวน้อยขยี้ใจแบบนี้อีกแล้ว “จะรีบไปทำไมกัน ถึงข้าจะแปลให้เ้าตอนนี้ เ้าก็ยังไม่สามารถฝึกได้ทันที”
“ทำไมล่ะ?” โหยวเสี่ยวโม่สะดุด พลันถาม
“ถ้าไม่มีคนชี้ทางให้เ้า ลำพังสมองเ้าตอนนี้จะสำเร็จงั้นi7?” หลิงเซียวยิ้มมุมปากยกสูง ท่าทีสบายๆ อยู่เหนือกว่าคนอื่น ดูยังไงก็ห่างไกลกับคำว่าอ่อนโยนสุขุมเหลือเกิน ไม่รู้จริงๆ ทำไมคนพวกนั้นถึงดูไม่ออก
นี่มันดูถูกกันชัดๆ เขาดูเหมือนพวกปัญญาโง่เขลาขนาดนั้นเลยหรือ โหยวเสี่ยวโม่คิดอย่างงุ่นง่าน
หลิงเซียวลุกขึ้นพร้อมกับกระชากแขนให้โหยวเสี่ยวโม่เดินตามออกไป “ไปกินข้าวกับข้าก่อน พรุ่งนี้ข้าค่อยหาเวลามาใหม่”
โหยวเสี่ยวโม่มองตาปริบๆ “นี่เรากำลังจะไปกินข้าวที่ไหนหรือ ศิษย์พี่หลิง?”
หลิงเซียวมองเขาอย่างฉงน จะยิ้มก็ไม่ยิ้มพร้อมเอ่ย “ก็ต้องเป็โรงอาหารทัพภพสิ!”
โหยวเสี่ยวพลันอุทานออกมาอย่างอนาถ
ขณะเดียวกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่โหยวเสี่ยวโม่ไม่รู้จัก มีเื่ราวบางอย่างเกิดขึ้นที่ดินแดนหลงเสียง ว่ากันว่านักหลอมโอสถระดับสูงสุดนามชิวหร่าน ได้ทำของล้ำค่าชิ้นหนึ่งสูญหาย ด้วยเหตุนี้ ชิวหร่านได้ตั้งเงินรางวัลนำจับสูงลิ่ว พร้อมทั้งยาเซียนตันขั้นเก้าสองเม็ดให้แก่ผู้ที่จับโจรได้
โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้รับรู้เื่ราวภายนอกอะไรเลย จนเวลาผ่านล่วงเลยไปนานกว่าจะรู้เื่นี้
ถึงตอนนั้น เขาก็คิดเองเออเองว่า คัมภีร์ิญญา์เล่มนั้นเป็สมบัติส่วนตัวของเขาเสียแล้ว