“ถ้าหากซูฉีฉีไม่คิดอยากจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเองในจวนอ๋องนางก็คงไม่เอ่ยขอร้องเ้าด้วยตนเอง ถ้าหากเ้าไม่ใช้ชีวิตของนางมาขมขู่นางก็คงไม่ยินยอมผสมยาถอนพิษให้เ้า
ครั้งนี้ที่นางลังเลว่าจะเลือกฝั่งไหนนั้นจากที่ข้าดูแล้ว นางนั้นมีความสามารถเพียงแต่นางยอมพยายามทำสุดความสามารถเพื่อเ้า
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเฉลียวฉลาดของนางแล้วไม่ควรที่จะรับมือกับเหตุการณ์ง่ายๆ แค่นี้
ซูชือฉางทำกับนางถึงเพียงนี้นางยังมีเื่ใดให้ต้องกังวลอีกหรือ?” เหลยอวี๊เฟิงนั้นมักเห็นการกลั่นแกล้งให้ม่อเวิ่นเฉินมีโทสะนั้นเป็เื่สนุกเสมอตอนนี้เขากำลังอารมณ์ดี แน่นอนว่าต้องยั่วยุให้เขามีโทสะเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นม่อเวิ่นเฉินยังสั่งให้เขาไปคุ้มครองมารดาของซูฉีฉีก็ควรจะต้องคิดดอกเบี้ยเสียหน่อย
ซูฉีฉีนั้นมีโฉมหน้าไม่ได้งดงามจนสะกดสายตาผู้คนไม่มีความสามารถใดโดดเด่น ทว่ากลับมักทำเหมือนม่อเวิ่นเฉินนั้นไม่มีตัวตน
เมื่อเทียบกับฮวาเชียนจือที่พักอยู่ในจวน คนขนานนามว่าเป็ถึงสาวงามอัมดับหนึ่งของแดนตะวันตกเฉียงเหนือกระทั่งนางยังคลั่งไคล้หลงใหลในตัวม่อเวิ่นเฉินเป็อย่างมาก
ก็มิรู้ว่าเป็เพราะซูฉีฉีนั้นมีจิตใจด้านชาหรือเป็เพราะว่าเสน่ห์ของม่อเวิ่นเฉินไม่เพียงพอจริงๆ กันแน่
“ต่อสิ” ม่อเวิ่นเฉินทำเพียงแค่จ้องไปที่เหลยอวี๊เฟิง
เขาเองก็รู้ถึงความลังเลในวันนั้นของซูฉีฉีอีกทั้งวันนั้นเขายังมีโทสะมากอีกด้วยแม้ว่าเขาจะแสดงออกมาว่าสงบนิ่งเฉกเช่นเดิมก็ตาม
สำหรับซูฉีฉีนั้น เขาก็ยังคงไม่เข้าใจนาง
บางครั้งนางก็สามารถอ่อนหวานนุ่มนวลแต่ในบางครั้งกลับเ็า ผลักไสทุกคนให้ออกห่างจากตน
“มิสู้ทำเช่นนี้ถ้าหากเ้าสามารถทำให้ซูฉีฉีหลงรักเ้าได้ข้าก็จะยกดาบเสวียนหยวนของสำนักเหลยให้กับเ้า ถ้าหากทำไม่ได้...เ้าก็ต้องยกพิณเจียวเหว่ยอันมีชื่อนั้นให้กับข้า”แน่นอนว่าเหลยอวี๊เฟิงนั้นคิดคำนวณมาเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินเหลยอวี๊เฟิงเอ่ยเช่นนั้นม่อเวิ่นเฉินก็มิได้เอ่ยคำใดต่อ เหลยอวี๊เฟิงนั้นหลงรักพิณเป็อย่างมากคอยแต่คิดวางแผนจะเอาเจียวเหว่ยอยู่เสมอ
เพียงแต่ว่าม่อเวิ่นเฉินเองก็อยากได้ดาบเสวียนหยวนเป็อย่างมากเช่นกัน
เมื่อเป็เช่นนี้ความ้าของทั้งสองก็นับว่าเสมอภาคกันดี
แม้ว่านิสัยของซูฉีฉีจะเ็าเป็อย่างมากซ้ำยังมีความทะนงตน แต่ว่าม่อเวิ่นเฉินรู้ว่าสายตาของนางยามมองมาที่ตนนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
