ม่อเวิ่นเฉินมิได้ถามอะไรนาง เขาแค่สั่งให้นางกำนัลไปยกน้ำอุ่นมาเพื่อให้ซูฉีฉีสามารถแช่น้ำอยู่ในนั้นได้อย่างสบายๆในเวลาที่ไม่มีแสงจันทร์นี้ม่อเวิ่นเฉินก็ถือโอกาสย่องไปที่ตำหนักหลักของวังหลวง
หลายวันมานี้ม่อเวิ่นเสวียนไม่ได้จัดการลงมือใดๆทว่านี่กลับทำให้ม่อเวิ่นเฉินยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าเก่า
แม้ว่าจะได้รับราชโองการให้มาเยี่ยมครอบครัวทว่าซูฉีฉีก็ได้พบกับมารดาแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้นหลังจากนั้นนางก็ไม่มีอิสรภาพอีกต่อไป นางอยากที่จะไปเจอเสี่ยวเตี๋ยอีกสักครั้งและถามนางว่าในปีนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่
ตอนเช้ามืดของวันที่สองซูฉีฉีก็ถูกไทเฮาเชิญไปที่พำนักของพระองค์อีกครั้ง ก่อนจะลงโทษให้คุกเข่าต่อ
ไทเฮาไม่บอกเหตุผลใดกับนางแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าวันนี้อยู่ๆซูฉีฉีก็รู้สึกว่าหัวเข่าเ็ปเกินจะทนแค่เพียงนางคุกเข่าลงไปก็เริ่มรู้สึกเ็ปเข้ากระดูก
เมื่อนางก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าตรงตำแหน่งหัวเข่าบนชุดสีแดงของตนนั้นมีรอยเืปรากฏอยู่แถบหนึ่งที่แท้บนแผ่นหญ้าสานนี้มีเข็ม...
นางกัดฟันแน่นพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ล้มลงไป ขอเพียงซูฉีฉีทำได้เพียงแค่อดทนไม่รู้ว่าการลงโทษครั้งนี้จะจบลงเมื่อไหร่
ทางด้านไทเฮานางยิ้มอย่างมีเมตตาพลางสวดมนต์ เคาะมู่อวี๋ไปเรื่อยๆ โดยไม่มองซูฉีฉีแม้แต่น้อย
ตอนนี้เป็เวลากลางวันแล้วแต่เพราะอยู่ใน่กลางฤดูหนาวทำให้ภายในห้องนั้นรู้สึกหนาวเย็นไม่น้อยซูฉีฉีอดทนต่อความเจ็บที่หัวเข่าพลางตัวสั่นระริกเพราะความเหน็บหนาว เพราะได้รับคำสั่งของไทเฮาทำให้พวกนางกำนัลได้นำเตาผิงยกออกจากห้องไปจนหมด
มือทั้งสองที่กดลงบนหัวเข่านั้นค่อยๆ เป็สีขาวซีดบนเล็บของซูฉีฉีนั้นได้กลายเป็สีเขียวจากแรงกดเป็ที่เรียบร้อยแล้วเพื่อไม่ให้ตนเองร้องโอดครวญออกมาเพราะความเ็ปซูฉีฉีจึงได้แต่กัดริมฝีปากของตนเองไว้แน่นทำให้มุมปากมีรอยช้ำแดงๆ ปรากฏขึ้น
ซูฉีฉีที่เป็เช่นนี้ยังคงดูบอบบางอ่อนแอทว่าแผ่นหลังที่ผอมบางของนางกลับยืดตรงขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสงสาร
ม่อเวิ่นเฉินที่แอบดูนางอยู่ตลอด่เช้านั้นมีสีหน้าเขียวคล้ำแล้วใบหน้าที่แต่เดิมไม่แสดงอารมณ์ใดๆ บัดนี้ยิ่งทำให้ดูโหดร้ายและน่ากลัวมากยิ่งขึ้นทั่วทั้งร่างกายของเขาแผ่ไอสังหารออกมา
ทว่าเขากลับไม่สามารถช่วยอะไรได้
เพื่อไม่ให้เกิดเื่มากมายตามมา เขาจึงทำได้เพียงแค่ต้องอดทนอดกลั้นเท่านั้น
ตอนนี้ยิ่งเป็เวลาสำคัญถ้าหากพลาดแม้แต่ก้าวเดียวอาจจะทำให้ล้มทั้งกระดานได้
สตรีเช่นนี้ เขาควรจะทำอย่างไรต่อนางดี?