อยากให้ซูฉีฉีหลงรักตนนั้นมิใช่เื่ที่ยากจนเกินไปเพียงแค่ต้องใช้ความพยายามสักเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเหลยอวี๊เฟิงกลับไม่คิดเช่นนั้น เขาคิดว่าตอนนี้ซูฉีฉีน่าจะกำลังเกลียดชังม่อเวิ่นเฉินอยู่
แน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากให้ซูฉีฉีเป็เช่นนี้ทว่าทั้งหมดนี้เป็เพราะม่อเวิ่นเฉินทำตัวเองทั้งนั้น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางที่มานั้นมักทำให้เหลยอวี๊เฟิงมองซูฉีฉีต่างไปจากเดิมและยิ่งรู้สึกว่าม่อเวิ่นเฉินนั้นเป็คนที่ไร้ความรู้สึกและเืเย็นจนเกินไป
ทว่าขอเพียงเขาได้เจียวเหว่ยมาเขาก็ไม่สนอะไรเ่าั้มากนัก
หลังจากที่ออกมาจากซอยเล็กๆ นั้นตลอดทางม่อเวิ่นเฉินก็รู้สึกเหมือนว่าส่วนลึกในใจของตนกำลังขยับไปมาอยู่
เขาเป็คนที่สูงศักดิ์ หยิ่งยโสและทะนงตนเช่นนี้ จะเอาชนะกระทั่งผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งมิได้เชียวหรือ?
ในเวลานี้ม่อเวิ่นเฉินอยากจะรู้เสียจริงว่าถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่งเท่านั้นซูฉีฉี นางจะเลือกใคร?
ซูฉีฉีถูกซูเมิ่งหรูลากไปที่พำนักของไทเฮา
ไทเฮาดูแล้วเหมือนมีอายุไม่มากนัก นางดูแลตัวเองได้เป็อย่างดีทว่าเมื่อนางหันมาเห็นซูฉีฉีและซูเมิ่งหรูนั้นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาก็แฝงความเ็าเข้าไปเพิ่มขึ้น
ไทเฮาที่สวดมนต์ภาวนากินเจเป็เวลานานนั้นกำลังหลับตาลงมือก็ขยับลูกประคำในมือของตน ปล่อยให้ซูฉีฉีและซูเมิ่งหรูคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
หญิงสาวทั้งสองหันมามองหน้ากันทั้งคู่ล้วนไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดไทเฮาถึงยอมลืมตาขึ้นมา ก่อนจะขยับมือสั่งให้ซูเมิ่งหรูลุกขึ้น “ฮองเฮาคอยจัดการดูแลเื่เล็กใหญ่ในวังหลัง อย่ามาอยู่ที่นี่ให้เสียเวลาเลยรีบกลับไปเสียเถิด”
เห็นได้ชัดว่านี่เป็คำพูดไล่แขกทางอ้อม
ซูเมิ่งหรูแต่งเข้ามาในวังได้กว่าครึ่งปีแล้วนางรู้ว่าไทเฮาผู้นี้ไม่ชอบพอตนทว่าวันนี้นางตั้งใจพาซูฉีฉีมาด้วยเพราะอยากจะลองหยั่งเชิงดูว่า ไทเฮาผู้นี้มีอคติต่อคนสกุลซูหรือมีต่อซูเมิ่งหรูเพียงคนเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทีของไทเฮาเช่นนี้ซูเมิ่งหรูก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น ก่อนจะเอ่ยขอบพระทัยแล้วหมุนตัวจากไป
นางมิได้หันไปมองซูฉีฉีอีกสตรีที่ฉลาดอย่างซูเมิ่งหรูก็รู้แล้วว่า หญิงชราผู้นี้ไม่ชอบใจในสกุลซู
ดูเหมือนว่านางจะต้องคิดหาวิธีเสียแล้ว
เพราะว่าฮ่องเต้นั้นเชื่อฟังคำสั่งของไทเฮาผู้นี้นัก
แน่นอนว่าเื่ใหญ่นั้นไม่นับ
“เ้าคือบุตรสาวคนโตของซูชือฉาง?”ไทเฮามิได้รับสั่งให้ซูฉีฉีลุกขึ้นแต่กลับเอ่ยถามนางเสียงเย็น
ดวงตาที่เยือกเย็นคู่นั้นทำให้ซูฉีฉีนิ่งอึ้งไปในใจของนางบีบแน่นขึ้นก่อนจะตัดสินใจว่าจะพูดจาและกระทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวังมิเช่นนั้นนางคงต้องโดนลงโทษให้าเ็ร่างกายอีกเป็แน่
“กราบทูลไทเฮาใช่เพคะ” ซูฉีฉีก้มหน้าก้มตาเอ่ยตอบไป
นางพยายามควบคุมตัวเองให้สงบนิ่ง
ถ้าหากนางเกิดเื่อะไรขึ้นในวังหลวงม่อเวิ่นเฉินจะยอมอยู่นิ่งเฉยงั้นหรือแม้ว่าหลายวันมานี้เขาจะมีท่าทีที่ดีมากมาโดยตลอด น้ำเสียงก็อ่อนโยนลงมากทว่าซูฉีฉีก็ยังมิกล้าฝากความหวังใดๆ ไว้กับเขาทั้งนั้น
นางรู้ว่าเื่ทั้งหมดนั้นได้แต่ต้องหวังพึ่งตนเอง
มีเพียงตนเองเท่านั้นที่สามารถพึ่งพาได้มากที่สุด
“มารดาของเ้ายังสบายดีหรือไม่?”ไทเฮาเอ่ยออกมาอย่างรวดเร็วแววตายังคงเ็าดั่งเดิมขณะจับจ้องไปที่ซูฉีฉี
“กราบทูลไทเฮาดีมากเพคะ” ซูฉีฉีไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านัก นางทำได้เพียงแค่ตอบกลับอย่างระมัดระวัง
ในใจนางก็กำลังคิดวิเคราะห์อยู่ว่าด้วยนิสัยอันอ่อนโยนของมารดาตนน่าจะไม่ได้ก่อเื่ใดๆ ต่อไทเฮาได้ แต่ว่าดูจากรูปการณ์แล้วเหมือนกับว่าไทเฮานั้นเกลียดชังมารดาของนางมาก
ไทเฮากลับยิ้มเย็นออกมา “งั้นหรือ...”
จากนั้นนางก็ตบมือ “ดีดีมาก ขอแค่นางมีชีวิตอยู่ดี ข้าก็สบายใจแล้ว เพียงแต่ว่าถ้าหากเ้ามีโอกาสฝากไปบอกนางด้วยว่า สิ่งที่นาง้านั้นนางจะไม่มีวันได้รับมัน”
ซูฉีฉีขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนจะรับคำด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แต่ว่าเ้าเป็บุตรสาวของนาง ควรที่จะรับโทษแทนนางถึงจะถูกก่อนฟ้ามืดเ้าห้ามออกไปจากที่นี่ คุกเข่าต่อไปเสียเถิด” ไทเฮาพูดทิ้งไว้ประโยคหนึ่งก่อนจะหมุนตัวจากไป
เหลือเพียงซูฉีฉีที่คุกเข่าอยู่บนแผ่นหญ้าสานนางรู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเริ่มเหน็บชา ทว่ากลับไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมามาก
ในใจนางก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นคนที่มารดาของตนมีเื่ด้วยนั้นกลับเป็ไทเฮา ดูไม่ออกจริงๆสตรีที่บอบบางเช่นมารดาของตนจะมีความกล้าถึงเพียงนี้งั้นหรือ?