หลังจากที่ไทเฮาสวดมนต์จบบทแล้วก็เดินออกจากห้องไปภายในห้องกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ลมเย็นๆ พัดมาโดนตัวของซูฉีฉีทำให้นางต้องใช้มือทั้งสองโอบไหล่ของตนเองเอาไว้นางคิดอยากจะขยับหัวเข่าของตนทว่ามันกลับเจ็บเสียจนขยับไปไหนไม่ได้อีก
ซูฉีฉีจึงทำได้เพียงแค่ให้เืค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากแผลบนหัวเข่าเท่านั้น
มุมปากของนางกระดกยิ้มเย็นขึ้นในสถานที่บำเพ็ญเพียรเช่นนี้ นางกลับเืไหลดุจสายน้ำ
ไม่มีทางเลือกจริงๆบนโลกนี้มีหลายเื่ที่ยากจะแก้ไขได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับชีวิตของซูฉีฉี
แน่นอนว่าตอนนี้ม่อเวิ่นเฉินเองก็รู้สึกอับจนหนทางเช่นกันเขาหันกลับไปมองที่ซูฉีฉีอย่างลึกซึ้งอีกครั้งก่อนจะกำมือแน่น อดทนอีกไม่กี่วันข้าจะต้องช่วยเ้าอย่างแน่นอน
จากนั้นเขาก็หมุนตัวจากไป
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้วตลอดทั้งวันซูฉีฉีไม่ได้กินน้ำกินอาหารสักคำ เืบนหัวเข่าไหลออกมาไม่หยุดทั่วทั้งร่างของนางสั่นระริกเพราะอากาศที่หนาวเย็นนางรู้สึกว่าตนเองอาจจะมีชีวิตไม่เกินวันนี้แล้ว นางมองไปรอบๆในใจก็รู้สึกไม่เป็ธรรมนัก
นางจะต้องตายไปอย่างไม่รู้อะไรเลยเช่นนี้หรือ?
แม้กระทั่งว่าเพราะเหตุใดนางต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่นั้นนางเองก็ยังมิรู้เลย
บุญคุณความแค้นของคนรุ่นก่อนกลับให้นางรับมันไว้คนเดียวทั้งหมด
ทว่ารับเคราะห์แทนมารดาของตนนั้นนางยินยอม แต่ว่าในใจของนางบอกว่ามารดาของตนจะต้องไม่ทำเื่ที่ผิดต่อใครอย่างแน่นอน
คิดมาถึงตรงนี้ซูฉีฉีก็กัดฟันของตนไว้แน่นก่อนจะพยายามออกแรงพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นร่างของนางโคลงเคลงอยู่หลายครั้งแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ล้มลงไปเมื่อนางเห็นเข็มขนาดเล็กที่บนแผ่นหญ้าสาน ดวงตามีความเ็าปรากฏขึ้นแต่ที่มากกว่าความเ็านั้นคือความเกลียดชังที่นางมีอยู่ในตอนนี้
นางกำมือทั้งสองแน่นเล็บยาวๆ ได้ทิ่มแทงเข้าไปในฝ่ามือของนาง มีเพียงเช่นนี้ซูฉีฉีถึงจะรู้สึกมีสติขึ้นมาเพราะตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของนางรู้สึกเหน็บชาไปจนหมดเสียแล้ว
ยังไม่ทันที่นางจะได้หมุนตัวจากไปบานประตูก็เปิดขึ้นอย่างกะทันหันแรงมหาศาลจากด้านหลังถีบนางให้ล้มลงไปคุกเข่าอยู่บนหญ้าสานอีกครั้งอย่างแม่นยำ
“อ๊า...”
ครั้งนี้ซูฉีฉีทนเอาไว้ไม่ไหวอีกแล้วนางร้องออกมาอย่างเ็ป แต่เดิมเข็มเหล่านี้แค่ทิ่มลงไปในิัของนางแต่ว่าตอนนี้นางคุกเข่าลงอย่างแรงทำให้เข็มเ่าั้เสมือนทิ่มเข้าไปในเนื้อของนางทั้งหมดแล้วความเ็ปพุ่งขึ้นมาราวกับลำไส้ของนางกำลังฉีกขาดก็มิปาน
“เพี๊ยะ...”