เื่ทั้งหมดนี้ซับซ้อนเกินไปเสียแล้ว
ม่อเวิ่นเฉินที่กลับมาถึงเรือนรับรองนั้นไม่เห็นแม้แต่เงาของซูฉีฉีในใจก็เกิดอารมณ์ไม่พึงพอใจ เดิมคิดจะส่งคนไปขอตัวคืนจากซูเมิ่งหรูทว่าสายที่เขาได้ทิ้งเอาไว้กลับรายงานว่าซูฉีฉีถูกไทเฮารั้งตัวเอาไว้
ในระยะเวลาอันสั้นนี้ม่อเวิ่นเฉินเองก็ไม่สามารถไปขอคนจากไทเฮาได้เขาทำได้เพียงรออยู่ที่เรือนรับรองอย่างกระวนกระวาย
ในใจของเขามีความไม่สงบและร้อนรนเขาเติบโตมาในวังหลวงั้แ่เล็ก เขาย่อมรู้ดีถึงนิสัยของไทเฮาแม้จะไม่รู้ว่าซูฉีฉีไปเกี่ยวข้องอะไรกับไทเฮาแต่เขารู้ดีว่าเื่ครั้งนี้ยากจะจัดการยิ่งนัก
จนกระทั่งฟ้ามืดสนิทซูฉีฉีถึงค่อยๆ ลุกขึ้นแต่เป็เพราะว่าคุกเข่าเป็เวลานานเกินไปทำให้ขาทั้งสองข้างของนางเหน็บชาไปหมดแล้วพวกมันไม่ฟังคำสั่งของนางนางเพียงแค่ก้าวออกไปเท้าเดียวก็ล้มตัวลงไปกองกับพื้นในทันที
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออกไทเฮาค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามา บนใบหน้านางประดับด้วยรอยยิ้มจางๆในมุมมองของคนภายนอกนั้นใบหน้านี้เต็มไปด้วยเมตตา ทว่าในสายตาของซูฉีฉีมันกลับเยือกเย็นไร้อารมณ์
ถ้าหากเป็ไปได้นางจะต้องสับซูฉีฉีให้เป็ชิ้นๆ อย่างแน่นอน
ไม่รู้จริงๆว่าต้องเป็ความเกลียดแค้นประเภทใดถึงทำให้สตรีผู้หนึ่งเป็เช่นนี้ได้
“พอแล้วพรุ่งนี้มาต่อ” เมื่อเห็นซูฉีฉีล้มตัวลงกับพื้นอย่างสะบักสะบอมอีกทั้งยังมีสีหน้าท่าทางก้มหน้าก้มตานอบน้อมเชื่อฟังของนางยิ่งทำให้ไทเฮาพึงพอใจเป็อย่างมากนางพยักหน้าเพื่ออนุญาตให้ซูฉีฉีกลับไปได้
ไม่มีนางกำนัลในวังคนไหนเดินมาพยุงนางทุกคนล้วนมองนางด้วยสายตาเ็าซูฉีฉีใช้มือพยุงตัวเองขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบากแต่นางก็ไม่กล้าแสดงท่าทางอันใดมากนักเพราะเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจให้กับไทเฮาอีก
“ขอบพระทัยไทเฮาที่ทรงกรุณา”ซูฉีฉีก็ยังคงกัดฟันเอ่ยขอบคุณก่อนจะค่อยๆ ลากตัวเองออกไป
ในใจของนางอึดอัดและเ็ป นางเงยหน้าขึ้นมองฟ้าไม่รู้ว่าตนนั้นทำผิดอันใดไป ชีวิตนี้ถึงไม่มีเื่ใดสมใจปรารถนาเลย
นางมิได้ร้องไห้แต่กลับรู้สึกว่าถนนข้างหน้านั้นมืดสนิท
เื่นี้นางจะไม่เอ่ยกับผู้ใดเพราะเกรงว่าจะทำให้มารดาของตนต้องเป็กังวล