เสียงร้องอย่างเ็ปของซูฉีฉีกลับแลกมาด้วยแรงตบอย่างหนักจากฝ่ามือของไทเฮา “บังอาจในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เ้ากลับกล้าส่งเสียงร้องโวยวายได้ข้ายังไม่อนุญาตให้เ้ากลับไป เหตุใดเ้าถึงลุกขึ้นยืนเสียแล้ว? ”
ดวงตาของนางดุร้ายขณะจับจ้องไปที่ซูฉีฉีที่มีรอยเืจางๆปรากฏขึ้นที่มุมปาก
เมื่อเห็นซูฉีฉีเป็เช่นนี้แววตาของไทเฮาก็มีความยิ้มเยาะอย่างสะใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่ง
ซูฉีฉีอดทนต่อความเ็ปและก้มหน้าลง พยายามกลืนโลหิตที่อยู่ในปากกลับเข้าท้องของตนไปนางกัดริมฝีปากล่างแน่นเพื่อไม่ให้ตนส่งเสียงร้องอย่างเ็ปออกไปนางรู้ว่าตอนนี้ถ้าหากนางส่งเสียงอีกแม้แต่นิดเดียวไทเฮาจะต้องหาวิธีทรมานนางเพิ่มขึ้นอีกเป็แน่
ไทเฮาเหมือนกับว่ากำลังดูละครอยู่เสียอย่างนั้นนางเดินวนรอบตัวซูฉีฉีรอบหนึ่งก่อนจะมีท่าทีพึงพอใจเป็อย่างมาก “เ้ารู้หรือไม่ว่าข้ากับมารดาของเ้านั้นเป็เพื่อนสนิทกันท่ามกลางหมู่คุณหนูสกุลผู้ดีทั้งหลายพรุ่งนี้ข้าคิดว่าจะเชิญมารดาของเ้ามาเข้าเฝ้าในตำหนักและให้นางมาเยี่ยมบุตรสาวแสนรักของตนเสียหน่อย”
“อย่า! ไทเฮาเพคะขอพระองค์อย่า...” ซูฉีฉีนิ่งอึ้งไปในทันที นางคุกเข่าลงไปอย่างไม่คิดชีวิต
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความเว้าวอนหางตาก็คลอขึ้นด้วยน้ำตา
ถ้าหากให้มารดาของตนเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ นางมิรู้ว่ามารดาของตนจะร้องไห้จะเป็จะตายอยู่ตรงนี้หรือไม่
ความทุกข์ทรมานเช่นนี้ให้นางรับไว้แต่เพียงผู้เดียวก็พอแล้วจะให้มารดาของนางมาทรมานเหมือนกับนางมิได้
ไทเฮายกเท้าขึ้นออกแรงถีบซูฉีฉีที่คุกเข่าอยู่อย่างแรง “เื่ที่ข้าจะทำ ยังไม่ถึงคราวที่คนอย่างเ้าจะมาชี้แนะสั่งสอนได้ใครก็ได้ มาลากตัวนางไปเฆี่ยนเดี๋ยวนี้”
ไทเฮาเดิมกำลังคิดหาเหตุผลลงโทษนางมิได้ตอนนี้นางได้โอกาสแล้วนางจ้องไปที่ซูฉีฉีด้วยสีหน้ารังเกียจก่อนจะะโออกคำสั่งอย่างโมโห
มีนางกำนัลสองคนรีบเข้ามาดึงแขนของซูฉีฉีไว้แต่แรกแล้วพวกเขาลากตัวนางออกไป คราบเืจากหัวเข่าของซูฉีฉีไหลออกมาเป็ทางยาว
“ไทเฮาพระองค์จะให้หม่อมฉันทำอะไรก็ได้ แต่ขอพระองค์อย่าทรงทำร้ายมารดาหม่อมฉันเลย...”ซูฉีฉีร้องะโอย่างสุดชีวิตนางะโออกมาโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นแล้ว
มีชายรูปร่างใหญ่สองคนใช้เชือกหยาบๆ มัดซูฉีฉีเอาไว้แน่นไม่ว่านางจะะโร้องเท่าใด พวกเขาก็ยังออกแรงเฆี่ยนตีนางไปเรื่อยๆแรงที่ฟาดมานั้นรุนแรงมากเสมือนใช้แรงทั้งหมดที่มีก็ไม่ปาน
“อ๊า!” เสียงร้องอย่างเ็ปดังออกมาจากตำหนักหลังของวังหลวง
บนแส้นั้นมีหนามแฝงอยู่ด้วยทุกครั้งที่ฟาดลงไปบนตัวซูฉีฉีนั้นก็ทำให้เสื้อผ้าบนตัวนางฉีกขาดออกมาเป็ชิ้นๆเนื้อหนังของนางเกาะติดไปบนหนามของแส้ที่ฟาดลงมาโลหิตค่อยๆ ซึมออกมาจนปรากฏเป็สีแดงจางๆอยู่บนเสื้อผ้าที่ซูฉีฉีสวมใส่!
“เพียะ! เพียะ! เพียะ!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องอย่างเ็ปของซูฉีฉีผู้ที่ลงมือฟาดซูฉีฉีอยู่นั้นก็เหมือนจะรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมากเขาสะบัดแส้ในมือต่อเนื่องกันถึงสามครั้งทุกครั้งที่ฟาดมานั้นผสานกับแรงลมทำให้บนร่างของซูฉีฉีทิ้งร่องรอยาแลึกๆ เอาไว้เืเปรอะเปื้อนบนิัเสียจนมองไม่เห็นสีผิวของนางอีก
แส้ที่ฟาดลงมาอีกสี่ครั้งนั้นทำให้แม้แต่แรงกรีดร้องของซูฉีฉีก็ไม่มีเหลืออีกต่อไปแล้วตอนนี้นางถึงจะรู้สึกว่าแรงเฆี่ยนของฮวาเชียนจือนั้นยังถือว่าห่างไกลไปมากซูฉีฉีก้มหน้าลงอย่างหมดแรงนางทำได้เพียงแค่กัดริมฝีปากของตนไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตนสลบลงไป
ไทเฮาโบกมือของพระองค์เป็การอนุญาตให้ชายทั้งสองถอยออกไปได้แล้ว
นางเพียงแค่อยากให้ซูฉีฉีทุกข์ทรมานเสียหน่อยมิได้หวังจะทำให้คนถึงตายเพราะว่านางเองก็มิกล้า
“ไทเฮา...หม่อมฉันขอร้องพระองค์...ละเว้นมารดาของหม่อมฉันด้วย”ซูฉีฉีนั้นอ่อนแอจนจะไร้เรี่ยวแรงแล้วทว่านางยังคงพยายามเงยหน้าของตนขึ้นเพื่ออ้อนวอนต่อไทเฮา!
ไทเฮากัดฟันของตนแน่นคิดไม่ถึงว่าซูฉีฉีจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จนถึงเวลานี้นางก็ยังคงคิดถึงมารดาของตน
“คิดไม่ถึงว่านางจะเลี้ยงบุตรสาวได้ดีถึงเพียงนี้”เมื่อเห็นซูฉีฉีเป็เช่นนี้กลับทำให้ไทเฮาหวาดกลัวไม่น้อยเป็แค่สตรีคนหนึ่งแต่กลับมีแรงมุ่งมั่นได้ถึงเพียงนี้
ปีนั้นถ้าหากตนเป็เช่นนี้อาจจะไม่ได้มีจุดจบดั่งเช่นทุกวันนี้ก็เป็ได้
ทันใดนั้นเองก็มีนางกำนัลคนหนึ่งวิ่งมาจากข้างนอกแล้วกระซิบข้างหูไทเฮาไม่กี่ประโยค
สีหน้าที่แต่เดิมมีความดุร้ายชิงชังนั้นก็เปลี่ยนเป็อ่อนโยนมีเมตตาโดยทันทีสายตานางมองออกไปที่ทิศทางอันไกลโพ้น “ดี ให้เขาไปรออยู่ที่โถงหลัก”
ความสุขปรากฏขึ้นในแววตาอย่างปิดไม่มิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้